ซัวสะได ไอเลิฟยูครับ เพื่อนพ้องน้องหลานที่คิดถึง……
เมื่อฝนมาฟ้าหม่นในช่วงปีที่ผ่านมา ครูน้าหยอยของหลานๆก็ให้เกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องไปนอนพักรักษาตัวอยู่1ปีเศษ ตอนนี้สภาพร่างกายเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาทีละน้อยๆ จนสามารถขี่รถไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆได้บ้างแล้ว……ประมาณว่า หลังจากฟื้นขึ้นมาจากโรคาพยาธิดังที่หลายคนทราบดีแล้ว…. ในช่วง3เดือนที่ผ่านมา ผมขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวมาแล้วประมาณ 8,000 กม./เห็นจะได้……
ที่พอจำได้แบบไม่ต้องนึกทบทวนให้เปลืองสมองแต่อย่างใดก็คือขี่รถซูเปอร์สปอร์ตขนาด150ซี.ซี.ยี่ห้อ GPX ไปทางแม่ฮ่องสอนแล้วมาวนออกแม่สอด กลับกรุงเทพฯทริปหนึ่ง…..ตอนนั้นก็ผลาญระยะทางไปสักสองพันกิโลแม้วเห็นจะได้…..
นี่คือรถซูเปอร์สปอร์ตขนาด150ซี.ซี. ในความหมายของผมนะครับ ฮ่าๆๆๆ…..ผมก็ช่างใจกล้าเขียนลงไปด้ายยยย…..ตอนนั้นแค่เดินยังจะไม่รอดเลย แล้วยังมีหน้ามาเขียนว่าเป็นรถซูเปอร์สปอร์ตอีกแน่ะ…น้าหยอย
ครั้งที่2 ก็ขี่รถคาวาซากิ ZX 150 ไปสำรวจเส้นทาง(หาเรื่องขี่รถเที่ยวในที่แปลกๆแหละ)ที่อำเภอแม่พริก(ลำปาง)….ไปคราวนี้วิ่งน้อยหน่อยคือประมาณ 1,500 กม.หลังจากนั้น
นี่เป็นตอนที่ผมแอบไปสำรวจทางที่อำเภอแม่พริกนะครับ
ก็ไปช่วยร้านนัดพบคุมขบวนคาราวานไปเที่ยวเมืองกาญจน์ เสร็จจากงานคาราวานที่กล่าว เราก็ขี่รถต่อ…..ไปเที่ยวสังขละ (โดยมีน้องๆหลานๆในกลุ่มแอดมิน Just Ride It ช่วยขี่เป็นพี่เลี้ยงไปด้วยอีก3คน รวมเป็น4 ทั้งครูน้าหยอย)
ส้วนรูปนี้คือตอนที่ดูแลคาราวานไปเมืองกาญจน์และเลยไปเที่ยวสังขละ…..
อย่างที่ได้เกริ่นไปในอาทิตย์ที่ผ่านมาแล้วว่า ชีวิตของผมนั้นตราบที่ยังไม่สิ้นลมหายใจ ก็อาจมีสิทธิ์ พึ่งพิงหลานๆให้อุ้มมาวางบนเบาะมอเตอร์ไซค์แล้วขี่รถเที่ยวไปอีกเรื่อยๆก็มีความเป็นไปได้สูง…..
ตัวอย่างที่เห็นกันสดๆจากไร่ก็ผลพวงที่ผมเจ็บป่วยคราวนี้ไงครับ…..
ใครเคยปวดหลังแบบเส้นพลิกมาแล้วก็คงจะรู้ฤทธิ์การทรมานของมันได้ดีนะครับ แล้วยิ่งทะลุมิติมาถึงผ่าตัดกระดูกสันหลังด้วย…..คุณเอ๋ย…แค่ยืนประคองตัวให้นิ่งๆได้สัก2นาทีก็ต้องใช้ความพยายามของร่างกายอย่างมหาศาล….
อาการมันเหมือนเราต้องแบกน้ำหนักอะไรบางอย่างเอาไว้บนบ่าสัก50กิโลอย่างนั้นแหละ การยืนทรงตัวให้นิ่งๆโดยมีน้ำหนักอยู่บนบ่า50 กิโลดังว่า จึงต้องพยายามเลี้ยงตัวเอาไว้ให้อยู่ตรงจุดศูนย์กลางของสันหลังตลอดเวลา….คืออย่าให้เซได้เป็นอันขาด มิฉะนั้น มันจะล้มครับ….แม้ว่าสมองเราจะสั่งให้ถ่างขาไปแก้ดุลการค้าแล้วก็ตามที แต่เส้นประสาทที่สันหลังมันไม่สั่งการต่อไปยังกล้ามเนื้อขาครับ….ผลที่ตามมาก็คือล้ม
อ้าว…..นี่ผมจะเอาเรื่องที่ผมขี่รถไปเที่ยวภูชี้ฟ้า หรือจะมาเล่าเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยของตัวเองให้คนอื่นรับรู้ไปทำไมฟะเนี่ย…..
ขออภัยอีกครั้งเน้อ……..
วันนี้ขอเล่าเรื่องขี่รถไปปลุกประสาทที่ภูชี้ฟ้าให้ฟังเสียก่อนก็แล้วกัน….
กล่าวกันไปตามความเป็นจริงแล้ว คนอายุ71อย่างครูน้าหยอยนี่ ไม่น่าจะขี่รถมอเตอร์ไซค์เที่ยวอีกแล้วนะครับ เนื่องจากมันเลยวัยเกษียณ (เอ๊ะเขียนถูกไหมเนี่ย-ขออภัยก็แล้วกันหากผมเขียนผิด) ไปกว่า10ปีแล้ว….ประสาทหูประสาทตามันย่อมลดน้อยถอยลงไปตามสภาพสังขาร จะมาเสี่ยงบุญเสี่ยงกรรมอยู่บนถนนอีกทำไม…….
ก็ถูกอย่างที่ผมตั้งปุจฉาให้กับตัวเองอยู่เหมือนกัน…..เพราะวัยของน้าหยอยมันเกินกว่าที่จะบอกว่า ไม่ควรจะมาขับรถมอเตอร์ไซค์อีกแล้ว …..ขนาดขับรถยนต์ ก็ยังทะลุมิติเข้าข่ายมนุษย์ลุงเข้าไปจนเกินจะทำใจรับได้อยู่แล้วอีกเหมือนกัน…..
นั่นคือนิสัยธรรมชาติของคนสูงอายุ ที่พอเห็นชาวบ้านให้เกียรติความเป็นคนสูงวัยมากขึ้น พี่แกก็เริ่มจะรุกคืบไปเป็นศอก….ก็ว่ากันไปตามลักษณะนิสัยและพื้นเพของแต่ละบุคคล……..น้าหยอยไม่เกี่ยว..
กลับมาเล่าเรื่องต่อนะครับ……
ในช่วงที่บรรยากาศของความหนาวเริ่มมีอาการสามวันดีสี่วันไข้ คือหนาวบ้างไม่หนาวบ้างนั่น กลุ่มทีมงานของ Just Ride It เขาก็มีแผนจะไปทำเรื่อง “เลาะริมโขง ตามโครงการหลวง”อยู่ด้วยเหมือนกัน …..โดยเส้นทางของเขาน่าจะเริ่มต้นกันที่อำเภอเชียงของ(รายละเอียดของเขาจะเป็นยังไงก็คอยติดตามอ่านกันนะครับ) ส่วนครูน้าหยอยไม่เกี่ยวกับการตามโครงการหลวง แต่อย่างใด
ผมต้องการตามไปทวงความหนาวบนยอดภูที่สูงๆต่างหาก….ซึ่งปีที่แล้วนั่น ผมก็ตามไปตามล่าหาความหนาวที่ดอยอินทนนท์มาแล้วถึง2ครั้ง….ส่วนคราวนี้ผมอยากรู้ว่าร่างกายวัย71ปีของมันจะพารถคู่บุญไปเที่ยวแบบลุยเดี่ยวไปคนเดียวทั้งไปและกลับเป็นระยะทางเกือบสองพันกิโลไหวไหม…..
ระยะทางและเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความชราของผมเองแหละ
อย่างที่ได้กล่าวนำไปแล้วว่า ทีมงานของ Just Ride It ( ต่อไปครูน้าหยอยจะเขียนย่อๆเป็น Jri นะครับ มันง่ายและเร็วดี….)…เขามีแผนการไปตามงานของโครงการหลวงแบบเลาะเลียบแม่น้ำโขงกัน โดยไปเริ่มต้นกันที่จังหวัดเชียงราย….ส่วนผมนั้นชอบไล่หาความหนาวโดยเฉพาะ เลยบอกพวกหนุ่มๆของทีมงานไปว่า เราจะไปติดตามหาบ้านปางอุ๋งดั้งเดิมมาเฉลยให้นักท่องเที่ยวรุ่นหลังๆรู้ว่า …….
บ้านปางอุ๋งเดิมนั้นมันอยู่ที่เชิงดอบอินทนนท์ครับ…..เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่ครูน้าหยอยเคยไปเที่ยวมาเมื่อ20กว่าปีมาแล้ว…สมัยนั้น ถนนที่ตัดจากดอยแม่อุคอไปแม่แจ่มยังไม่มี(ดอยแม่อุคอคือทุ่งดอกบัวตอง)……คงมีแต่ถนนชาวดอยไปที่บ้านปางอุ๋ง….เขิงดอยสุเทพ
ส่วนบ้านปางอุ๋งที่อยู่ใกล้ๆปางตองและเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตในปัจจุบันนี้ นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่เพิ่งจะแห่ไปเที่ยวกัน….(ทุกคนเกือบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งชื่อปางอุ๋งเหมือนกัน อยู่ในเขตจังหวัดเชียงใหม่)
………ไว้ผมจะเขียนแยกให้อ่านกันในตอนหน้านะครับ…..ตอนนั้นผมใช้รถอาฟริกาทวินบุกเข้าไปกับน้านายห้าง(เพื่อนซี้คนสุดท้ายของน้าหยอยที่ซี้ไปแล้วเมื่อเกือบ10ปีที่ผ่านมา)…….บุกเข้าไปตั้งแต่10โมง ไปออกแม่แจ่มได้ตอน4โมงเย็น ในปากมีแต่กรวดและทราย……..ไปสั่งเบียร์กินเพราะความหิวกระหาย นึกว่าจะเป็นเบียร์เย็น…..คนขายเอาเบียร์ร้อนมาให้กินเสียอีก…..แต่เราก็รอดชีวิตออกมาได้จนถึงจอมทองในค่ำวันนี้ด้วยอาการเจียนตายของน้านายห้าง…..
รูปบนที่เห็นผมยืนเต๊ะท่าอยู่กับ อาฟริกาทวินนั่นคือกระท่อมที่พักเมื่อเกือบ20ปีที่ผ่านมานะครับ หลังละ150 บาท เราซื้อเบียร์มานั่งกินกันตรงลานหน้ากระต็อบ มีความสุขอย่างล้นเหลือ ก่อนที่จะมาล้มคว่ำขมำหงายในบ้านปางอุ๋งเชิงดอยอินทนนท์ฝั่งดอยแม่อุค….ส่วนภาพล่างคือบ้านปางอุ๋งในปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่ไปกางเต๊นท์นอนกัน ผมขี่รถซูเปอร์สปอร์ตขนาด150ซี.ซี.ไป (อย่างที่อธิบายไปตอนต้นๆแล้วด้วยอาการประชดประชันในสังขาร)
เล่าย้อนหลังถึงที่มาที่ไปของการไปตามล่าหาความเย็นของครูน้าหยอยให้รู้เป็นสังเขปนะครับ ว่าเริ่มต้นเลย ผมจะไปตามหาบ้านปางอุ๋งที่ดอยอินทนนท์ แต่พอมีน้องๆหลานๆใน JRI จะไปทำเรื่องเลาะริมโขงกันที่เชียงของในช่วงเวลาเดียวกันเสียด้วย ผมเลยตะแล็ปแก็บไปบอกพวกเขาว่า ครูน้าหยอยจะไปขี่รถเที่ยวทางเหนือที่อินทนนท์ แต่เมื่อพวกหลานๆจะไปเชียงรายกัน ผมเลยขอเสนอเพิ่มเป็นให้ไปภูชี้ฟ้าดีกว่า เผื่อที่ว่าผมจะได้ชดเชยกับการไม่ได้ไปดอยอินทนนท์
………..การณ์ก็เลยเป็นไปตามนั้น โดยเราจะขี่รถไปเจอะกันที่อำเภอเทิง..เนื่องจากเราทั้ง 3 คนต่างมีธุระกันคนละอย่างสองอย่าง…..สองหนุ่มจาก JRI เขาใช้รถGPX 4จังหวะขนาด200 ซี.ซี. ส่วนครูน้าหยอยใช้รถ คาวาซากิ ZX 150 2จังหวะรุ่นเก่า……ความเร็วพอพึ่งพิงได้ ความประหยัดก็ไม่น้อยไปกว่ารถแบบ4จังหวะ คือเฉลี่ย 25-28 กม/ลิตรที่130-140 กม./ชม……
ที่พักของเราในเทิง
หัสเดิมเริ่มแรกที่ครูน้าหยอยคิดจะไปค้นหาร่องรอยของบ้านปางอุ๋งแถวๆดอยแม่อุคอนั้น เรากะจะขี่กินลมชมวิวไปด้วยกันทั้ง3คน แต่เนื่องจากความจำเป้นบางประการของคู่หูต่างวัยของผมเกิดมีธุระแบบปัจจุบันทันด่วน เราเลยแยกกันเดินทาง โดยผมนิยมไปตามปกติที่เคยขี่รถประจำ เนื่องจากผมยังคาใจในเส้นทางที่พรรคพวกบอกเส้นทางจากจังหวัดตากไปจอมทองได้…ผมเลยขอใช้เส้นทางนี้ไปสำรวจล่วงหน้าก่อน…เจอะตรงไหนสวยๆผมก็แวะถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อยแบบไม่มีจุดหมายอะไรเป็นพิเศษ
ส่วนคู่หูอีกสองพระหน่อจะใช้เส้นทางหมายเลข11 เป็นหลักใหญ่ไปทางนครสวรรค์ อุตรดิตถ์ แพร่-ลอง-ปง-จุน ไปบรรจบกับผมที่อำเภอเทิง…..
เพราะฉะนั้น แม้ว่าโดยภาพรวมเราจะไปกัน3 คน แต่เป็นการเดินทางแบบต่างคนต่างไป เพราะฉะนั้น รูปที่ออกมาบางครั้งจะเห็นรถผมฉายเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเมื่อไปบรรจบครบกันแล้ว จึงจะเห็นรถทั้ง3คันนะครับ….
ผมออกจากบ้านตอนสายๆของวันเดินทาง ใช้ความเร็วแบบลมพัดชายเขามาคนเดียวด้วยความเร็วเฉลี่ย120-130กม/ชม………จังหวะไหนมีลมพัดสวนมาจากทางเหนือตัวรถจะเกิดแรงต้านบ้างพอสมควร เนื่องจากผมมีกระเป๋าข้างติดท้ายมาด้วย ส่วนกล่องใส่ของด้านหลังนั้นเป็นกล่องยี่ห้อกีวี่ ซื้อแม่ค้าที่ตลาดเมืองนนท์ที่เขาใส่ผลกีวีมาขาย…..แพงจนน้ำตาทะเล็ด…ลูกละ5 เหรียญบาทไทย…..ได้มาแล้วก็ใช้ลวดมัด4-5จุดให้กล่องวิเศษอันนี้ไม่เคลื่อนไหว……..ใส่น้ำมันเครื่อง2T บางน้ำมันเบ็นซินสำรองบ้าง
ผมขอเตือนนักขี่รถเอาไว้นะครับว่า ถ้าขับรถไปคนเดียวอย่าประมาทเด็ดขาด บางครั้งเรามั่นใจว่ารถเรามีก็อกสำรอง อย่างน้อยมันจะยืดระยะทางให้เราได้อีก3-40กม….
แต่เอาเข้าจริงๆแล้วบางครั้งคาบูเรเตอร์ของรถมั่นรั่ว โดยอาการลูกลอยค้าง…..มันไม่แจ้งเตือนใครเสียด้วยว่าน้ำมันล้นออกไปทางคาบิว…กว่าเราจะรู้ตัวก็น้ำมันหมดถังเสียแล้ว หรืออีกกรณีหนึ่ง แกนของก็อก2มันล้มลงในถัง…..กลายเป็นถัง1และถังสำรองใช้น้ำมันร่วมกัน……พอรู้ว่าน้ำมันหมด และเราจะเปิดก็อกสำรองก็สายไปเสียแล้ว….
เพราะฉะนั้นทางออกที่ดีคือต้องสำรองน้ำมันเอาไว้บ้างครั้บ
นี่คือกล่องท้ายเอนกประสงค์กี่วี ใบละ5เหรียญ…..บาท
จากขอบนอกของกรุงเทพใกล้ๆเมืองนนท์ เราใช้ความเร็วเดินทางออกมาจากบ้านในช่วงสายๆ ใช้เส้นทางสายบางปะหัน รูดยาวไปถึงทุ่งมะขามหย่อง แวะไหว้อนุสาวรีย์สมเด็จพระศรีสุริโยทัย พอเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงบรรพชนที่ส่งผ่านบ้านเกิดเมืองนอนมาให้เรามีความสุขได้จนทุกวันนี้บ้างแล้วออกเดินทางต่อ….ถนนสายนี้ไปทะลุออกสายเอเซียที่อำเภอบางปะหัน เราเลี้ยวซ้ายผ่านอำเภอไชโยและวัด “ปากราน”…….(เอ๊ะ ผมจะสลับกันหรือเปล่าไม่รู้แฮะ…มี2วัดที่ผมข้อใจครับ คือวัดโพกรวม( จะอ่านว่า โพก-รวม หรือโพ-กรวม ก็ไม่มั่นใจ)….ใครเป็นคนในพื้นที่ก็ลองเข้ามาชี้นำให้หน่อยก็เป็นคุณกับคนแก่เป็นอย่างยิ่ง
ชื่อจริงๆเขาจะเรียกว่า ปาก-ราน หรือปา-กราน กันแน่ อันนี้ไม่ทราบ แต่ครูน้าหยอยข้องใจมานานแล้ว วันไหนไม่เร่งร้อนในการเดินทางจะต้องแวะถามชาวบ้านแถวๆนั้นให้หายข้องใจสักที….พันผ่าเถอะ
วันก่อนนั้น ผมเคยขับรถไปแถวๆวัดศรีษะทอง(นครปฐม)…..มันมีป้ายอยู่แห่งหนึ่งเขาเขียนว่าทางลัดไปวัด โคกเขมา…..น้าหยอยแวะถามเขาว่าเส้นทางไหนไปโคกเข-มา……ไม่มีใครรู้จักวัดโคกเข-มาสักคนหนึ่ง จนกระทั่งคนขายกล้วยทอดที่ขายของอยู่แถวนั้นเขาบอกที่นี่มีแต่วัดโคกเขมา(โคกขะเหมา)……..กร๊ากๆๆๆๆ…..
หลังจากแวะกราบไหว้สิ่งที่ควรเคารพบูชาแล้ว ครูน้าหยอยก็ออกเดินทางต่อ ตรงไหนสวยๆงามๆก็แวะถ่ายรูป หิวที่ไหนก็แวะกินเสบียงกรังที่ผมทำติดตัวไป ส่วนมากก็เป็นแซนวิชง่ายๆ ซื้อกาแฟจากร้านขายของริมทางสักกระป๋องก็จบ….ใช้เวลาบรรจุกระเพาะสัก10นาทีก็ออกเดินทางต่อ
ในช่วงเดินทางไกลนั้น ผมขอแนะนำให้คุณดื่มยาบำรุงกำลัง(เขาก็เรียกกันไปว่าเป็นยาชูกำลังงั้นแหละ เอาจริงขึ้นมามันก็เป็นน่ำหวานผสมคาเฟอิน…..ซึ่งมันก็ได้ผลส่วนหนึ่งทางด้านการปลุกประสาท…แก้ง่วงได้จริงๆ แต่ไม่ควรบริโภคเกินวันละ2ขวด เนื่องจากมันชักจะฝืนสภาพร่างกายจนเกินไปหน่อย ถ้าไม่มีรีบเร่งอะไรนัก เราก็แวะงีบ-เอาหลังพิงเสาเพิงพักริมทางสัก15นาที พอสมองได้รับการพักผ่อนบ้าง ร่างกายก็จะสดชื่นขึ้น…ขี่รถได้อีกนานเลย
สำหรับตัวครูน้าหยอยเองนั้น ปกติจะดื่มคาเฟอินปลุกประสาท ในช่วง10 โมงเช้า(คือเริ่มขับรถได้สัก3ชั่วโมง-ก่อนที่ร่างกายจะเพลียจนเข้าโหงดง่วง)……ดื่มเข้าไปสักขวดก็ขี่รถไปได้เรื่อยๆจนถึงเที่ยง…แวะกินอาหารสำรองจนอิ่มแล้วก็เดินทางต่อ(ผมจะไม่นั่งพักที่ร้านอาหารเกิน10นาทีก็เดินทางต่อครับ)…ส่วนมากจะนั่งพักในปั้มน้ำมันที่พอมีที่ว่าง-ตอนเราหยุดชิ่งฉ่อง…รัปทานอาหารแล้วเติมน้ำมันติดต่อกันไปแบบเมดเล่ย์…….พอบ่าย2 ก่อนที่ร่างกายจะเข้าโหมดง่วง ผมก็เสพยาปลุกประสาทต่อเข้าไปอีก1ขวด……อย่างนี้ก็จะขับรถไปได้จนถึง5-6โมงเย็น
จำไว้นะครับว่าอย่าปล่อยให้ร่างกายเริ่มเข้าสู่โหมดง่วงเป็นอันขาด ไม่งั้นกินคาเฟอินเข้าไปอีก2ขวด ก็ไม่สามารถถอนตัวออกจากความง่วงได้ นอกจากหยุดพักสายตาสัก15นาที อาการหลุดเข้าไปในโหมดง่วงถึงจะหมดไป….
หากเกิดอาการที่กล่าว ผมมักจะแวะถ่ายรูปบ้าง ล้างหน้าล้างตาบ้าง..จนร่างกายสดชื่นดี ก็ซดกาเฟอินตามไปสกัดมันอีกนิดหน่อย การเดินทางก็เริ่มเข้าโหมดสนุกต่อไป
เคยเล่าให้ฟังไปแล้วว่า-ปกติถ้าเดินทางไปเมืองเหนือ ผมมักจะแวะพักแถวๆอำเภอเถิน มีเกสต์เฮ้าท์คู่บุญของผมอยู่แห่งหนึ่ง แกชอบปลูกผักสวนครัวทำอาหาร ผมไปทีไรก็จะไปช่วยคุณป้าคนนี้เก็บผักสดๆทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นผักคะน้าหรือพริกขรี้หนูสวนอะไร แกปลูกไว้ครบถ้วนกระบวนความ….ผักคะน้าสดๆนั่นมันกรอบและนิ่มอย่าบอกใครเลย แกชอบเอามาผัดไฟแดงให้ผมกินกับข้าวต้ม บางทีก็แกล้มยาธาตุตรานักเลงตอนเย็นๆ ….เที่ยวอย่างนี้ก็สนุกไปอย่าง
จากกรุงเทพ รูดผ่านอยุธยา ผ่านวัดโพกรวม….ชัยนาท นครสวรรค์ กำแพงเชร-ตาก บ้านตาก-และอ.เถิน…แวะพักกินผักสดที่เกสต์เฮ้าท์คุณป้าคู่ซี้ของผม เช้าวันรุ่งขึ้นก็เดินทางต่อไปลำปาง-งาว ผ่านศาลเจ้าพ่อประตูผา จนไปบรรจบกับถนนสายงาว-พะเยาว์…….และถึงอำเภอพาน….
ช่วงที่ผมแวะจอดภ่ายรูปแถวๆอำเภอพานนี่แหละ ขาตั้งข้างรถเกิดหัก(เจ้าของเก่าเขาเชื่อมแปะมานิดเดียวเอง เห็นเป็นรอยเหล็กหักใหม่เท่าหัวไม้ขีดอยู่2จุด เหมือนแต้มไว้พอให้ขาตั้งอยู่….แล้วลืมเชื่อมต่อให้สมบูรณ์หรือเขาจะสะเพร่าเองก็ไม่ทราบ…แต่ผลมันมาลงตอนที่ผมขี่รถไปเที่ยวภูชี้ฟ้าคราวนี้แหละ)….
บังเอิญมีชาวบ้านขับรถผ่านมาแถวนั้นพอดี ครูน่าหยอยเลยโบกมือขอความช่วยเหลือ….แล้วให้ศีลให้พรเขาไปตามกำลังปากที่พอจะนึกได้ในช่วงนั้นๆ…
ในช่วง20 กว่าปีที่ผ่านมานั้น ผมขี่รถไปเที่ยวเชียงของกับน้านายห้าง(เพื่อนซี้ของผมที่ซี้ไปแล้วกว่า10ปี).มาขึ้นภูชี้ฟ้าเป็น10ครั้ง….จะใช้เส้นทางสายใน
จากถนนสายแพร่มาเข้าอ.ลอง..แล้วลัดเลาะมาต่อเขตแดนพะเยาที่อำเภอดอกคำใต้-ปง-จุน-ละเรื่อยไปจนไปพบเอาขบวนแห่ปีใหม่ของชาวไตลื้อที่วัดแสนเมืองมา….เลยเป็นเหตุให้ครูน้าหยอยขับรถไปเที่ยวสิบสองปันนาในปีต่อๆมา ก็เพราะสาเหตุนี้แหละ
ตรงนี้เลยเป็นข้อมูลให้ผมแนะนำน้องๆ2คนในทีม JRI ให้เดินทางมาพบกับครูน้าหยอยตามเส้นทางนัแหละ ไม่งั้นถ้าเราไปตั้งหลักกันที่จังหวัดเชียงราย และจะมาภูชี้ฟ้านี้ ต้องอ้อมมาอีกกว่า100 กิโลเมตรครับ (นี่เขียนตามสายตาของคนต่างถิ่นนะครับ อย่าเอาไปเปรียบกับคนพื้นบ้าน ที่มีวิถีชีวิตอยู่แถวๆนั้น เขามีทางเฉพาะของพวกเขา)…รูปนี้วัดท่าฟ้าใต้ อันเป็นสูนย์รวมพลคนไตลื้อที่พะเยาว์ ที่เล่าให้ฟังไปบรรทัดต้นๆ ส่วนภาพของพระคุณเจ้าที่เห็น ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดที่กล่าวนี้………ภาพนี้20กว่าปีมาแล้ว ผมขออนุญาติท่านถ่ายรูปมา ตอนไปสำรวจแหล่งที่มาที่ไปของชาวไตลื้อ-บนเส้นทางที่ครูน้าหยอยกำลังย้อนรอยอยู่นี่แหละ
ขอพักตาแปบนะครับ เย็นๆจะมาเขียนต่อ
ซินจ่าวรอบเย็นนะครับ……น้าหยอยกลับมาอีกครั้ง ต้องรีบมาต่อเรื่องให้จบ เนื่องจากพรุ่งนี้ผมจะขี่เจ้าแก่คู่บุญzxคันที่พาผมไปลุยภูชี้ฟ้ามาหมาดๆไปหาเพื่อนเก่าที่จังหวัดเพชรบูรณ์……อดีตเขาเคยเป็นตำรวจอยู่ที่โรงพักเตาปูน ใกล้ๆกับบ้านของผม….ช่วงนั้นเขามียศเป็นสิบตำรวจตรี…..ชอบมานั่งดูผมทำเครื่องยนต์แข่งอยู่ในบ้าน-ช่วงที่ว่างเว้นจากงานราชการ…จนยศของพี่แกไปตันอยู่ที่นายดาบ(สมัยนั้นยังไม่มีการเลื่อนยศข้าราชการชั้นประทวนให้เป็นสัญญาบัตร)
เพื่อนคนนี้ส่งให้ลูกสาวเข้าเป็นตำรวจ จนปัจจุบันหนูเอ้ กลายเป็นผู้กองเอ้ไปแล้ว….ทั้งครอบครัวเลยย้ายกลับภูมิลำเนาเดิมที่เพชรบูรณ์…..เขาจะทำบุญบ้านกัน พรุ่งนี้ ครูน้าหยอยเลยจะขี่รถไปกินข้าวกลางวันกับพวกเขาสักหน่อย บ่ายๆก็จะกลับ(คาดว่าจะมาถึงบ้านเอาช่วงเย็นๆแหละ)มาเล่าเรื่องขี่รถไปเที่ยวแม่ฮ่องสอนให้ฟังกันต่อไป
วันนี้เล่าเรื่องไปเที่ยวภูชี้ฟ้าให้ฟังต่อนะครับ…….
รูปนี้น้องๆเขาชี้ฟ้าท้าดินให้เห็นเป็นพยานว่า น้าหยอยได้มาถึงภูชี้ฟ้าแล้วนะเนี่ย
ลิ้งค์ต้นฉบับ https://pantip.com/topic/36147732
……หลังจากผมแวะเชื่อมขาตั้งข้างเสร็จ ก็ขับรถต่อ….มารอพวก JRI ทั้ง2คนที่หน้าสถานีตำรวจ…..ประมาณเกือบ1ทุ่ม ทั้ง2หนุ่มก็ห้อรถหน้าตั้งมาพบกันตามนัด…..ที่อำเภอเทิงนี่ที่พักราคาเหมาะสำหรับคนเบี้ยน้อยหอยสังข์อย่างพวกเราเป็นอย่างยิ่งครับ ห้องขนาดพักได้3คน (1เตียงใหญ่และ1เตียงเล็ก-นอนได้3คนสบายๆ) ราคาแค่400 บาทเองแหละ……
ชุดกาแฟและขนมปังที่เห็นในรูปสุดท้ายนั่น เป็นเชลยของผมมาตั้งแต่เมื่อกลางวันที่แวะซื้อจากร้านในปั้มนะครับ….ผมต้องรีบกินอาหารเช้าก่อนคนอื่น เพราะต้องกินยาหลังอาหาร ไม่งั้นขับรถอยู่ดีๆ ผมอาจมีสิทธิ์วูบตกรถได้