CRF250rally ตะลุยผ่าน3ประเทศ ไทย-กัมพูชา-เวียดนาม ไปเล่นทรายที่ “มุยเน่”

สวัสดี พี่ๆน้องๆ ลุง ป้า น้า อา ทุกท่านครับ อมยิ้ม17อมยิ้ม17อมยิ้ม17

ห่างหายไปนานจากหน้าที่การงานที่ต้องเดินทางไปในหลายๆที่
รอบนี้มีโอกาสจึงขอนำเรื่องราวการเดินทางครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในชีวิตมาเล่าสู่กันฟังครับ……..


CRF 250 rally….Road To Mui’ne
จากการทำผลงานในนามทีม Just Ride it กว่าสองปีที่ผ่านมาในฐานนะ รีวิวเวอร์ บล๊อคเกอร์ หรือสุดแท้แต่จะเรียกขานกันตามความถนัด
Just Ride it ก็ถูกเลือกให้ไปเข้าร่วมในทริปการเดินทางข้ามผ่านสาม3ประเทศ

ไทย – กัมพูชา – เวียดนาม เดินทางกันด้วยเจ้า CRF250rally ไปกับคณะพี่น้องสื่อมวลชนสายมอเตอร์สปอร์ต
รวมไปถึงทีมถ่ายทำรายการ Viewfinder Thailand  และ Journey of the Souls ในคอนเซป The Fearless Destination
บอกตรงๆว่าเกิดอาการ งง + สตั๊น ว่าทีมงานเล็กๆบ้าๆบอๆ มีสาระบ้างไม่มีสาระบ้างอย่าง Just ride it ก็เป็นผู้ถูกเลือกแฮะ!!!
อมยิ้ม22อมยิ้ม19อมยิ้ม21

เข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ
งานนี้ตัวผมเองจำเป็นต้องฉายเดี่ยวฮะ ในแผนการเดินทางครั้งนี้เราจะเดินทางกันทั้งหมด 5 วัน
เริ่มออกสตาร์ทจากประเทศไทย ออกทางด่านอรัญประเทศผ่านกัมพูชาไปสู่จุดหมายปลายทางที่ ฟานเที๊ยต มุยเน่ ประเทศเวียดนาม

Day1
สระแก้ว – ปอยเปต – เสียมเรียบ ระยะทาง 149Km

ก่อนออกเดินทางก็ต้องบรีฟเส้นทาง รวมไปถึงกฏระเบียบต่างๆในกัมพูชาจากทีมงานและไกด์
ที่จะพาเราผ่านด่านข้ามแดนไปยังกัมพูชากันก่อน

ก็ว่ากันตามสไตล์ไทยๆเรานะครับมีการตีธงปล่อยรถเอาฤกษ์เอาชัย กันเล็กน้อยก่อนออกเดินทาง

อ้อ ลืมไปงานนี้มีขวัญใจผมไปด้วย คุณส้ม อมรา
สาวเท่สายลุยแบบนี้โดนใจผู้ชายมุ้งมิ้งแบบผมยิ่งนักที่สำคัญงานนี้นางขี่ CRF250rally ไปกับเราด้วยจ้า

การข้ามฝั่งไปเมืองปอยเปต ใช้เส้นทางผ่านทางด่านคลองลึก ตลาดโรงเกลือ อำเภออรัญประเทศ

มองไปไกลๆนั่น กัมพูชา ขั้นตอนการผ่านแดนฝั่งไทยขอแค่มีเอกสารครบๆก็ผ่านฉลุย

ส่วนการจะผ่านเข้าด่านกัมพูชานั้นหามาตรฐานอะไรไม่ค่อยจะได้ บทจะให้ผ่านก็ผ่านบทจะไม่ให้ผ่านก็ต้องหันหัวกลับซะงั้น
ผ่านด่านกัมพูชาจากอรัญประเทศไปปอยเปต ไม่ยากครับชิลๆทางนู้นยินดีต้อนรับ
แต่!!!!การจะผ่านด่านแบบที่คณะเราเดินทางไป คือข้ามด่านไปแล้วไปออกเวียดนามนั้นค่อนข้างลำบากถ้าไม่ผ่านทัวร์….

ถึงผ่านทัวร์ในขั้นตอนการยื่นเอกสารก็ต้องยื่นกันเองนะจ๊ะ ชุลมุนพอสมควร

แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดีสิ่งแรกหลังจากที่ข้ามแดนมาถึง ปอยเปต ก็ต้องนี่เลยจ้าเปลี่ยนซิมก่อน
เผื่อ หลงทาง หรือหลุดขบวน จะได้โทรตามกันได้ กัมพูชาก็มี4G ให้ใช้เด้ออออออออ

นอกจากเปลี่ยนซิมมือถือแล้ว ก็คือการสลับเลนในการจราจรกัมพูชาวิ่งขวา ช่วงแรกก็มรการสับสนกันบ้างเล็กน้อย
คุณพี่โอ ไกด์ทริปนี้บอกว่าการขับขี่ในวันแรกสิ่งต้องระวังคือ วัว!! อมยิ้ม24
ที่นี่เลี้ยงวัวกันทุกบ้าน ช่วงเย็นๆ วัวที่ชาวบ้านปล่อยออกไปหากิน มันจะตอกบัตรเดินกลับบ้านกัน
ถ้าเจอวัวให้ชะลอความเร็วลงแล้วอ้อมหลังมันเพราะวัว ไม่มีเกียร์ถอย
เอาว่าโอกาสที่มันจะถอยหลังมาให้เราชนยากกว่าเดินหน้ามาชนเรานะจ๊ะ
#ถถถถถถถ

ถนนหนทาง และการจราจรในกัมพูชา ถือว่าดีกว่าที่จิตนาการไว้มาก
ตอนแรกแอบกังวลว่าสภาพถนนจะเป็นยังไงน้า ต้องงัดวิชาทางฝุ่นมาใช้กันตั้งแต่วันแรกเลยรึเปล่า
เปล่าเลยจ้า ถนนหนทางก็ราดยางเหมือนบ้านเรานี่แหละ แต่ขนาดจะเล็กกว่าหน่อยคือไม่มีถนน4เลน 8เลนแบบบ้านเราอ่ะนะ

ขี่กันมาได้ครึ่งทางอากาศค่อนข้างร้อนแบบแห้งๆ ก็แวะพักกันซะหน่อย

มาเจอของกินเล่นเป็นกล้วยปิ้ง คือเอากล้วยกิ่งดิบมาฝานเป็นแผ่นบางๆเอามาทับต่อกันเป็นแผ่น
แล้วเอาไปปิ้งบนเตาถ่าน เห็นแวบแรกนึกว่าปลาหมึกปิ้ง 5555+

รสชาติก็……กล้วยปิ้งนี่ล่ะฮะ !!!!! อมยิ้ม02

จากนั้นก็เดินทางต่อมุ่งหน้าไป บารายตะวันตก อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่มนุษย์สร้างขึ้น ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1
เพื่อใช้ในการเกษตร และ เป็นแหล่งประมงน้ำจืด อยู่ทางตะวันตกของนครธม
มีขนาดกว้าง 2.2 กิโลเมตร ยาว 8 กิโลเมตร ลึกโดยเฉลี่ย 7 เมตร มีพื้นที่ 1,760 เฮกตาร์ [1 เฮกตาร์ = 10,000 ตารางเมตร]
จุน้ำได้ราว 123 ล้านลูกบาศก์ลิตร ใจกลางของบารายมีเกาะเล็กๆตั้งอยู่เรียกว่า แม่บุญตะวันตกซึ่งยังคงมีน้ำขังอยู่จนถึงทุกวันนี้

ทางเข้าไปก็ฝุ่นแดง วิ่งแล้วฟุ้งๆพอเป็นกระสัย


อ่านไม่ออก….อมยิ้ม20


ก็พักถ่ายรูปเก็บไว้เป็นความทรงจำกันนิดหน่อย คิดในใจถ้ามีโดรนบินถ่ายน่าจะเห็นความยิ่งใหญ่อลังการ
ของอ่างเก็บน้ำจืดขนาดยักษ์ ที่สร้างด้วยน้ำมือมนุษย์ในสมัย ขอมโบราณเป็นแน่แท้….ก่อนจะเดินทางต่อมุ่งหน้าสู้ที่พัก

วันแรกกับระยะทาง 149Km ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ คืนเเรกเราพักกันที่ Empress Ankor Hotel เสียมเลียบ
พักร่างที่โดนอบด้วยไอร้อนของทั้งลมและแดดมาทั้งวันเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น


Day2
เสียบเรียบ – นครวัด – นครธม – สะพานโบราณ – กัมปงจาม ระยะทาง 261Km

พระราชาณาจักรกัมพูชา หรือที่เราๆเรียกกันว่า เขมร ประเทศที่ตั้งอยู่ส่วนใต้ของคาบสมุทรอินโดจีน
เช้าวันที่ 2 ของการเดินทาง ตื่นเตรียมตัวกันแต่เช้าตรู่….ระยะทางในการเดินทางจะเพิ่มขึ้นจากวันแรกอีกนิดหน่อย
บอกตรงๆว่าเมื่อวานที่ผ่านมาอากาศข้างนอกทำให้ไม่อยากจะออกไปเผชิญกับมันอีกจริงๆ จากใจ อมยิ้ม20

วันนี้ที่หมายแรกของเราคือ นครวัด นครธม


นครวัด  เป็นศาสนสถานตั้งอยู่ในเมืองพระนคร จังหวัดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เริ่มสร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2
ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยเป็นศาสนสถานประจำพระนครของพระองค์ ตัวเทวสถานได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จนเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันนับตั้งแต่ก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่เดิมนครวัดเป็นเทวสถานของศาสนาฮินดูซึ่งสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระวิษณุ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธ นครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก



ตัวเทวสถานถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยรุ่งเรือง และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา โดยปรากฏในธงชาติกัมพูชาและเป็นจุดท่องเที่ยวหลักของประเทศตลอดจนได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลก ภายใต้ชื่อ เมืองพระนคร ปราสาทนครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างในช่วงยุครุ่งเรืองของอาณาจักรขะแมร์โดยมีหินทรายเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/นครวัด



นครธม เป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายและเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขะแมร์ สถาปนาขึ้นในปลายคริสต์ศวรรษที่ 12 โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 9 ตารางกิโลเมตร อยู่ทางทิศเหนือของ นครวัด ภายในเมืองมีสิ่งก่อสร้างมากมายนับแต่สมัยแรกๆ และที่สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และรัชทายาท ใจกลางพระนครเป็นปราสาทหลักของพระเจ้าชัยวรมัน เรียกว่า ปราสาทบายน และมีพื้นที่สำคัญอื่นๆ รายล้อมพื้นที่ชัยภูมิถัดไปทางเหนือ จุดเด่นที่สุดคือทางเข้าด้านใต้ ที่มีลักษณะเป็นหน้า 4 หน้า ก่อนจะเข้าสู่บริเวณนี้จะเป็นแถวของยักษ์(อสูร)
ทางด้านขวาและเทวดาทางด้านซ้าย เรียงรายแบกพญานาคอยู่สองข้างสะพาน
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/นครธม

พ่อหนุ่ม ภูริ หนึ่งผู้ร่วมทริปไปกับเราครั้งนี้

การจะเข้าชม นครวัด นครธม นั้นต้องเสียค่าเข้า 37$/คน คิดเป็นเงินไทยก็ 1300กว่าบาท แพงเอาเรื่องอยู่
จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยถ่ายรูปเพื่อติดลงบนบัตร ซึ่งบัตรที่ได้มานั้นจะเป็นแบบวันเดียว ต้องใช้ให้คุ้ม 555+
สามารถเข้าชมได้ทั้ง นครวัดและนครธม บัตรก็จะหน้าตาแบบนี้ห้อยคอไว้เผื่อเวลาเจ้าหน้าที่ด้านในเรียกตรวจ


เจ้าหน้าที่ถ่ายรูปติดบัตร ก็ทำร้ายจิตใจกันน่าดู ร้องไห้ร้องไห้

จากนั้นคณะก็ออกเดินทางต่อไปยังจุดหมายที่2 สะพานหินศิลาแลง “กำปงเกดย”


สะพานศิลาแลงสร้างด้วยแรงงานคนตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้สร้างนครธม
เป็นอีกหนึ่งสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ สะพานโบราณแห่งนี้รากฐานและตัวสะพานสร้างขึ้นจากศิลาแลงล้วนๆ
อยู่ยั้งยืนยงผ่านกาลเวลามาร่วม 1,000 ปี


สะพานแห่งนี้ใช้งานให้รถบรรทุกและรถโดยสารวิ่งผ่านมาโดยตลอดเพิ่งจะปิดห้ามผ่านเมื่อ 4-5ปีมานี้ เนื่องจากองค์การยูเนสโกให้อนุรักษ์เอาไว้
ปัจจุบันรัฐบาลเขมรจึงได้สร้างถนนเบี่ยงออกจากแนวสะพานเดิมและสร้างสะพานแห่งใหม่มารองรับการใช้งานแทนสะพานโบราณแห่งนี้แล้ว
จะให้วิ่งผ่านสะพานโบราณได้ก็มีแต่ จักรยาน เกวียน และมอเตอร์ไซค์เท่านั้น


เด็กๆนักเรียนที่นี่ ส่วนใหญ่จะเดินทางกันด้วยจักรยาน ส่วนตัวเล็กตัวน้อยยังขี่จักรยานไม่ได้ก็เดินไปเรียนกัน


หลักจากขี่รถเที่ยวชมสามสถานที่แลนด์มาร์คของกัมพูชากันเรียบร้อยเวลาก็ล่วงเลยกันถึงเที่ยงแวะพักเติม
พลังกัน เพื่อพร้อมจะเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าสู่ จังหวัดกัมปงจาม เมืองกำปงจามมีแม่น้ำโขงซึ่งไหลมาจากทางเหนือผ่านทางตอนใต้ของลาว
เข้าจังหวัดสตรึงแตรงของเขมร ผ่านกระแจะ แล้วก็มาผ่านจังหวัดกำปงจาม


ในภาพคือสะพานไม้ไผ่ที่ชาวบ้านสร้างขึ้นเพื่อใช้ข้ามฟากไปมา ระหว่างเกาะกลางเเม่น้ำโขงเกาะสูทิน
ฝั่งตรงข้ามคือจังหวัดตะบองขมุม จังหวัดที่แยกตัวจากกัมปงจาม..โดยมีแม่น้ำโขงขวางไว้อยู่


สะพานไม้ไผ่ ที่เป็นแลนด์มาร์คของที่นี่นั้นเป็นฝีมือชาวบ้านที่สร้างกันเองเพื่อใช้สัญจรข้ามฟากไปมาหาสู่กัน
อยู่ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 121 กิโลเมตร จังหวัดชายแดนของกัมพูชาติดกับประเทศเวียดนาม
มาถึงแล้วก็ขอลองขี่ข้ามไปเก็บภาพกันหน่อย



ภาพเปิดกระทู้ เก็บมาจากที่นี่ล่ะครับเรามาถึงกันก็เริ่มโพล้เพล้แล้วแสงกำลังสวยเลย ขอซักหน่อย

มาถึง กัมปงจามเหนื่อยๆร้อนๆ ต้องลองนี่เลย น้ำอ้อย
น้ำอ้อยในแบบกัมพูชา เค้าจะผสมน้ำส้มคั้นลงไปด้วย เพื่อเพิ่มกลิ่นรส….ชิมแล้วก็กลมกล่อมแปลกๆหวานอ้อยหอมส้ม
จัดว่าลงตัว สดชื่นดับอาการกระหายจากการขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าอากาศร้อนๆได้เป็นอย่างดี

วันที่สองเราพักกันที่ LBN Asian Hotel วิวจากโรงแรมมองเห็นสะพานข้ามแม่น้ำโขงทอดยาวตอนกลางคืนสวยงามมาก

ผ่านวันที่สองมาได้แบบเหนื่อยๆร้อนๆพอสมควร พักผ่อน เก็บแรง
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราจะมุ่งหน้าสู่พรมแดนกัมพูชาเพื่อข้ามผ่านไปยังเวียดนามต่อไป


Day 3
กำปงจาม – ชายแดนเวียดนาม – เตยนินท์ – ฟานเที๊ยต ระยะทาง 416Km

7:00 น. เตรียมตัวออกเดินทางจากที่พักมุ่งหน้าสู่ด่านพรมแดนเวียดนาม
ระยะทางช่วงเช้าประมาณ 70Kmจาก LBN Asian Hotel ไปจนถึงด่าน  XA MÁT
เช้านี้ฟ้าค่อนหม่น เมฆมาก เหมือนฝนทำท่าจะตก ลงมาอีกหลังจากที่ฝนตกค่อนข้างหนักเมื่อคืน “นึกในใจฝนอย่าตกลงมาอีกน้า”



ก่อนจะออกเดินทางทีมงาน และ ไกด์ประจำทริปของเราก็เรียกรวมพลเพื่อบรีฟเส้นทางกันก่อน
การบรีฟเส้นทาง และ กฎข้อห้ามต่างๆเราจะบรีฟกันทุกเช้าก่อนออกเดินทาง เพื่อความเข้าใจตรงกันและความปลอดภัยของ
ผู้ร่วมทริปทุกคน….ซึ่งการจราจรในสถานที่ต่างๆที่เราขี่ผ่านต้องใช้ความระมัดระวังมาก


พร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันต่อครับ เส้นทางผ่านตัวเมืองตลาด ชุมชนหมู่บ้าน จะสังเกตุเห็นว่ามอเตอร์ไซค์เค้าเยอะมากๆ


70Km แรกผ่านไปเราก็มาถึงหน้าด่านชายแดนเวียดนาม XA MÁT



ด่านใหญ่โตมโหราณมากแถมรถบรรทุกสินค้าตั้งแต่ รถกระบะ ยันรถคอนเทนเนอร์เยอะมากๆที่มารอข้ามจากกัมพูชาไปเวียดนามที่ด่านนี้



ด่านนี้ต้องจอดรถไว้จ้า ทุกคนต้องลงจากรถต่อคิวให้เจ้าหน้าที่ตรวจพาสปอร์ตกับเอกสารรถ



ผ่านกระบวนการตรวจเอกสารคน และ รถเรียบร้อยแล้วก็จะได้ป้ายทะเบียนแบบสติ๊กเกอร์มาไว้แปะหน้ารถกันจ้า
แอบสงสัยเหมือนกันว่าถ้าชาวเวียดนาม หรือ กัมพูชา ตอนผ่านด่านจะขี่รถข้ามแดนมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเราบ้างเป็นยังไง


หลังจากเสร็จพิธีการตรวจเอกสาร และ สัมภาระเรียบร้อยก็แวะเติมน้ำมันกันก่อนจะออกเดินทางกันต่อ
วันนี้คณะเราต้องเดินทางไกลที่สุดในทริประยะทาง 400กว่ากิโล จากจังหวัดเตยนินท์ ผ่านโฮจิมินซิตี้
ไปยังจุดหมายปลายทาง ฟานเที๊ยต


ถนนหนทางในช่วงแรกของเวียดนาม ก็ไม่ค่อยแตกต่างจากกัมพูชามากนัก ถนนราดยางสองเลยสวนกัน
มาถึงนี่ก็ชินกับการขับขี่ชิดขวากันแล้ว ไม่ต้งตั้งสติก่อนสตาร์ทเหมือนสองวันแรกที่ผ่านมา
ไฟแดง ที่เวียดนามจะมีไฟอยู่ 2ระดับสังเกตุในภาพจะมีชุดเล็กๆอยู่ระดับสายตาอีกชุดนึง และ จะมีแบบนี้ไปตลอด
ถามจากไกด์ได้ความว่า มอเตอร์ไซค์ที่นี่เยอะมากๆเจ้าไฟชุดเล็กนี่คือเอาไว้ให้ชาวสองล้อมองเห็นได้ถนัดๆประมาณนั้น


การเดินทางในเวียดนามด้วยมอเตอร์ไซค์เราจะถูกจำกัดความเร็ว
รวมไปถึงจำกัดเลนในการวิ่งคือมีขอบกั้นแยกเลนมอไซค์โดยเฉพาะกันเลย มอไซค์ห้ามออกนอกลู่นอกทางนะจ๊ะ



พอคณะเรามุ่งหน้าเข้าใกล้ โอจิมินซิตี้ เท่าไหร่ปริมาณมอเตอร์ไซค์ก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยจนสังเกตุได้
หลายๆท่านคงจะพอได้ยินกิติศัพท์การจราจร ในเวียดนามกันมาพอสมควรใช่มั้ยครับ
ขอบอกตรงนี้เลยว่าสิ่งที่ทุกท่านได้ยินมา เล่าสู่กันฟังนั้นไม่ผิดแต่อย่างใด…..

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ตัวอย่างเล็กน้อย ของความชุลมุนในการสัญจรที่ไปเจอมา….
บอกเลยว่าตั้งแต่ทั้งขับ ทั้งขี่ ทั้ง4ล้อ2ล้อมาทั้งชีวิต ไม่เคยกดแตรเยอะเท่าวันนี้วันเดียวสาบานเถอะ!!!!

กว่าจะตีฝ่าการจราจรผ่านโฮจิมินซิตี้ ออกมาได้ ก็เริ่มโพล้เพล้แดดร่มลมตกแล้ว
เลยต้องตัดสินใจแวะเติมพลังกันก่อนที่จุดพักรถเลยออกมาจาก โอจิมินซิตี้ พอสมควร

หลังจากแวะพักกัน ฟ้าก็เริ่มมืด การเดินทางบนถนนในเวียดนามตอนฟ้าสว่างๆว่าสุดยอดแล้ว
ตอนฟ้ามืดยิ่งสุดยอดมากกว่าหลายเท่าตัว…..เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการเดินทางในวันนี้

ช่วงสุดท้ายในการเดินทางครั้งนี้ ต้องขี่กันตอนกลางคืน แถมยังเหลือระยะทางอีกร้อยกว่ากิโล
ถนนส่วนใหญ่ไม่มีไฟต้องเจอทั้งรถบรรทุก มอเตอร์ไซค์สวนเลน ไม่ใช่แค่มอเตอร์ไซค์ที่สวนเลน
เอาตรงๆก็ทุกอย่างที่เราๆท่าน สามารถจินตนาการออกมาไม่หมด 5555+ รถทุกชนิดพร้อมที่สวนเลนพุ่งมาหา



ความเร็วทำได้แค่ 70-90 กม.ต่อชม. ทำให้อีกร้อยกิโลที่เหลือโหดร้ายจนไม่สามารถเก็บภาพมาฝากได้
ต้องตื่นตัวตลอดเวลา ใช่สมาธิในการขับขี่แบบสุดๆสังเกตุทุกสิ่งที่เคลื่อนไหวได้
กว่าจะถึงถึงจุดหมายที่โรงแรมโลตัสมุยเน่ ในฟานเที้ยต ตอน 20.03 น.
แทบทั้งคณะที่ขี่กันมาเป็นวันที่ 3 ของการเดินทางบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “โชคดีที่ รอดมาถึงที่พักได้โดยที่ไม่ใครเป็นอะไร”


Day 4
มุยเน่ – เรดแคนยอน – ทะเลทรายขาว  ระยะทาง 41Km

มุยเน่ เป็นเมืองตากอากาศที่ได้ชื่อว่าแจ่มที่สุดของเวียดนาม….จุดหมายปลายทางของการเดินทางในทริปนี้
จากโรงแรม Lotus Muine Resort ไปทะเลทรายขาวระยะทาง 41Km……ดีใจน้ำตาแทบไหลหลังจากที่ผ่านเมื่อวานมาได้
แบบสังขารแทบแหลกสลาย 400กิโลหน่อยๆใช้เวลาเดินทางกันไปเกือบ 12ชั่วโมง =_=




ถนนที่มุยเน่ สวยมากๆเหมือนขี่รถตัดผ่านเส้นขอบฟ้าที่มีทะเลเป็นแบลคกราวอยู่ไกลๆ



ส้ม อมรา หญิงหนึ่งเดียวที่ร่วมทริปมากับเราจนถึงจุดหมาย

ที่หมายแรกวันนี้จะไปซ้อมเล่นทรายกันที่ เรดแคนยอน กันในช่วงเช้าก่อน
เรดแคนยอนมีลักษณะ คล้ายๆแกรนด์แคนยอนขนาดย่อมๆแต่ไม่มีน้ำนะจ๊ะ มีแต่ทราย กับช่องเขาสีแดง


ไม่รอช้าพ่อหนุ่ม ภูริ ก็ลงไปเล่นทรายแดงเป็นการวอร์มกันก่อนเลย



แวะเล่นทรายจุดแรกกันพอหอมปากหอมคอเราไปแลนด์มาร์คไฮไลค์ของ มุยเน่กันต่อเลยดีกว่า
White sand dunes Mui Ne ทะเลทรายขาว ข้อมูลจากพี่ไกด์ของเราบอกว่า
มีความยาวประมาณ 50 กิโลเมตร และความกว้าง 15 กิโลเมตร
พื้นที่ทะเลทรายมุยเน่ มีขนาดประมาณ 500 ตารางกิโลเมตร ส่วนใหญ่เป็นสีแดงมากกว่าสีขาว
แต่ทะเลทรายขาวสวยงามกว่าจึงได้รับความนิยมมากกว่า


ทะเลทรายขาวเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของ มุยเน่ จะมีร้านรวงทั้งอาหาร เครื่องดื่ม รวมไปถึงร้านเช่ารถ 4×4 ATV
และไกด์นำเที่ยวพานักท่องเที่ยว เที่ยวชมความสวยงามของทะเลทรายขาว เอาง่ายๆว่ามีทุกอย่างครบๆไม่หลงทางกลางทะเลทรายแน่นอน
ไม่รอช้าครับเอารถลงไปลุยกันให้รู้แล้วรู้รอดหน่อย





การเดินทาง3วันที่ผ่านมา ไม่ง่ายเลยเราไม่สามารถรู้ได้ว่าวันพรุ่งนี้เราจะเจออะไรบนท้องถนนบ้าง
แต่พอมาถึงจุดหมายปลายทาง ก็ต้องยอมรับว่าสวยคุ้มค่าที่ขี่รถฝ่าอะไรๆมาจนถึงได้
น่าแปลกคือ….ทะเลทรายแต่ไม่ร้อนเท่าที่คิดไว้ คือ แดดร้อนแน่นอนแต่เนื่องจากติดทะเลมีลมทะเลพัดตลอดเวลา

ทริปนี้ได้เรียนรู้อะไร กลับมามากมาย ที่แน่ๆคือการจราจรบ้านเราที่เราบ่นๆกันลองมาเจอที่เวียดนาม
บอกเลยว่าของเรา นี่อนุบาลชัดๆ….การขับขี่ต้องมีสติและสมาธิตลอดเวลาเผลอไม่ได้ แม้จังหวะเดียวถ้าเกิดอุบัติเหตุ
ในการเดินทางเรื่องจะยาววววววว จนอาจทำให้กร่อยกันไปทั้งคณะได้

ส่วนเทคนิคการขับขี่บนทะเลทรายน่ะเรอะ…….ง่ายๆชิลๆ

ร้องไห้ร้องไห้ร้องไห้ร้องไห้

โจทย์ในครั้งนี้ พวกเราก็ทำสำเร็จเดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางด้วยเจ้า CRF250rally
เป็นระยะทางกว่า 1300Km ข้ามผ่าน3ประเทศที่ต้องขี่รถท่ามกลางอุณภูมิ 40องศา
ลุยฝ่าการจราจรที่วุ่นวายอันดับต้นๆของโลกมาจนถึงที่หมายได้แบบปลอดภัยทุกคน


บรรยากาศทริปมุยน่ในแบบ วีดีโอ (อย่าลืมปรับความละเอียดไปที่ HDด้วยนะจ๊ะ)
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ขอบคุณ
– ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ
– ขอบคุณพี่ๆน้องๆที่ร่วมเดินทางด้วยกันในทริปนี้
– ขอบคุณทีมงาน และมาแชล รวมไปถึงพี่ไกด์สายโหดทุกท่าน
– ขอบคุณ AP Honda ที่เปิดโอกาสให้ทีมเล็กๆอย่าง Just Ride it ได้ไปร่วมเปิดประสปการณ์ในครั้งนี้

วันนี้ขอตัวลาไปก่อน……หากมีโอกาสได้ออกไปเก็บประสปการณ์การเดินทาง มาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งจะกลับมาใหม่ในทริปต่อๆไปครับ


ขอบคุณอีกครั้งจากเรา Just Ride it