ทริปบ้าๆ..ฝ่าฤดูร้อน..ไปนอนปาย.. กับ Suzuki GSX-S1000 และ 1000F
เป็นอีกครั้งเมื่อเสียงปลายสายเรียกมา….
A : เฮ้ย สนใจขี่ตัวพันซูไปปายไม๊???
ผม : ปาย!!!! หน้าร้อนเนี่ยนะพี่!!!
A : เออ.. หน้าร้อนนี่แหล่ะ…
ผม : ขอเวลาคิดแป๊บนะพี่…
ตัดสายไป ตัวผมเองก็ได้แต่ครุ่นคิด…
ระยะทาง 2 พันกว่าโล ใน 3 วัน ช่วงฤดูร้อนระอุ 43 องศา มันจะตายเอาได้นา…
เอางัยดี….
อืม…. เอาวะ โอกาสงามที่จะได้ขี่ ซูซูกิ ตัวพัน ถ้าจะปล่อยไปก็น่าเสียดาย…
เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องลองดูสักตั้ง
เอาก็เอา!!! ตายเป็นตาย!!!
( อันที่จริงผมออกทริป ฤดูร้อนมาติดๆ กันมากด้วย เดือนนึง 3 ทริปได้ เรียกได้ว่า เกือบตายแล้วตอนนั้น )
มันจึงเป็นที่มาของการได้ควบเจ้า Suzuki GSX-S 1000 และ GSX-S 1000F ในครั้งนี้….
ขอขอบคุณ Thai Suzuki และ ทีม Just-Ride-It สำหรับรถทดสอบและการจัดหาในครั้งนี้ด้วยครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ออกเดินทางกันเลย
คืนแรก
กทม-สลกบาตร
ออกจาก กทม ประมาณ 3 ทุ่ม มีโอกาสทำความรู้จักกับตัวรถได้เพียงน้อยนิดก็ต้องออกเดินทางกันแล้ว ตัวกระผมเองได้ควบ GSX-S1000F ซึ่งมีแฟริ่งสีฟ้าสวยงาม ( ผมเรียกมันว่า เจ้าโลมาสีน้ำเงิน ละกัน )
กว่า 300 กิโลเมตร ก็พอจะจับอะไรได้บ้างเกี่ยวกับตัวรถรุ่นนี้ครับ แต่ยังไม่พอหรอก มันน้อยเกินไป เกินกว่าจะเล่าสู่กันฟังได้…
ถ้าคุณเดินทางแค่ 2-3 ร้อยกิโลเมตร แล้วบอกว่า รถขี่สบาย ไม่เหนื่อย มันก็ไม่น่าเชื่อถือใช่ไหมครับ แฮ่….
เราพักกันที่รีสอร์ทข้างทางแห่งหนึ่ง
ตื่นมาตอนเช้าพร้อมอากาศที่ร้อนอบอ้าว แต่เช้าทีเดียว
หลังจากดื่มด่ำกับกาแฟชิลๆ..
ก็ได้เวลาสำรวจทำความรู้จักกับรถกัน เอ้า ไม่พูดพร่ำทำเพลงกันมาก ดูกันคร่าวๆ ไปก่อน ( ขออนุญาตใช้เจ้าโลมาเป็นภาพประกอบแทนทั้ง 2 คันนะครับ เพราะทั้งคู่ต่างกันแค่แฟริ่งกับอะไรอีกเล็กๆ น้อยๆ แค่นั้นเอง )
เดี๋ยวจะมาเหลาให้ฟังแบบละเอียดๆ กันอีกทีครับ
เดินทางกันต่อ..
วิ่งถึงเชียงใหม่ เราแวะ Service รถกันที่ศูนย์ Suzuki เชียงใหม่กันสักนิดก่อนออกเดินทางไปปายฮะ
ออกเดินทางต่อ…
จากเชียงใหม่จนถึงตัวเมืองปาย
สำหรับอากาศบอกได้เลยว่า โค-ตะ-ระ-ร้อน
อันที่จริง ที่เราเลือกที่จะมาปาย ฤดูร้อน ( ที่สุดแสนจะทรมานสังขารเรา )
ก็เพียงเพราะอยากจะทำความรู้จักกับเจ้า GSX-S ( มันออกเสียง จิ๊กซัส ป่ะนะ ) ทั้งสองคันให้ถึงกึ๋น
และอยากมาสำรวจถนนเส้น เชียงใหม่ – ปาย ที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ สดๆ ร้อนๆ ด้วยครับ
ตัวถนนเส้นนี้ กระผมเองก็ไม่ได้มานานมากแล้ว ( 6-7 ปีได้ )
ตอนนั้นจำได้ว่า เส้นทางแย่มาก….
แต่คราวนี้ เส้นทางเรียบกริบ..
แต่เนื้อหินบนถนนก็ยังคงน้อยเหมือน เดิม จะอุดมไปด้วยยางมะตอยเสียมากกว่า…
เลยไม่กล้าเทโค้งกันมากนัก เอาแบบพอหอมปากหอมคอละกัน ( ข้ออ้างของคนป๊อด )
โดยรวมถือว่า ถนนขี่สนุกใช้ได้
แต่ว่า รัศมีโค้งที่นี่จะแปลกๆ นิดนึง ไม่ค่อยเป็นวงเท่าไร
ขี่เร็วๆ โค้งลับตา อาจจะมีหลุดได้
โค้ง S ให้ทดสอบการพับรถเร็วๆ ก็มีให้เล่นเยอะพอสมควร
ด้วยน้ำหนักรถประมาณ 210 kg หน่อยๆ ( ซึ่งพอๆ กับ รถ class 650 ของ 2 จ้าวตลาดในบ้านเรา )
และยาง 190 นั้นแน่นอนว่า การพับรถไม่คล่องแคล่วและเบาแรงเท่ารถเล็กๆ แน่…
สรีระศาสตร์และการควบคุม
หลังจากขี่ทางตรงมา 700 กว่ากิโลเมตร และมาเจอโค้ง 100 กว่าๆ กิโลเมตร ก็พอจะเหลาอะไรให้ฟังได้บ้างแล้วครับ…
อย่างอื่นต้องบอกก่อนเลย ว่ารถ 2 คันนี้ ขายความสปอร์ตตี้ เน้นการขับขี่แบบสปอร์ต เช่นเจ้า โลมาสีน้ำเงิน GSX-S1000F นั้น
ในตอนแรกๆ เหมือนมันจะเป็น Sport Touring แต่พอได้สัมผัสแล้ว มันไม่ใช่
มันคือ รถ Sport GSX-R ที่นำมาปรับองค์ประกอบการขับขี่ให้สบายขึ้น เหมาะแก่การขี่ถนนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ลักษณะแฮนด์เองที่ไปใช้แฮนด์บาร์
เบาะที่มีส่วนโค้งรับกับก้นเรามากขึ้น พอให้ขี่ทางไกลได้ไม่เมื่อยซักเท่าไร ( แต่ก็ไม่ได้สบายไปเลยเหมือนรถ Touring หรอกนะ )
พักเท้าที่วางในตำแหน่งที่ไม่โหดกับคนมี อายุมากนัก ไม่ต้องก้มมากมาย
แต่องค์ประกอบของสายทัวร์นั้น ไม่ได้ให้มาเลย ไม่ว่าจะเป็นเบาะหลังที่นั่งสบาย ชุดกระเป๋าสัมภาระ
หรือแม้แต่ชิลด์บังลมแบบปรับระดับได้ ( แต่ที่ให้มาพอเพียงมากๆ ในการตัดลม เห็นเล็กๆ อย่างนั้นก็เถอะ มันตัดลมได้ชะงัดนัก ) …
ถ้าพิจารณาในมุมสายทัวร์ มันเสียเปรียบ Kawasaki Ninja 1000 แบบเต็มๆ
แต่นั่นหาใช่ความตั้งใจของ Suzuki ไม่
ดังนั้น ลืมสายทัวร์ แล้วมาคั่วความสปอร์ต ( ที่แฝงความสบาย ) ที่ตัวรถมีให้เต็มๆ ซะดีกว่า
ในฐานะที่ผมเองก็เคยได้ขี่ Ninja 1000 บอกได้เลยว่า รถของ Suzuki นั้นให้ฟิลความเป็น Sport ที่มากกว่า Ninja 1000 แบบชัดเจน
รถเบากว่า เฟรมให้ความเสถียร นิ่ง แม่นโค้งและให้ฟิลในการขับขี่ที่โฟกัส มากกว่า โดยเฉพาะย่านความเร็วสูง
สิ่งนี้เป็น Character ส่วนตัวของ Suzuki รุ่นใหญ่หลายๆ รุ่นที่ผมมักจะติดใจ
ผมค่อนข้างจะกล้าพูดได้ว่า เจ้าโลมาสีน้ำเงิน น่าจะเป็น รถที่มีรูปลักษณ์ Sport Touring ( แต่ไม่ใช่!!! ) ที่ให้ฟิลความสปอร์ต มีสมรรถนะใกล้เคียงรถ Sport มากที่สุดเป็นลำดับต้นๆของโลกนี้แน่ๆ ( คงต้องไปลอง KTM Super Duke GT อีกตัวนึง ถึงจะกล้าพูดได้ )
สำหรับเจ้า GSX-S 1000 ผมเรียกว่า เจ้าหมีดำ มีท่าทางการขับขี่ที่คล้ายๆ กับเจ้าโลมาสีน้ำเงินนั่นแหล่ะ
เพียงแต่ว่า เมื่อเราขับขี่เทียบกัน เราจะรู้สึกได้ทันทีถึงรูปแบบการกระจายน้ำหนักที่แตกต่างกันเล็กน้อย
เจ้าโลมาสีน้ำเงินจะให้ความรู้สึกว่า หน้ากว่าเล็กน้อย จึงให้ความรู้สึกจิกโค้งกว่า
ส่วนเจ้าหมีดำ ให้ความรู้สึกหน้าเบา ท้ายเบา เข้าโค้งง่าย พลิกง่าย ตามสไตล์ Naked
ความรู้สึกสปอร์ตนั้นมาเต็มเหมือนเจ้าโลมา จะเรียกว่า Naked Gixxer ก็คงจะไม่ผิดเพี้ยนนัก
เพียงแต่ว่า เจ้าหมีดำนั้น อยู่ในสมรภูมิ Naked อันโหดร้ายมากกว่า เนื่องจากมีคู่แข่งจำนวนมากมายแทบทุกค่าย แย่งชิง ฟาดฟันกันกับรถใน Class นี้
ด้วยน้ำหนักตัวเพียง 210 นิดๆ มือใหม่ไม่ต้องกังวลในเรื่องน้ำหนักมากนัก แต่ในเรื่องของฟีลลิ่ง ความเสถียร ความแม่น ความโฟกัสในการขับขี่ บอกได้เลยว่า ให้ความรู้สึกเหนือกว่ารถ 650 แบบทาบไม่ติด ( ก็แน่หล่ะ ราคาต่างกันมาก )
ป.ล. ที่พูดมาทั้งหมดทั้งมวลนี่ไม่ใช่ว่าเราเป็นนักขับขี่ที่เก่งกาจแต่ประการใด โดยฝีมือ ยังคงเป็นเพียงระดับ User ใช้งานบ้านๆ ทั่วๆ ไปเท่านั้น เพียงแต่ว่า มีโอกาสได้ขี่รถหลายๆ รุ่นหน่อย ก็พอจะมีความรู้ และ พอจจะจับความรู้สึกมาเล่าสู่กันฟังได้บ้าง
สิ่งใดผิดพลาด, ผิดเพี้ยน ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ถ้าจะให้ดี รบกวนช่วย Comment เพิ่มเติมกันได้ ถือว่า เป็นการร่วมศึกษาด้วยกันนะครับ
มาดูแผงเรือนไมล์และแฮนด์กันดีกว่า..
ก็อย่างที่เห็นในรูปครับ ทั้งเจ้าโลมาและเจ้าหมีนั้นใช้แฮนด์บาร์ที่เหมือนๆ กัน รวมถึงชุดเรือนไมล์ด้วย
ต่างกันที่เจ้าโลมานั้นจะมีแฟริ่งเล็กๆ มาล้อมด้านหน้าของเราไว้ และมีชิลด์บังลมตัวน้อยๆ ที่เพิ่มเข้ามา ก็อย่างที่บอก เห็นทุกอย่างเล็กๆ อย่างนี้ มันทำหน้าที่ได้ดีมากๆทุกส่วนเลย…
อ้อ พิเศษกว่ามอไซค์บ้านๆ ทั่วไปเล็กน้อยตรงปุ่มปรับ Mode และ Select Mode สีน้ำเงินด้านซ้ายนะครับ ทำให้เราไม่ต้องเลื่อนมือไปปรับที่ตัวเรือนไมล์ เพิ่มความสะดวกได้อีกนิด
สำหรับเรือนไมล์ขนาดจิ๋ว ( และมีน้ำหนักเบามากๆ น่าจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้รถเบา ) ทำหน้าที่ของมันได้ครบมากๆ ชอบที่สุดก็คือ มันบอกเกียร์เนี่ยแหล่ะ
รองลงมาคือ วัดรอบที่มันมี Indicator บอกยื่นกำลังที่ดีของรถคันนี้ คือระหว่าง 5,000 – 10,000 รอบ รวมทั้งสองอย่างนี้ ทำให้เราใช้เกียร์ได้ถูกต้อง และแม่นขึ้นเป็นกองเลย
ออกเดินทางกันต่อ
ถึงแม้ว่าจะเป็น ฤดูร้อน แต่ความเย็นบนภูเขา ก็มีให้ได้สัมผัสแบบเล็กๆนะครับ ถือว่า กำลังสบายๆ
ดูแล้วมุมนี้น่าจะเป็นจุดพีคสุดของเส้นทาง สายนี้ละ…
เนื่องจากเรามัวเอ้อระเหยถ่ายรูปกันนานไป หน่อย ใกล้ค่ำจนได้
นี่คือที่พักของเราในคืนนี้ครับ ( เอ ที่พักชื่ออะไรหว่า ทำไมจำไม่ได้ละ )
ถ้าได้มาฤดูหนาว พาเพื่อนๆ มาเที่ยว สังสรรค์ เฮฮากัน ที่นี่เหมาะมากเลย เพราะมีดาดฟ้าและระเบียงไว้ให้ด้วย
มาเหลาเรื่อง เครื่องยนต์ กันหน่อย
เครื่องยนต์ของเจ้า Gixxer K5 นั้นถูกนำมาใช้งานในรุ่นนี้ โดยมีการปรับเปลี่ยนในหลายๆ จุดเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานของรถ โดย Spec คร่าวๆ ของเครื่องยนต์ก็จะเป็นแบบ 4 สูบเรียง 999cc DOHC 16 วาล์ว ป้อนน้ำมันด้วยหัวฉีดตามสมัยนิยม
เอาหล่ะ Spec เครื่องยนต์ผมขอไม่พูดเยอะนะครับ เชื่อว่าหาได้ตามเน็ท ขอเหลาเรื่องราวสมรรถนะและฟีลลิ่งที่ เครื่องยนต์ลูกนี้ให้กันดีกว่า
หลังจากได้เริ่ม Start เครื่องยนต์ ขอบอกเลยว่า “ท่อไม่เงียบ” และเครื่องยนต์เองก็ “ไม่เงียบ” สุ้มเสียงออกแนวครวญครางแบบหนักแน่น
ลองเดินคันเร่งออกตัวไป พบว่าคันเร่งตอบสนองค่อนข้างเร็วพอสมควรทำให้การใช้คันเร่งต้องระมัดระวังบ้างพอ สมควร
การใช้งานในเมืองรอบต่ำๆ ตรงนี้น่าขัดใจเล็กน้อย เนื่องจากระบบจ่ายน้ำมันในรอบต่ำๆ ( 1-4 พันรอบ/นาที ) ยังสวิงเล็กน้อย อาการเวลาเราขี่รอบต่ำๆ รอบจะสวิงไปมานิดๆ พอเดินรอบสูงขึ้นไป ระบบจ่ายน้ำมันกลับมาทำงานได้เนียนอีกครั้ง
Torque มีมาให้ใช้งานแบบพอดีๆ ในรอบต่ำ-กลาง แต่ความจี๊ดของเครื่องยนต์ลูกนี้เริ่มกันตั้งแต่ 5 พันรอบขึ้นไป ดีกรีความโหดเรียกได้ว่า เกาะแฮนด์ให้ดีๆแล้วกัน สุ้มเสียงในการลากรอบเรียกได้ว่า เร้าใจมาก นี่ท่อเดิมหรือนี่ ทำไมมันสุ้มเสียงโหดจัง ตรงนี้หลายๆ คนคงชอบใจ
ในเรื่องความแรงเองถ้าเทียบกับค่าย ญี่ปุ่นกับรถในกลุ่มนี้ ถือว่า ให้ความแรงมากที่สุดกว่าใครเพื่อน 140 ม้านั้นมาเต็มๆ ผมลองกดความเร็วไปได้ 235 แบบไม่ต้องรอ และต้องจับแฮนด์ให้ดีๆ เพราะมันดึงตลอดเรียกได้ว่า 220 กว่าขึ้นไปแรงดึงยังแทบไม่แผ่ว แต่ใจผมอ่ะ แผ่วแล้ว ( เกรงใจคนซ้อนด้วย ) เลยไม่ได้หา Top Speed มาบอกกันว่าได้เท่าไร แต่เชื่อว่า แค่นี้ก็เกินจะพอดีสำหรับ ถนนเมืองไทยแล้วหล่ะครับ
ถามถึงอัตราการกินน้ำมัน ( แก๊ส 95 ) เราทำได้อยู่ที่ 13 – 21.9 โลลิตร ตามการขับขี่ 20 โลลิตร ขึ้นไปสำหรับเครื่องยนต์ 4 สูบ พันซีซี ถือว่า น่าพอใจพอสมควรเลยทีเดียว
บิดเนียนๆ ไปเรื่อยๆ ความเร็ว 100-110 นั้นทำได้เลย สำหรับ 20 โลลิตร
แต่ถ้าเข้าสู่โหมดทั่วๆ ไป ก็จะกินอยู่ประมาณ 17-18 โลลิตร ( ส่วนใหญ่ผมจะขี่ประมาณนี้ )
ถ้าขี่แบบจัดหนักหน่อย ตกมา 13 โลลิตรได้ครับ
ว่ากันด้วยเรื่องเกียร์..
ชุดเกียร์นั้นไม่มีระบบเข้ามาช่วยเหลือ ในการเปลี่ยนเกียร์ ไม่ว่าจะเป็น Quick Shifter , downshift blipper , Slipper Clutch แต่โดยการทำงานของระบบเกียร์และคลัทช์เองนั้นทำงานได้ค่อนข้างลื่นไหล ตั้งแต่รอบกลางๆ เป็นต้นไป ทำให้การขับขี่ต่อเนื่องและไม่ติดขัด แต่รอบต่ำๆก็มีจังหวะที่รู้สึกว่าเข้า เกียร์ได้ไม่ต่อเนื่องเล็กๆ ตามสไตล์รถเครื่องยนต์ใหญ่ๆ ( ส่วนใหญ่ผมก็เจอเกือบๆ ทุกคันนะ ) โดยรวมๆ ถือว่าน่าพอใจระบบ เกียร์ชุดนี้ครับ
บทสรุป
เป็นเครื่องยนต์ที่เยี่ยมยอดเกือบทุกๆ อย่างในรอบกลางถึงสูง ให้ความมันส์ เร้าใจ อะดรีนาลีนพรุ่งพร่าน และมีความสมูธ ลื่นไหล ทั้งเครื่องยนต์เองและระบบส่งกำลัง
มีติติงเล็กน้อยก็ตรงการจ่ายน้ำมันในรอบ ต่ำๆ และคันเร่งที่เร็วไปนิดนึงเท่านั้นเอง
เที่ยวกันต่อ
ตื่นเช้ามา ถึงจะเป็นฤดูร้อนอันมหาโหด แต่ที่ปายนี้ ก็แอบมีอากาศเย็นๆ ให้ได้สัมผัสกันนะครับ
อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 27-29 องศา ถือว่ากำลังสบายๆ
เราเองก็ขี่รถขึ้นไปที่จุดชมวิวทะเลหมอก หยุนไหล ไม่เห็นหมอกหรอกครับ ไม่ได้ซื้อ Package ไว้
แต่แอบไปซื้อ Package สาวสวยแทน อิอิ
แวะทานข้าวกันหน่อย
มาแถวๆนี้ ก็ต้องมีขาหมูหมั่นโถวให้เข้ากับบรรยากาศบ้าง
วัดน้ำฮู
ภาพในแบบที่ไม่มีคนนี้ ถือว่ายากที่จะได้เห็นนะฮะ ก็คงต้องเป็นฤดูร้อนเท่านั้น พอเริ่มฝน นก็เริ่มมาแล้ว ฤดูหนาวยิ่งแล้วใหญ่ เราได้เข้าไปไหว้แบบเงียบสงบก็คราวนี้แหล่ะ
ถึง ช่วงเวลาชิลล่ะ
ร้านกาแฟเงียบๆ ไม่มีผู้คน ( เป็นไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ฤดูร้อน ) ริมน้ำปาย จิบกาแฟสดไป นอนชิลๆ ไป
เนี่ยแหล่ะ โดนใจผมมากๆ
ป.ล. ร้านชื่อ สวัสดีปาย คอฟฟี่ ครับ อยู่ริมสะพานข้ามน้ำปายในตัวปายนั่นแหล่ะ
มื้อ กลางวันไปกินข้าวซอย น้องเบียร์ ครับ
รสชาติจัดว่าเด็ดเลยทีเดียว
เสร็จ แล้วก็ออกไปห้อกันต่อ
เดินทางไป ปางมะผ้าครับ
ครั้งนี้จุดมุ่งหมายคือ พยายามจับ Feeling ของรถให้ได้แล้วเอามาบอกต่อกันแหล่ะครับ
เราลองมาทดสอบ Traction Control กันหน่อย
รูปแบบของ Traction Control Mode ที่เจ้า GSX-S มีมาให้ก็ตามภาพครับ โดยส่วนตัว ใช้อยู่ที่ Mode 1 ครับ
Credit : ภาพประกอบจากอากู๋และ Suzuki Global ครับ
ไม่รู้ว่า ถนนดีไม่พอ หรือ Mode 1 นั้นยอมให้มีการสไลด์เกิดขึ้นได้เล็กๆ หรือยาง Dunlop D214 ที่มี Performance ระดับกลางๆค่อนไปทางดี
เรารู้สึกได้ถึงอาการสไลด์เล็กๆ ยามที่เปิดคันเร่งไม่เนียน ( และคันเร่งก็ค่อนข้างตอบสนองเร็ว )
ถ้าเราเปลี่ยน TC Mode ไปเป็น 2 หรือ 1 อาการก็หายไปแล้ว
และขาดไปไม่ได้สำหรับรถที่ขี่ดี
นั่นคือ เบรคและช่วงล่าง
เรียนตามตรงว่า ช่วงล่างของรถทั้ง 2 นั้นโป๊ะเช๊ะเอามากๆ ถ้าดูตาม Spec และยี่ห้อ KYB มันไม่ได้เลิศเลอเลย แต่พอมาลองใช้งานจริง ถือว่า เหลือๆ มันนิ่งมาก ( เข้าโค้ง High speed ด้วยความเร็ว 150-180 ยังไม่แกว่ง ผิดกฏหมาย แต่ขอลองนี๊สสสนึงนะครับ ไม่งั้นก็ไม่มีอะไรมาเล่าและ แฮ่ๆ ) ปรับตั้งมาพอดีๆ กับโหมดการขับขี่แบบ Sport คือ ค่อนข้างแข็งเล็กน้อยแต่น่าแปลกใจคือ ไม่แข็งเป็นไม้กระดาน มันยังแอบซับแรงบ้าง ไม่เหมือนบางรุ่น ที่แข็งเป็นไม้กระดานจริงๆ ถ้าขี่บนถนนบ้านเรามีจุกได้ คือมันให้ความรู้สึกนิ่มนวลกว่า 650 บางรุ่นอีกแต่ว่า แน่นกว่าเยอะๆๆๆๆๆๆ สร้างความมั่นใจในการเข้าโค้งได้ดีมาก
แถมหน้าตาก็ดูดีมีชาติตระกูล สีทองอร่ามกับสวิงอาร์มหลังที่ดูสวยงาม ( ซึ่งถอดมาจาก GSX-R รุ่นล่าสุด ) ลุคเข้าตากรรมการอย่างกระผมมากๆ
Setting ที่ปรับมาให้จากโรงงานค่อนข้างเหมาะสม แล้วกับน้ำหนักตัว ( คิดเอาเองนะ ไม่ได้วัด ) เราเลยไม่ได้ปรับอะไรเพิ่มเติม แม้ว่าช่วงล่างหน้าจะปรับได้เต็มที่ไม่ว่าจะเป็นPreload, Rebound , Compression ส่วนด้านหลังจะปรับ Compression ไม่ได้
ว่ากันด้วยระบบเบรค
คาลิเปอร์ Brembo แบบ Monoblock เหมือนกับ GSX-R ปี 2014 เมื่อประกอบกับการ Setting ต่างๆ ของทาง Suzuki แล้ว ถือว่าทำงานได้ดีมาก ไม่ค่อยมีอะไรให้ติติงกับการใช้งานบนถนน
ความละเอียดในการเบรค ฟีลลิ่งที่ให้ถือว่าดีถึงดีมาก ( สำหรับถนน )
แต่เมื่อเทียบกับรถสนามบางตัวแล้ว อันนั้นหนึบหนับกว่าพอสมควร แต่การ Setting ของถนนกับสนามก็ต้องต่างกันด้วย จะให้มัน จับดีเกินไปบนถนนก็จะกลิ้งเอาง่ายๆ
บทสรุป
ทุกสิ่งอย่างที่เหลาๆ มา เมื่อมาประกอบกันแล้ว มันกลายเป็น Tool ชั้นยอดในการขี่ถนนเลยหล่ะครับ แม้ว่าเทียบ Spec กับทางฝั่งยุโรปแล้วดู ด้อยกว่า แต่เรียกได้ว่า เหลือยิ่งกว่าเหลือครับ
ถึงจุดชมวิวปางมะผ้าละ
อากาศค่อนข้างเย็นสบาย ชิลๆ ที่สำคัญคนน้อยเช่นเดิม
หยุด ความเหนื่อยล้าไว้
ทอดสายตาออกไปยาวๆ มองไกลๆ
สูดลมเย็นๆ และอากาศบริสุทธิ์ให้ชุ่มปอด
เราเลือกที่จะขึ้นไปชมวิวพระอาทิตย์ตกบน สถานีทวนสัญญาณปางมะผ้า
ซึ่งต้องขี่ทางเล็กๆ ขึ้นไปอีก 2 กิโลเมตร เพื่อที่จะเห็นวิวมุมสูงชัดๆ ครับ
ณ.จุดนี้ ปลายปีอาจจะมาอีกรอบนึงครับ
แต่วันนี้ ขอบอกลาพระอาทิตย์กันที่นี่ก่อนครับ
ได้เวลาลง ย้อนกลับไปนอนปายต่อครับ
วันนี้ท้องฟ้าสวย แดงฉานไปทั่ว…
ตัดภาพมา เดินเมืองปายกันตอนกลางคืนบ้างครับ เงียบสงบดีแท้
มาลองกินขนมจีน รสชาติใช้ได้ เลย น้ำยาจัดว่าอร่อย แต่จำชื่อร้านไม่ได้และ
กินไปกินมาไฟดับ กลายเป็นตลาดมืดไปโดยปริยาย ( ที่ปายนี่ไฟดับบ่อยเหมือนกัน )
กินขนมจีนยังไม่หนำใจ ลองบะหมี่ยูนนานดู หน่อย
หน้าตาประหลาด แต่รสชาติไม่เลวแฮะ
“สวัสดีปาย ริเวอร์ รีสอร์ท”
ที่พักอีกที่ของเราเมื่อคืน…
ร่มรื่นมากครับที่นี่ ชอบๆ
และด้วยความเป็นช่วงโลว์ซีซั่น ราคาจึงไม่แพงเลย
นอนมองเจ้าโลมาจากในห้องเย็นๆ มีความสุขดีฮะ แฮ่ๆ
อ่ะๆ เดี๋ยวหมีดำน้อยใจ ซักหน่อย
ที่พักอยู่ริมน้ำพอดี ยามเช้าเดินออกไปนั่งชมน้ำปายแบบชิลๆ มุมนี้นั่งสบายๆ อยู่น๊าาา
ใน Low Season แบบนี้
เมืองปายกลับมามีวิถีชีวิตแบบเดิมๆ กัน…
รีสอร์ทร้านรวงอาจจะเยอะอยู่..
แต่บรรยากาศกลับเงียบสงบ
รอวันกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง เมื่อฤดูท่องเที่ยวมาถึง…
ร่องรอยของผู้มาเยือน…
เอาหล่ะ ได้เวลาเดินทางกลับแล้ว วันนี้ งานหนักอีกแล้ว
กับเส้นทาง ปาย – กทม ในฤดูร้อน และ อุณหภูมิ 43 องศา
ไม่ตายก็คางเหลืองหล่ะ ทีนี้ !!!!!
ขากลับผมได้ขี่เจ้าหมีดำ GSX-S 1000
กับระยะทางไกลๆ Naked เหนื่อยกว่ารถแฟริ่งพอสมควร…
แต่ก็ต้องบอกว่า เจ้าหมีดำ Naked คันนี้ตัดลมใช้ได้ 130 ยังรู้สึกสบายๆ อยู่ 140 ไปนี่เหนื่อยละ ต่างกัน 500F ที่ผมเคยใช้ ขานั้น 110 ก็รู้สึกว่าจะต้านลมพอๆ กับเจ้าหมีดำที่ความเร็ว 130
เบาะ
ถ้าถามหาความรู้สึกสบายในการเดินทาง
ถ้าตอบในมุมคนขี่ก็พอได้อยู่นะครับ ทั้ง 2 รุ่นเลย
แต่ถ้ามุมคนซ้อน ลืมมันเสียเถอะ ถ้าจะใช้ Touring เพราะเบาะท้ายค่อนข้างสูงและแข็ง แถมยังไม่สามารถบรรทุกอะไรได้เลย
เขียนยืดยาวมากความไปก็กลัวจะรำคาญกัน
มาถึงบทสรุปของ GSX-S 1000 และ GSX-S 1000F กันดีกว่า
สำหรับ GSX-S 1000F
มันคือรถ Sport ที่มาพร้อมสรีระศาสตร์ Touring
คุณจะเพลิดเพลินเสพความสปอร์ตที่ถ่ายทอด DNA มาจากรถตระกูล GSX-R บนความสบายระดับนึง ถ้ารถ Sport Touring 1000cc คันอื่นๆ มีสัดส่วนความ Sport ต่อ Touring 65 : 35 เจ้าคันนี้จัดสัดส่วนใหม่ เพิ่มดีกรีความสปอร์ตเป็น 80 : 20
ถ้าใครโดนสัดส่วนนี้ อยากมันส์แต่ไม่อยากเมื่อย จัดไปครับ….
ข้อดี
– น้ำหนักเบา
– ความสปอร์ต
– ความนิ่งและแม่นยำของตัวรถ
– ความสบายของผู้ขับขี่
– เครื่องยนต์ในตำนาน ( K5 ) ให้ความเร้าใจเป็นอย่างยิ่งในรอบกลางและปลาย
– สุ้มเสียงเร้าใจ
– ช่วงล่างแน่น แต่ก็ยังซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีพอ
– เบรคที่เหลือเฟือ ถึงจะไม่ได้ตอบสนองระดับ 5 ดาว
ข้อเสีย
– การจ่ายน้ำมันในรอบต่ำแกว่งเล็กน้อย
– คันเร่งไวไปหน่อย
– ไฟหน้าเหมือน Big Scooter
บทสรุป GSX-S 1000
อยู่ในโลกแห่ง Naked ที่โหดร้ายกว่าเจ้าโลมา คู่แข่งรอบตัวล้วนดุร้าย ถ้าเทียบตลาดเมืองนอก GSX-S สู้ด้วยราคาค่าตัวที่ย่อมเยาว์กว่า
แต่สำหรับเมืองไทย คงต้องถามใจของผู้ครอบครอง ว่าหลงรัก ภักดีใน Brand Suzuki แค่ไหน ถ้าถามถึงสมรรถนะ เมื่อเทียบกับค่ายญี่ปุ่นด้วยกัน ความสปอร์ตที่ให้มาเอาชนะได้ไม่ยากเลย
ถ้าหลงรักในกลิ่นไอ การดีไซน์และมนต์เสน่ห์แห่ง Suzuki ที่มาพร้อมกับสมรรถนะในรูปแบบ Naked Gixxer ที่ยัดเยียด DNA ของความสปอร์ตในรูปแบบรถ Naked มองคันนี้ได้เลยครับ
ข้อดี
– น้ำหนักเบา
– ความสปอร์ต
– ความนิ่งและแม่นยำของตัวรถ
– เครื่องยนต์ในตำนาน ( K5 ) ให้ความเร้าใจเป็นอย่างยิ่งในรอบกลางและปลาย
– สุ้มเสียงเร้าใจ
– ช่วงล่างแน่น แต่ก็ยังซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีพอ
– เบรคที่เหลือเฟือ ถึงจะไม่ได้ตอบสนองระดับ 5 ดาว
ข้อเสีย
– การจ่ายน้ำมันในรอบต่ำ
– คันเร่งไวไปหน่อย
– ดีไซน์อาจจะไม่โดดเด้ง
เอาหล่ะครับ ขอบคุณที่ติดตาม ว่างๆ ผมก็จะขี่รถเที่ยว ต่อไป เพราะเป็นสิ่งที่ผมรักและชอบ เหมือนเดิม…
เพิ่มเติมขึ้นมาก็คือ ได้ลองรถใหม่ๆ เอามาเล่าสู่กันฟัง ได้เป็นข้อมูลการตัดสินใจอีก 1 ข้อมูล ( จากข้อมูลมากมายร้อยพันในโลกไซเบอร์ )
และหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าข้อมูลจาก User บ้านๆ คนนี้ จะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆ พี่น้อง ห้องมอเตอร์ไซค์รัชดา ไม่มากก็น้อยครับ ^^
ผิดพลาดประการใด โปรดอภัยด้วยครับ ….
บทความโดย เตี้ย ล่ำ ดำ แก่