
เรื่องของทริปนี้คือ จ.ชุมพรเนี่ยผมเคยเที่ยวเเล้วค้างคาใจไว้ตั้งเเต่กลางปีที่ไปเที่ยวไปวิ่งที่ลานสกาเเล้วเเวะมาเที่ยว
ได้แปปเดียวเเล้วต้องรีบกลับ คราวนี้เลยไปสิงอยู่ในกลุ่ม “สวัสดีชุมพร” หาที่เที่ยวอยู่หลายเดือน จดลิสต์ไว้หลายที่
เเล้วก็มีพี่ๆ ในกลุ่มลงภาพ “ทะเลหมอกบนดอยตาปัง” อ. สวี
เเบบอลังการ เเถมขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นไปได้ เเถมกางเต๊นท์บนนั้นได้อีก
เลยรีบหาวันว่าจะไปช่วง ตอนกรุงเทพหนาวๆ (ปลายตุลาคม)
ก็ไม่ว่างเลยต้องไปวีคต้นเดือน พ.ย.เเทน
ปีนี้ผมเองก็ไม่ได้มีทริปขี่รถ 8 วัน 10 วัน เหมือนปีก่อนๆ เพราะติดการ”วิ่ง”มาก
รู้สึกกว่ามาวิ่งเเล้วชีวิตดีขึ้นเยอะทั้งกายเเละใจ (หลังๆนี่วิ่งซ้อมเป็นระบบมากขึ้นไม่ได้)
เเละหวงแหนร่างกายที่จะไม่ให้บาดเจ็บเเบบไร้สาระ จนบางทีอยากเลิกขี่รถไปซะนี่ …
เเต่ก็ไม่ได้ การขี่รถถ่ายภาพนี่มันคือส่วนนึงในห้วงความสุขของชีวิตผมเลยล่ะ
กาารเดินทางใช้เส้นทาง พระประเเดง พระามสอง – ชุมพร
การเเวะเรื่อยเฉื่อยนั้น เป็นเรื่องปกติของผม เเต่ทริปนี้ 500 โลกลมๆ ไม่น่าเกิน 2 วันน่าจะถึง 555 เเฮ่ เเค่ 6-7 ชม.พอ
เอ๊ะทำไม ดูนาน ปกติ ออกทริป 500 โล 3-4 ชม.ก็เหลือๆนี่
ก็นี่มันผมเองขี่ 100-110 ตลอดทางพอเหมือนเดิม เเละไม่สร้างสถานการณ์เสี่ยงในถนนทุกรูปแบบ จบทริปต้อง จบไม่เจ็บ ไม่จน
เเละรถที่ใช้ในทริปนี้ก็ คือ เจ้า GPX GENTLEMAN 2018 ไมล์ 0 เลย
ที่ทาง GPX ให้มาขี่ไปขึ้นดอยตาปังที่ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นไง เพราะเพิ่งเปิดเป็นทางการไปเมื่อ พ.ค.ที่ผ่านมานี่เอง
เเละทั้ง TIMELINE ที่ขี่รถเที่ยวมา ไม่เคยใช้รถคนอื่นขี่ไกลๆขนาดนี้ บอกเลย เสียวมาก เพราะต้องระมัดระวังสุดๆ
เพิ่งจะรู้ว่าแดดเกือบเจ็ดโมงเเถวบ้านมันสวยขนาดนี้

รู้สึกว่าช่วงนี้จะมีคนไปดอยนี้เยอะเเฮะ
มาถึงส่วนของตัวรถกันครับ GPX LEGEND GENTLEMAN 200 รูปทรงแบบสไตล์โมเดิร์นคลาสสิค และสีนี้ก็เป็นสีใหม่ล่าสุดเลยครับ
-ไฟหน้าทรงกลม ไฟไฟเดย์ไลท์เป็นวง LED สีขาว บิดกุญเเจก็ติดเลย ส่วนใส้หลอดไฟส่องสว่างจะเป็นหลอดแบบฮาโลเจน H4
-ไฟท้าย LED โคมสีเเดง
-หน้าจอแสดงผลนั้นเป็นแบบดิจิตอล มีวัดรอบ มีบอกเกียร์ มีทริปA เเละ Total เกจ์น้ำมันเเละความร้อน
เปลี่ยนสีหน้าจอได้ 5 สีเลยหล่ะ555 เยอะไปไหน


– ตำแหน่งของการวางแฮนด์ แอบมีความเป็นสปอร์ตอยู่ในตัวสูง เพราะต้องก้มไปด้านหน้าค่อนข้างมาก ซึ่งมันก็ต้องเอาความหล่อแลกมากับความเมื่อยอยู่บ้างเวลาที่ใช้ขับขี่เดินทางไกลๆขึ้นมาหน่อย ซึ่งเเรกๆก็เล่นเอาซะมือชาเพราะตัวผมเองขี่เเต่รถนั่งหลังตรง 555 เเต่พอได้ซัก 100 โล
ความคุ้นเคยก็เริ่มมา จัดท่าทางได้ก็ไม่มีอะไรติดขัดละ
– กระจกมองหลังเป็นแบบทรงกลมใช้งานได้ดี สั่นบ้างในรอบเครื่อง4000
– ระบบสตาร์ทนั้นเป็นแบบสตาร์ทมือไฟฟ้า ไฟเลี้ยวกดใช้ยากไปหน่อย
– ไฟเตือนน้ำมันจะมี 5 ขีด จะเหลือขีดเดียวเมื่อพ้น 200 โลไปเเล้ว
– เติมลงถังได้ ไม่เกิน 7 ลิตรทุกที เเสดงว่ายังไปได้อีก 100 โล สบายๆเลย


ส่วนเครื่องยนต์ของ gentleman นั้นมีขนาด 200cc สูบเดียว ระบายความร้อนด้วย OIL Cooler มี 6 เกียร์
ซึ่งทริปนี้บอกได้ว่าเป็นการรถคันนี้ตั้งเเต่ไมล์ 0 เลยทีเดียว ความเร็วที่ใช้สูงสุดนั้นผมลองได้ที่ 125 กม./ชม.
เเละความเร็วยืนพื้นอยู่ที่ 90-110 กม. รอบเครื่องที่ 5000 ปลายๆ-6000 ไม่เกินนี้ อัตราการกินน้ำมันก็ถือว่าน่าพอใจเลย
ตกราวๆ 30-31 โลลิตร กับความเร็วยืนพื้น … วัดกับ GPS Garmin วิ่ง 80 ก็ 72-73 ราวๆนี้

– ดิสก์เบรกหน้าคู่แบบ “เรเดี้ยนเมาท์” หนึบด้วยหล่อด้วย เเละน่าจะไม่เปลืองผ้าเบรคนะ 555 ส่วนเบรคหลังก็ปกติธรรมดาใช้งานได้ดีครับ
– โช้คอัพหน้าแบบหัวกลับ (Upside Down) ต้นเบ้อเร่อเลย USD USD อิอิ ซับแรงได้ดีนะผมชอบเลย


– โช้คหลังให้ของ YSS มาอืมก็ดีเลยนะนุ่มหนึบใช้ได้ ส่วนล้อนั้นแน่นอนว่าเมื่อมาในแนวคลาสสิกอย่างนี้
จะต้องเลือกใช้ล้อหน้ากว้างขึ้นซี่ลวดดำ ขนาด 17 นิ้วทั้งหน้าและหลัง ใส่ยาง Pirelli Angel 110/70 – 140/70

ถังน้ำมันติด EmBlem Gentleman ความจุ 13 ลิตร ขี่เนียนๆ 400 โล น่าจะได้ โดยความจุของน้ำมันเชื้อเพลิงจะแยกกัน
ถังหลักที่อยู่ด้านบนจะจุได้ประมาณ 11.5ลิตร ส่วนที่แยกมาตรงก็อกสองอีก 1.5ลิตร

เกียร์โยงมาให้จากโรงงานเช่นเคย แต่ที่ไม่เหมือนเคยคือมีการปรับองศามือลิงจับเกียร์ใหม่เข้าเกียร์ได้ไวนุ่มนวลและแม่นยำขึ้น
สามารถปรับระดับได้ตามมุมตามตำแหน่งการวางเท้าของแต่ละคน
“เเต่เข้าเกียร์ว่างยากไปหน่อย” คิดว่าต้องโดนน้ำเครื่องดีดีหน่อยน่าจะดีขึ้น
เบาะนั่งสบายดีไม่มีอาการกัดตูดครับ เเถมเย็บเเซมด้ายเเดง ผมว่าสวยดีครับ

เเต่เอาเป็นว่าฟิลลิ่งการขับขี่รวมๆยังคงถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในย่านความเร็วระดับนึงตามสไตล์ของรถครับ
ถามว่าเดินทางไกลได้มั้ย ภาพในกระทู้คงอธิบายตัวมันเองได้จนไม่ต้องบอกซ้ำ ทริปนี้เรื่อยเฉื่อยไปทั้งหมด 1200 โล
ขึ้นเขาลงห้วย ร่างก็ยังปกติดี 555 ว่าจริงๆพอปรับตัวเขากับรถได้ก็ชักสนุกกับรถทรงนี้เเฮะ
จากที่ปกติไม่เคยขี่แฮนด์เอื้อมๆเเบบนี้เลย

ว่าเเล้วก็ไปลุยกันเลยครับ
ที่แรกที่แวะจริงจังคือ หาดทุ่งวัวเเล่น กะจะเอารถไปถ่ายรูปสวยกับริมหาด
แต่เห็นป้ายจุดชมวิวเขาดินสอ มีชมเหยี่ยวด้วย ก็เลี้ยวสิครับ
ขึ้นไปข้างบนเขาไม่ชันมาก ถนนดี ข้างบนมีร้านกาแฟ
ชมวิวทะเลได้สวยงามระดับ 6 เลยทีเดียว
เเถมที่นี่ยังสามารถขึ้นไปชมวิวบนยอดเขาสูงสุดให้เวลาเดินไปกลับ ประมาณ 1.30 (ถามวัยรุ่นที่ลงมาบอกโคตรเหนื่อยเลยพี่บ่าว)


ขี่รถมาอีก 4-5 โล ก็ถึงหาดทุ่งวัวเเล่น เเต่ก่อนจะถึงหาดทุ่งวัวเเล่น มองเห็นสะพานยื่นลงไปในทะเล
สืบไปสืบมาตรงนั้นเค้าเรียกว่า “หาดสะพลี” อากาศดีมากๆเลย


พอมาถึงทุ่งวัวเเล่น คนเป็นล้านเลยเย็นวันเสาร์อะนะ
เเถมจะเอารถลงไปถ่ายตรงหาดก็ไม่ได้เเค่เดินยัง “เข่าทรุด” ทรายดูดมาก
หาที่จอดรถวิวสวยๆก็ยาก เอาเป็นว่าเเค่เเวะละกัน


จากหาดทุ่งวัวเเล่นจะเข้าที่พัก
อยู่ดีดีเเหงนหน้ามองฟ้าเเล้วมุ่งหน้าไปเขามัทรีทันที
ไม่รู้อะไรดลใจเหมือนกัน เขามัทรีมีดีที่กาแฟและวิวงามๆ





เที่ยวเขามัทรึกินกาแฟชมวิวชมสาว จนพอใจเเล้ว ก็ได้เวลาเลือกที่พัก
เลือกกันอยู่หลายที่ ทีเเรกมีคนบอกให้กางเต้นท์ที่เขามัทรีเเล้ว
เเต่ใจอยากมานอนในเมือง มาลงเอยที่ถนนกรมหลวงชุมพร
ที่พักชื่อ Retro Box Hotel ซึ่งเข้ากับรถสไตล์วินเทจจริงๆ ???




รีวิวเล็กๆ ห้องเเคบไปนิดเเต่ก็นอนสบาย
ชิวๆ เป็นตู้คอนเทนเนอร์ มีสระว่ายน้ำ มีอาหารเช้า บริการดีครับ
ราคาสูงกว่าที่พักปกตินิดนึง
อยู่ใกล้เเหล่งอโคจรของ”กระเพาะอาหาร”
มองไปฝั่งตรงข้ามปากซอยเห็น “ร้านฟารีดา” ในใจก็คิดเฮ้ยร้านนี้มีคนบอกมาว่าใช้ได้นะ
อะเเต่เราไม่ เราไม่หล่อ เเต่เราเลือก เดินชมเมืองซักพัก…
ตัดภาพมา โรตี สาม ข้าวหมกสอง อะไรกันเนี่ย คุณฟารีดา
คืนนั้นกว่าจะหลับล่อไปตี 1 นั่งพุงตึงอยู่ เวรกรรมของคนอยากกิน




เช้าวันที่ 2 ณ. เขามัทรีรอบที่ 2 รอบนี้มาเเวะกินกาแฟเฉยๆ
เพราะเราจะเลยไปศาลเสด็จเตี่ย ไปไหว้เสด็จเตี่ยกัน เสียงประทัดที่ดังเป็นระยะๆนั้นได้
กระตุ้นต่อมสาวเเตกของผมเป็นอย่างดี ฉะนั้นรีบไหว้เเล้วรีบลงไปริมหาดไปหาไรกินกันกันดีกว่า






จากศาลเสด็จเตี่ยเราลัดเลาะมุ่งหน้าสู่ดอยตาปัง
ดอยที่ทางพังตั้งเเต่ขึ้นดอย …. ไม่ใช่สิ
ทางเข้าอยู่เเถวเขาทะลุ ชื่อคุ้นหูมากๆๆ เเหล่งทำกาแฟเขาทะลุนั่นเอง
ส่วนดอยตาปังนั้นเพิ่งจะเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อกลางปีที่ผ่านมา
โดยชื่อดอยตาปังนั่นไม่ได้ จับฉลากมา
“ตาปัง” ชาวบ้านเเถวนั้น เป็นคนไปเจอมุมนี้ เเล้วอยากให้คนมาเที่ยวกัน จึงไปเเจ้งกับผู้ใหญ่
จนไปถึงป่าไม้ให้มาช่วยกันพัฒนาทางขึ้นเเต่ก็มีข้อจำกัดจากป่าไม้
(ที่ดินเเถวนั้นเหมือนจะเป็นที่เเบบว่ารัฐเเจกให้ปชช.ทำกินประมาณนั้น)
ว่าห้ามทำถนนขึ้นไปอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เลยทำได้เเค่เพียง คอนกรีตทางคู่ ไป
ถ้าจะนึกถึงทางที่คล้ายๆกันก็น่าจะเป็น “เขากระโจม” เเต่ดอยตาปังนี่ถือว่าทางจะดีกว่า
…. เเต่อย่าให้ฝนตก …. รถอะไรก็ขึ้นหรือลงไม่ได้ (300- 400 เมตร สุดท้ายนี่บอกเลยพีคมาก จะเป็นดินเหนียวเเถมมีความลาดชัน)




ขึ้นมาถึงข้างบนได้นี่ก็จะดีดๆหน่อย

กางเต๊นท์ ที่นี่กางฟรี มีห้องน้ำ มีที่ฉีดตูดให้ใช้
คืนวันที่ผมไปเป็นคืนวันอาทิตย์ มีคนมาอยู่ก่อนหน้าเเล้ว 6 คน 4 เต็นท์ รวมกับผมไปอีก 1 เต้นท์
กินพื้นที่ไปครึ่งดอยเเล้วอะครับ 555


อัพเดตข้อมูล ดอยตาปัง เมื่อปลายเดือย พย. ได้มีคำสั่งห้ามกางเต็นท์ เเละ จอดรถทุกชนิด
บนจุดชมวิวเเล้วครับ
เฮ้ เราเป็นกลุ่มท้ายๆที่ได้ไปนอนและขี่รถ
ขึ้นไปบนดอยตาปัง ว่าจริงๆก่อนจะกลับ ก็ได้คุยกับคนจัดการสถานที่ว่า
ผมคงเป็นคนท้ายๆที่ได้มานอนบนจุดชมวิวเเล้วล่ะ เขาบอกว่าจัดการยากเบื่อขยะเบื่อคนกินเหล้า = =
———————————————–
คืนนั้นเหมือนฟ้าฝนจะเป็นใจ
ตกๆหยุดๆตลอดเวลา คิดในใจเช้ามาหมอกบึ้มเเน่
แต่คิดไปคิดว่า อส.!!! ฝนตกเเล้วกุจะลงยังไงงงงง ว่าเเล้วก็สับสนวนไปจนหลับ


ตี 4 กว่ามีเสียงสาวๆ สามนางเจี้ยวเเจ้วมาเเทนเสียงไก่ขัน
โผล่หัวออกจากเต็นท์ ไฟส่อง โพรนไปหมด ก็ได้เเต่ภาวนาว่า เเดดมาคงจะมีอะไรดีดีนะ

เเต่วันนั้นไม่ใช่วันของเราจริงๆ หมอกไม่เป็นใจจริงๆ ดอยตาปังหมอกหงอยเหงาเศร้าซึม









แหนะมีอะไรให้ค้างคาใจอีกละ
ขึ้นเขาลงเขาก็เหมือนเเต่ละช่วงของชีวิต มีขึ้น มีลง
ตอนขึ้นก็อย่างหงษ์ ตอนลงอย่างหมา
สังเกตคนขี่มอไซค์ขึ้นมาเที่ยวดอยตาปังคนอื่นๆ ซ้อนสามพ่อเเม่ลูก หมวกก็ไม่ใส่
ดูไม่ได้มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย กังวลใจอะไรเลย
คิดในใจเรากังวลมากไปหรือป่าวอิอิ
ขาลงรูปก็ไม่ได้ถ่ายซักใบ กลัวรถล้ม!!!!
ดูคลิปไปครับ

กว่าจะลงมาถึงข้างล่างได้ก็เสียเหงื่อไปเยอะ
ว่าเเล้วก็ต้องฉลองงงงด้วยกาแฟเขาทะลุ ต้นตำรับ ดื่มกาแฟ ชมรู เขาทะลุ 555
ที่ร้านกาแฟเขาทะลุอินเตอร์ ที่กลิ่นของโรงคั่วนั้นทะลุทะลวงจริงๆ ฟินนนน






ลงจากดอยได้อย่างปลอดภัย เลยเเวะมาไหว้พระธาตุสวี ของดีเมืองชุมพร 1 ใน 4 จตุธรรมธาตุ
ของภาคใต้ เป็นสิริมงคล เป็นเจดีย์ที่สวยงามเเละไม่มีคนเลย = =


จากนั้นก็ได้เวลาเดินทางกลับ ตอนเเรกว่าจะยิงยาวไปนอนประจวบ ขี่ไปเรื่อยๆ
เเต่เปลี่ยนใจเมื่อเห็น ป้ายหาดบ้านกรูด-วัดทางสาย ที่นี่เป็นที่ที่อยากมานานเเล้ว
เเถมน้ำมันก็จะหมดอะนอนนี่ก็ได้

เช้าวันที่ 4 ของการเดินทาง ก็ไปเที่ยวชมวัดทางสาย ทะเลบ้านกรูด
เเต่ทำไมกลับชอบบรรยากาศของที่นี่มากกว่านะ 555
ขโมยซีนของทริปนี้ไปเลย อาหารดี บรรยากาศดี ปิดท้ายทริป
ก่อนจะกลับ กทม.สู้รบกับชีวิตต่อไป









ปิดทริปของจริง เเม่โทรมาบอกจะกลับมั้ยบ้าน
ถ้ากลับมาซื้อน้ำตาลมาด้วย อิอิ
จัดไปเพื่อรสชาติกับข้าวบ้านที่แสนอร่อย

บทความโดย สมาชิกหมายเลข 2119352
Linkต้นฉบับ https://pantip.com/topic/38362186