Triumph Street Cup . . บ น เ ส้ น ท า ง ค า เ ฟ่ ส า ย ล ะ มุ น . .

Triumph Street Cup . . บ น เ ส้ น ท า ง ค า เ ฟ่ ส า ย ล ะ มุ น . .

ทุกสิ่งอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาที่ผันผ่าน

แต่กับบางสิ่งบางอย่าง กลับข้ามผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน

โดยที่ยังคงกลิ่นไออันแสนดั้งเดิมไว้

และยังคงมีมนต์เสน่ห์ดึงดูดผู้คนมิรู้เสื่อมคลาย

หากเป็น “ศิลปะ”หรือ “สไตล์” มันคือสิ่งที่สวยงามพอจนเดินทางข้ามผ่านกาลเวลามาได้

แต่หากเป็น “หลักการ”  สิ่งนั้นคือ “ความจริง” ที่ยังคงถูกต้องเสมอไม่ว่ายุคกาลจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม

และครั้งนี้ ด้วยเวลาว่างวันหยุดอันแสนน้อยนิดของพนักงานออฟฟิศคนหนึ่ง

จะพาควบรถมามากับสไตล์ที่ข้ามผ่านกาลเวลามาระดับหนึ่ง

โดยที่มนต์สเน่ห์ยังมิรู้เสื่อมถอย

“คาเฟ่”  คือนามของสไตล์นั้น

และเมื่อวันหยุดนั้นแสนสั้นนัก ผมอยากจะใช้เวลาที่มี

ศึกษา “หลักการ” บางอย่างที่ไกลตัว แต่มีบุคคลท่านหนึ่งได้กล่าวไว้

ว่ามันคือ หนทางที่สามารถใช้ชีวิตได้ยั่งยืนพอที่จะข้ามผ่านกาลเวลาอย่างมั่นคง

และผมก็ได้ออกเดินทางเพื่อการเรียนรู้ “เส้นทาง” สู่ความยืนหยัด

ไปกับเจ้า  “Triumph Street Cup” รถ “ถนน” แสนทันสมัยกับสไตล์ทีข้ามผ่านกาลเวลา
ออกเดินทางกันครับ

ป.ล. ขอขอบคุณ Triumph Ultimate Ride และ Just-Ride-it ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรถเพื่อการเรียนรู้ในครั้งนี้ครับ อมยิ้ม17อมยิ้ม17


https://web.facebook.com/TriumphBangna/?_rdr
https://web.facebook.com/justrideitteam/?fref=ts

ป.ล.๒ ข้อมูลผิดพลาดประการใดโปรดชี้แนะด้วยครับ อมยิ้ม17อมยิ้ม17

 

รุ่งเช้ามาเยือน  การเดินทางเริ่มขึ้นโดยการสตาร์ทรถแล้วขี่ออกจากที่พำนัก

หากแต่ความง่วงงัน ยังไม่คงวนเวียนอยู่ในร่างกาย

วงล้อซึ่งตั้งใจมุ่งหน้า “ถนนเลียบเขาใหญ่”

จำต้องหยุดเพื่อเสพคาเฟอีนเข้าร่าง

ร้านบางร้าน ดูไม่หรู แถมรูปลักษณ์ “ภายนอก” ของกาแฟช่างดูธรรมดายิ่งนั่ง

อะไรทำให้กาแฟนี้ข้ามผ่านกาลเวลามาได้ ระดับหนึ่ง

สิ่งนั้นก็คงจะเป็น “รสชาติ”  ที่เป็นของจริงนั่นเองยิ้มยิ้ม

ออกเดินทางกันต่อ

ผมหย่อนก้นลงบนเบาะที่ห่อหุ้มด้วยผ้าที่ มีความ “หนึบ”

และสัมผัสได้ถึงความ “นุ่ม” แต่ไม่ยวบซึ่งต้องบอกว่า มันกำลังดี

เอาขาหนีบถังน้ำมันกลมๆ ที่มีสไตล์เก่าๆ หากแต่แอบเสริมความ “เว้า” ให้รับกับเข่าตามหลักการสมัยใหม่

แถมยังเล็กลงเมื่อเทียบกับรุ่นเก่า ส่งผลให้รู้สึก “กระชับ” มากขึ้น

ไม่ถึงกับกระชับแน่นแบบรถโมเดิร์นสปอร์ต

เพราะหากจะรักษากลิ่นไอรูปแบบดั้งเดิม ไว้  ย่อมต้องสละสิ่งหนึ่งเป็นธรรมดา


ค้อมตัวลงต่ำ เพื่อเอื้อมมือไปจับแฮนด์ที่มีองศาค่อนข้างสปอร์ตตามสไตล์ คาเฟ่ เรเซอร์

กระจกปลายแฮนด์บรรจงทำขึ้นมาเพื่อความ สวยงามและยังใช้งานได้ดี ยกเว้นยามแหวกการจราจรอันแสนติดขับของเมืองกรุงเพื่อ มุ่งสู่จังหวัดนครนายก

เรือนไมล์เข็มสไตล์ดั้งเดิมสองลูกฝัง ด้วยหน้าจอ LCD เล็กๆ บอกข้อมูลครบถ้วนกระบวนความตามที่รถโมเดิร์นสมัยใหม่ควรจะเป็น ( มีแม้กระทั่งไฟบอกเกียร์ ระยะทางที่วิ่งได้จนกว่าน้ำมันจะหมด  ประหลาดใจประหลาดใจ)

บังลมหน้าอันเล็กหากแต่ลำตัวที่ก้มค้อม รับช่วยป้องกันกระแสลมได้ดีจนกระทั่ว ความเร็ว ๑๔๐ กม/ชม ร่างกายจะรู้สึกถึงภาระลมตีที่มากเกิน

บนถนนที่ทอดยาว พาดผ่านชีวิตผู้คนที่หลากหลาย

เครื่องยนต์ที่ครางแผ่วอยู่ใต้หว่างขาพา เราสู่จังหวัดนครนายก ยิ้มยิ้ม

ณ ถนนเลียบเขาใหญ่


เส้นทางสายนี้ยังคงร่มรื่นอุดมไปด้วย เรือกสวนไร่นา

รวมถึงลำโค้งที่สวยงามพอให้ได้สัมผัสกัน พอหอมปากหอมคม

ไอแดดยามสายเคล้าลมเย็นปะทะเรือนกาย..

ความสุขของนักขี่อย่างเราก็หาได้รอบๆ ตัวเราในประเทศที่มีผืนดินอันอุดมแห่งนี้นี่แหล่ะ


จุดประสงค์ในการขี่รถมาแถวนี้ นอกจากจะเรียนรู้รถแล้ว…

ผมอยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับการทำสวน !!!

แม้แต่บุคลากรทางสายคอมพิวเตอร์เนิร์ดๆอย่างผม ยังมาขี่มอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยวได้

แล้วนับประสาอะไร ในอนาคต จะผันตัวเองไปมีความสุขกับการทำเรือกสวนไร่นาไม่ได้…

แน่นอน สิ่งที่ขาดคงเป็นพลังกายและความรู้ ที่ผมต้องศึกษาต่อไป ร้องไห้ร้องไห้


สวนผลไม้ที่ร่มครึ้มแห่งนี้ เป็นอีกต้นแบบหนึ่งที่ผมอยากจะเดินตามรอย

เพราะผมเชื่อว่า เงินทองนั้นเป็นของมายา  แต่ข้าวปลานั้นเป็นของจริง…

สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือ จุดเริ่มต้นที่ต้องก้าวเดิน…

และก็ศึกษาต่อไป…

ผ่านการใช้งานนับจากศูนย์ Triumph Ultimate Ride จนกระทั่งมายังถนนเลียบเขาใหญ่

วงล้อหมุนข้ามผ่านผู้คนและเส้นทางหลายรูปแบบมาพอสมควรที่จะบอกเล่าเก้าสิบ เรื่องราวของตัวรถได้บ้างแล้ว

ข้ามผ่านกาลเวลามาหลายยุคสมัยสำหรับ เครื่องยนต์ในคลาส “โมเดิร์นคลาสสิค” แบบลูกสูบคู่ของ Triumph

นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุด ของเครื่องยนต์ในคลาสนี้ เมื่อเครื่องยนต์บล๊อคใหม่  ไม่ได้ระบายความร้อนด้วยอากาศอีกต่อไปประหลาดใจประหลาดใจ

และสุ้มเสียงจากการเรียงลำดับการจัด ระเบิดใหม่จาก ๓๖๐ องศาเป็น ๒๗๐ องศา ออกละม้ายคล้าย “วี-ทวิน” แทนที่จะเรียบเนียนใกล้เคียง “สี่สูบเรียง” แบบบล็อคเดิม

จาก ๘๖๕ ซีซีผันผ่านสู่ ๙๐๐ ซีซี  และถูกปรับนิสัยใหม่กลายเป็นเครื่อง “High Torque” ซึ่งให้พลังแรงบิดที่พลุ่งพล่านตั้งแต่รอบต่ำไปจนถึงรอบปลานกลาง

แทนที่จะเป็นเครื่องยนต์ที่ให้แรงม้าใน รอบสูงแบบดั้งเดิม ผลคือ แรงทอร์คมหาศาลติดมือแบบทันทีในย่าน ๒-๓ พันรอบต่อนาที แต่ก็ลดลงเรื่อยๆ ตามรอบที่มากขึ้นและไปตันที่ ๖ พันกลางๆ

ถ้านับเป็นตัวเลขม้าตามสเป็ค ก็จะได้ที่ ๕๕ แรงม้าที่ ๕,๙๐๐ รอบ ส่วนแรงบิดทะลักมาเต็ม ๘๐ Nm ที่รอบเพียง ๓,๒๕๐ รอบเพียงเท่านั้น

แถมอัตราการกินน้ำมันยังยอดเยี่ยม ผมทำได้ถึง ๒๕ – ๓๐ กิโลเมตร / ลิตร ที่ย่านความเร็วประมาณ ๘๐ – ๑๒๐ กิโลเมตร / ชม

และทั้งหมดทั้งมวล  นั้นแรกด้วยกำลังย่านรอบสูงที่ลดลงเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ ๘๖๕ ซีซีตัวเก่า


ด้วยเครื่องยนต์ของ Street Cup กับ Street Twin ที่คล้ายกันมาก ก็พอจะอธิบายลักษณะการส่งกำลังได้ด้วยกราฟนี้

เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ ๘๖๕ ซีซีบล็อคเก่าก็จะชัดเจนในความเปลี่ยนแปลง

แต่เสียดาย ไม่มีกราฟของ Triumph Bonneville  แต่ก็พอจะอ้างอิงจาก Thruxton ตัวเก่าได้

ป.ล. ขอหยิบยืม Dyno Graph ของทาง Motorcycle.com มาให้รับชมครับ

ด้วยเครื่องยนต์ที่มีคาแร็คเตอร์และสุ้มเสียงละม้ายคล้ายคลึง “วี-ทวิน”

ส่งผลให้การส่งกำลังของเครื่องยนต์ตัวนี้มีเอกลักษณ์ในแบบของมันพอควรจุ๊บๆจุ๊บๆ

บริษัทท่อไอเสียอาจจะขายได้จำนวนลดลง เนื่องจากสุ้มเสียงดั้งเดิมที่ส่งผ่านปลายท่อคู่สองด้านให้สำเนียงที่มีเอกลักษณ์และไพเราะเอาการอยู่

อีกทั้งการถ่ายทอดกำลังของเครื่องยนต์ ยังเรียบเนียน นุ่มนวล รสหวาน ทานง่ายอมยิ้ม01อมยิ้ม01

เมื่อส่งผ่านชุดเกียร์บ๊อก ๕ สปีดที่ต้องบอกว่า ลื่นไหลมาก ผนวกกับคลัทช์ที่เบามือเป็นอย่างยิ่ง ทำให้การขับขี่นั้นพริ้วไหวชวนฝัน…

มี ๒ สิ่งที่เครื่องยนต์บล๊อคนี้ขาดไปในห้วงความคิดของผมคือ  Engine Break ที่ค่อนข้างน้อยไป

ผสานกับช่วงเกียร์แต่ละเกียร์ค่อนข้างห่าง

ทำให้ขาดแรงดึงที่ช่วยหน่วงความเร็วและเพิ่มความมั่นใจในเรื่องการเข้าโค้ง

และขาดรอบสูงที่ส่งผ่านความเร้าใจ

เพราะรอบเครื่องยนต์นั้นดูเหมือนจะตันๆ ที่รอบเครื่องยนต์เพียง ๖ พันกว่ารอบเพียงเท่านั้น !!!

อัตราเร่ง ๐-๑๕๐ นั้นเรียกมาได้แบบค่อนข้างติดมือ แต่หลังจากนั้นไปต้องรอหน่อย

ไล่ไปกันจนถึงTop Speed ผมทำได้ที่  ๑๘๐   คาดว่าถ้าแช่อีกหน่อยน่าจะถึง ๑๘๕ แต่รู้สึกว่ารถเยอะไปหน่อย เลยไม่ลองดีกว่า

อัตราเร่ง ๐-๑๕๐ นั้นเรียกมาได้แบบติดมือ แต่หลังจากนั้นต้องรอหน่อย

ย่านความเร็วเดินทางที่ถือว่ากำลังสบายๆ คือ ๑๐๐ – ๑๔๐ กม / ชม สำหรับสรีระศาสตร์ท่านั่งแบบสปอร์ตและชิลด์หน้าช่วยให้การหลบลมนั้นดีพอสมควร

ถ้าขี่ช้า ๐ – ๘๐ กม / ชม อาจจะมีเมื่อยบ้างเพราะว่าต้องก้มและไม่มีลมช่วยพยุงลำตัว  ใช้ก้ามเนื้อพุงล้วนๆ  =____=’

และอาจจะประสบกับไอร้อนที่ส่งผ่านออกมาจากเครื่องยนต์ให้ได้รู้สึกร้อนขาได้บ้างพอประมาณ


บรื๊นนนๆๆๆๆๆ

เอี๊ยดดดดดดด . . .

ผมเร่งออกจากโค้งด้วยการเปิดคันเร่ง รุนแรงหน่อย  ล้อหลังขนาด ๑๗ นิ้วที่รัดด้วยยาง ๑๕๐/๗๐  ออกอาการปัดเป๋แบบใจหายวาบ

ผมต้องพิจารณาการเปิด Traction Control ขึ้นมาเสียแล้ว !!! ร้องไห้ร้องไห้

พุ่งพาดผ่านผ่านโค้งยาวไกล จากเชิงเขาใหญ่ลัดเลาะชายเขามุ่งหน้าเขื่อนขุนด่านปราการชล


หากแต่วันนี้ผมมิได้มาเที่ยวเขื่อนขุนด่านฯ ที่ตระหง่านอยู่ตรงหน้า

หากแต่เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ผมหมายมั่นปั้นมือจะไปเรียนรู้ “หลักการ” แห่งความยั่งยืน

“ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ”

บนผืนแผ่นดินที่ดินพระราชทานของในหลวง รัชกาลที่ ๙

สถานที่มีมีแปลงสาธิตการเกษตรและความรู้การเกษตรแผนใหม่ให้เราได้ศึกษา

ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผมทำการเกษตรแล้วจะมีความสุขไหม

แต่เวลาที่ได้อยู่ในไร่นาสวนผสมอันร่มรื่นแล้วจิตใจสงบแบบบอกไม่ถูก

ฤาจะถึงวัยที่มีความสุขกับต้นไม้แล้วกระมัง ร้องไห้ร้องไห้


ความรู้และหลักการแห่งความยั่งยืนมากมาย

บนเส้นทางถนนของพ่อถูกจัดแสดงไว้ให้เราชม

หากเราใช้ชีวิตดำเนินตามรอยเท้าของพ่อ

ผมมั่นใจว่า นี่คือหลักการที่ยืนหยัด มั่นคงและพอเพียงที่จะเลี้ยงชีวิตไปจนกระทั่งวันตาย


ตอนนี้ ผมได้เพียงศึกษา

และเตรียมความพร้อมเท่านั้นครับ  แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองจะไปในแนวทางนี้ได้หรือไม่ในขณะนี้

แต่มั่นใจว่า ในท้ายสุดบั้นปลายชีวิต  สิ่งที่ต้องอยู่กับเราคือแนวทางพอเพียงของพ่อที่จะพาเรายืนหยัดอย่างยั่งยืนข้ามผ่านกาลเวลาไปได้

ป.ล. ขออภัยที่เวิ่นเว้อ นี่กระทู้มอไซค์หรือกระทู้คนแก่ ๕๕๕๕

เดี๋ยวจะกลายเป็นกระทู้การเกษตรไปเสีย ก่อน กลับมาเรื่องมอเตอร์ไซค์กันดีกว่า… หัวเราะหัวเราะ

ภายใต้การชี้นำของล้อหน้าขนาด ๑๘ นิ้วภายใต้ตะเกียบคู่ telescopic ที่ยึดติดกับเฟรมเหล็กหน้าตาโบราณแต่ได้รับการดีไซน์ใหม่ ผสานกับโช๊คหลังคู่หน้าตาธรรมดาที่ยกสูงขึ้นเล็กน้อยจากรุ่น Street Twin

แพ็คเกจสปอร์ตโดยรวมมาพร้อมน้ำหนัก ราว ๒๑๐ กิโลกรัมกว่าๆ ได้  ส่งผ่านความรู้สึกการควบคุมที่เป็นธรรมชาติและลื่นไหล  หากแต่จะคาดหวังการพลิกพริ้วอันรวดเร็ว และเฉียบคมเยี่ยงโมเดิร์นสปอร์ตสมัยใหม่ นั้นอาจผิดหวัง

สเถียรภาพในโค้งนั้นรู้สึกได้ดีหากแต่ต้องการยางที่หนึบกว่านี้ เพื่อส่งผ่านสมรรถนะที่แท้จริงของช่วง ล่างออกมา แต่เกรงว่าจะหายางยากพอสมควรสำหรับขนาด ของล้อหน้า  ระบบเบรกถูกอัพเกรดจาก Street Twin ขึ้นอีกนิด
มาพร้อมกับโฟลทติ้งดิสก์และระบบ เบรก ABS ให้อุ่นใจ

ภายใต้อุปกรณ์ทั้งหมดทั้งมวลรวม ตัวประสานงานกันแล้วทำให้การขับขี่นั้น ลื่นไหลและสนุกสนาน มีจิตวิญญาณความเป็นสปอร์ตฝังอยู่ลึกๆ  หากต้องการสมรรถนะสปอร์ตแบบถึงใจคงต้อง อัพเกรดระบบกันอีกสักหน่อย

เชื่อว่าเจ้า Street Cup ต้องเฉิดฉายบนท้องถนนโค้งที่ทอดยาวอย่างแน่นอน…



เย็นย่ำตะวันรอน ได้เวลาจรกลับรังนอนถิ่นพำนัก


เรือนร่างอันอวบอัดของผม ช่างไม่เข้ากับรถที่ทรวดทรงองค์เอวอรชรอ้อนแอ้นจริงๆ ร้องไห้ร้องไห้

เป็นเวลาใกล้พลบค่ำ ขอชมสวนยางส่งท้ายสักเล็กน้อยเถอะ

สวนยางเป็นอีกหนึ่งในความฝันที่อยากทำเพียง เพราะชอบบรรยากาศอันร่มรื่น

หากแต่ความรู้นั้นยังไม่มีเลย…

หากจะกล่าวในแง่ศิลปะ

ในสายตาผมนี่คือผลงานศิลปะชั้นเลิศชิ้นหนึ่งที่ถูกบรรจงสร้างขึ้นมา

วัสดุทุกชิ้นที่ถูกนำมาประกอบช่างดูมีคลาสและคุณค่า

เชื่อว่า แม้เวลาเดินผันผ่านไปนับสิบปี

สิ่งนี้ยังคงดูงดงามเฉกเช่นวันวานแน่นอน

กระผมมั่นใจเช่นนั้น อมยิ้ม01อมยิ้ม01

สำหรับบทสรุปสำหรับ Street Cup

มันคือรถที่สวยงามพร้อมข้ามผ่านกาลเวลามากับสไตล์สปอร์ตย้อนสมัย ซ้ำยังพ่วงด้วยเครื่องยนต์ที่รสหวาน ทานง่าย นุ่มนวล ไหลลื่น

แพ็กเกจโดยรวมพร้อมพร้อมส่งผ่านจิตวิญญาณแบบคาเฟ่ให้ผู้ขับขี่ได้รับรู้ภายใต้สัมผัสการขับขี่และสรีระศาสตร์ หากแต่ยังไม่ขาดความสบายที่พร้อมมอบให้

หากคุณคือผู้มองหารถสไตล์คาเฟ่สนนราคา ๔ แสนกลางในสยามประเทศ เชื่อว่าต้องทำการบ้างและตีโจทย์ของตัวเองให้แตกก่อนเลือกว่าเรานั้นต้องการสิ่งใด เพราะว่าคู่เปรียบนั้นก็ค่อนข้างมีสไตล์ที่แตกต่างชัดเจน

กระผมเองก็ขอเพียงแต่ขอส่งผ่านความรู้สึกที่ได้ขับขี่เจ้า Street Cup ไว้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจของทุกท่าน

เอาให้ง่ายขอสรุปเป็นข้อดี ข้อเสีย ข้อสังเกตแล้วกันครับ ยิ้มยิ้ม

ข้อดี

+ สวยงาม ดูดีมีชาติตระกูล

+ เครื่องยนต์นุ่มนวล มีเอกลักษณ์

+ ชุดเกียร์ คลัทช์ที่นุ่มละมุน ลื่นไหล

+ ประหยัดน้ำมันจนน่าทึ่ง

+ ขี่ง่าย

+ น้ำหนักเบา

+ แฮนด์ลิ่งพริ้วไหวและเป็นกลาง

+ ทรวดทรงองค์เอวกระทัดรัด

+ นั่งนุ่ม ขี่เดินทางไกลสบายในย่านความเร็วไม่เกิน ๑๕๐ กม / ชม

+ Traction Control ช่วยชีวิต

+ ABS

ข้อเสีย / ข้อสังเกต

+ ช่วงล่าง อยากให้ดีกว่านี้ แต่ด้วยราคานี้ก็ถือว่าคุ้มค่า

+ เบรก อยากให้ปึ๊กกว่านี้

+ ยางหนึบกว่านี้น่าจะขี่สนุกขึ้น

+ ความพริ้วไหว / ความเร็วในการพลิกรถ

+ ขาดความเร้าใจในรอบสูง

+ Engine Break น้อยไปนิด

+ น่าจะมี 6 เกียร์

ส่งท้ายบทสรุปแห่งการเรียนรู้  คือ สู้ต่อไป

เฉกเช่นเดี่ยวกับเจ้า Street Cup ที่ยังคงต้องฝันฝ่ากับคู่แข่งในท้องตลอดและกาลเวลา

เพียงพิสูจน์ถึงตัวตนที่พร้อมจะยืนหยัดและข้ามผ่านถนนเส้นต่างๆ

และพูดได้เต็มปากว่านี่คือ  Triumph Street Cup  ยิ้มยิ้ม

ขอบคุณที่รับชมครับ ^^ อมยิ้ม17อมยิ้ม17

บทความโดย เตี้ย ล่ำ ดำ แก่
Linkต้นฉบับ https://pantip.com/topic/36015145