::พักเรื่องยุ่ง..แล้วมุ่งหน้าไปหุบเขาวง ดินแดนที่ถูกขนานนามว่า “ปางอุ๋ง-สุพรรณบุรี” by GPX RACING LEGEND 200::

::พักเรื่องยุ่ง..แล้วมุ่งหน้าไปหุบเขาวง ดินแดนที่ถูกขนานนามว่า “ปางอุ๋ง-สุพรรณบุรี” by GPX RACING LEGEND 200::

ในยุคที่วิถีชีวิตคนทำงานในเมืองใหญ่ เวลาทุกนาทีถูกตีค่าเป็นเงินทอง พอถึงวันหยุดทีไรก็ไม่รอช้า จิตใจที่โหยหาความสงบของธรรมชาติก็พาตัวเองไปนั่งโง่ๆ มองน้ำ มองฟ้า ณ สถานที่ที่เรียกกันว่า “ปางอุ๋ง-สุพรรณบุรี”

แต่จะเรียกว่า “ปางอุ๋ง-สุพรรณ” ก็ดูจะเป็นการละเลยความใส่ใจ ขนาดตัวเราก็ยังไม่อยากให้ตัวเองถูกเปรียบเทียบกับใครคนอื่น เพราะฉะนั้นจากตรงนี้เรามาเรียกชื่อจริงกันดีกว่าค่ะ  “หุบเขาวง” ชื่อเก๋ๆ จำง่าย ที่ใครๆก็อยากมารู้จักและทักทายกันซักครั้ง

แม้ “หุบเขาวง” จะเป็นสถานที่ที่เล็งไว้ว่าอยากมาตั้งแต่เริ่มมีกระแสใหม่ๆ แต่ด้วยข้อจำกัดที่ว่า เก้ากิโลเมตรสุดท้ายเป็นถนนลูกรัง เลยโดนคุณ Rider ปฏิเสธตั้งแต่ยังไม่อ้าปาก เธอว่า เจ้า MSX ส้มอ้วนของเธอเจ็บช้ำพอแล้วกับทริปปิล็อก สก๊อยเลยกินแห้วมานานนับปี แต่แล้วเหมือนฟ้าดินเห็นใจ (พูดอย่างกับหนังจีนแน่ะ 55) ได้โอกาสมาลองเจ้า GPX LEGEND 200 คาเฟ่สุดคลาสสิคคันนี้ งานนี้เลยรีบตกปากรับคำโดยที่ยังไม่ได้ดูวันว่างเลยด้วยซ้ำ อมยิ้ม17

และแล้ว..ก็มีงานเข้า คุณ Rider ติดงานสัมมนา – -* อารมณ์ตอนนั้นคือมโนไปไกลแล้ว ไม่มีคนพาไปทำไงดีล่ะ หันมาหันไป คว้าตัวน้องชายมาเป็น Rider เฉพาะกิจ ต้องปรับแพลนจากที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปกางเต้นท์ เหลือเป็นแค่ One Day Trip เห็นมั๊ย..ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน (-*- ขออภัย! สก๊อยยังอินกับหนังจีน)

เมื่อมีเวลาจำกัด ก็ต้องหัดวางแผน ล้อหมุนตั้งแต่ตีห้า ระยะทางแค่ 170km. กะไว้ว่าซักสองชั่วโมงครึ่งก็น่าจะไปถึงที่หมาย พอเลี้ยวซ้ายเข้าถนนหมายเลข 340 มุ่งหน้าสุพรรณบุรีได้แป๊บเดียวก็แวะเติมพลังให้พาหนะของเรากันก่อน

จากนั้นก็วิ่งตรงยาวมาเรื่อย พ้นจากตัวเมืองสุพรรณฯมา ฟ้าก็ยังมืดอยู่เลย สก๊อยแอบทึ่งกับเจ้าตำนานไซส์ 200CC คันนี้ ยอมรับว่าครั้งแรกที่รู้ว่าจะได้ซ้อนแนวคาเฟ่ คือเผื่อใจไว้แล้วว่ารถจะเป็นสายชิลล์ ค่อยๆสโลว์ไลฟ์ ไปแบบเนิบๆ แต่เอาเข้าจริงๆพูดเลยว่าถนนเรียบๆนี่รถทำความเร็วได้ไม่แพ้สายอื่น จะมีเรื่องการเข้าโค้งที่บอกเลยว่าแอบยาก (มีช็อตนึงที่โค้งหนักๆ สก๊อยนี่เทตัวเองลงมาแล้ว แต่รถดันไม่เทตามมา อย่างเหวอ 55) นั่งเพลินๆ GPS ก็เตือนให้เลี้ยวขวา เราก็มาถึงปากทางเข้าบริเวณวัดพุน้ำร้อนกันแล้ว ตรงจุดนี้จะมีป้อมจำหน่ายบัตรผ่านเข้า-ออก (รถยนต์ 20บาท มอเตอร์ไซค์ 10บาท) โดยเราต้องเก็บบัตรไว้คืนให้กับเจ้าหน้าที่ในตอนขากลับออกมาด้วยค่ะ

จากซุ้มประตูทางเข้า ช่วงแรกยังเป็นคอนกรีตอยู่ค่ะ มีป้ายบอกค่อนข้างชัดเจนเวลาที่เจอทางแยก

ป้ายของทางแยกที่สองนี้ เราดันขี่กันเพลินจนเลยทางเข้าไป แต่ขี่เลยไปได้นิดเดียว คุณป้าที่กำลังทำสวนอยู่ข้างทางก็รีบบอกว่าหนูต้องย้อนกลับลูก ทางนี้ไปไม่ได้ 555 คนแถวนี้น่ารักกันดีจัง

เส้นทางก็จะตัดผ่านหมู่บ้าน เป็นถนนที่คนในชุมชนใช้กันเป็นปกติ บางช่วงก็มีชาวบ้านนำเห็ดหรือพวกผลไม้มาวางขาย

พ้นจากหมู่บ้านได้ไม่ทันไร ก็มาถึงจุดพีคของเส้นทางที่ทำให้ยังไม่ได้มาซักที นั่นคือ”ถนนลูกรัง” แต่จากการหาข้อมูลมาก่อนหน้านี้ ทางชุมชนยืนยันว่า ถนนเป็นลูกรังอัดแข็ง รถทุกชนิดสามารถผ่านได้ เรามาเพื่อเจอสิ่งนี้อยู่แล้ว ลุยต่อกันเล้ยย

วิวข้างทางดูแล้วสบายตามากมาย ภูเขาสีเขียวเข้มกับไร่อ้อย ไร่ข้าวโพดสลับกันไปตัดกับทางลูกรังสีน้ำตาลแดง ไม่น่าเชื่อแค่ร้อยกว่าโลจากกรุงเทพฯ จะได้เจอวิวงามๆขนาดนี้ ขี่ตามทางมองป้ายเรื่อยไป มาถึงจุดนี้ที่ต้องสังเกตุกันหน่อย เพราะป้ายแอบหลบอยู่ข้างหลัง

วันทำงานมุ่งหน้าเข้าเมือง วันหยุดเราก็มุ่งหน้าเข้าป่า

วิวแจ่มจนต้องจอดแวะถ่ายรูปกันกลางทาง ระหว่างที่กำลังจอดหามุมกันอยู่นั้น มีรถเก๋งขับสวนมา เปิดกระจกมาถามไถ่ว่ารถเป็นอะไรหรือเปล่า มีอะไรให้ช่วยมั๊ย ตอนหลังไปเจอกันในหุบเขาวงเลยรู้ว่าน้องเค้าเป็นคนที่นั่น รู้สึกอิ่มใจกับอัธยาศัยของคนที่นี่มาก เริ่มจะตกหลุมรักหุบเขาวงซะแล้ว

เส้นทางจะขรุขระบ้าง บางจุดก็เจอโคลน เจอกรวด เราก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไป เปรียบเหมือนชีวิตคนเรา ไม่ได้ราบเรียบตลอดเวลา อุปสรรคจะผ่านเข้ามาบ้าง ก็เพื่อให้เราเรียนรู้ที่จะเดินหน้าต่อ ว่าแต่มาอำเภอด่านช้าง แต่ยังไม่เจอช้างซักด่าน (เกือบจะมีสาระอยู่แล้วเชียว 55)

ในที่สุด..เราก็มาถึงทันเวลาที่ตั้งใจไว้ ได้เจอกันแล้วน้าา “หุบเขาวง”

หนึ่งในเหตุผลที่เรารีบมาให้ถึงตั้งแต่เช้าตรู่ คือเพื่อที่จะได้มาลองกาแฟในกระบอกไม้ไผ่ จิบกาแฟ ฟังเสียงนกร้อง แสงยามเช้าทำให้บรรยากาศมันชิลล์มากขึ้นไปอีกหลายเท่า ออกตัวไว้ก่อนว่า ภาพทั้งหมดที่เห็นในรีวิวนี้ ไม่ได้มีการ Process ใดๆนอกจากการใส่เครดิต เพื่อให้ทุกคนได้ซึมซับบรรยากาศที่แท้จริง ได้เห็นความเป็น “หุบเขาวง” ในแบบที่ไร้การปรุงแต่ง

คลาสสิคแค่ไหน ขนาดกระติกน้ำร้อนก็ยังทำจากไม้ไผ่ เดาว่าเพราะไฟฟ้ามีให้ใช้อย่างจำกัด สัญญาณมือถือยิ่งไม่ต้องพูดถึง เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในยุค ’90 (จริงๆแล้วสก๊อยก็เกิดไม่ทันยุคนั้นนะ PCT , Sony Walkman คืออะไรหรอ หลุยส์ แร็พเตอร์ คือใครไม่รู้จักเล้ยย แฮร่ๆ!!)

ที่นี่ไม่มีร้านสะดวกซื้อ จะมีก็แต่ร้านซื้อสะดวกคือร้านค้าสหกรณ์ชุมชนบ้านพุน้ำร้อน ชุมชนเล็กๆที่ร่วมแรงร่วมใจกันอย่างแข็งขัน ทำให้ “หุบเขาวง”เป็นที่รู้จักและเป็นปลายทางในใจของใครหลายๆคน

ถ้าอยากค้างซักคืน ก็สามารถติดต่อที่นี่ได้เลยค่ะ คุณป้าคนดูแลฝากบอกว่า ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ แพจะเต็ม แต่ถ้าวันธรรมดาว่างตลอด โทรมาสอบถามก่อนได้ (แต่อาจจะโทรติดยากซักหน่อย เพราะไม่ค่อยมีสัญญาณ

ออกมาสำรวจรอบๆกันต่อ แสงแดดเริ่มสาดมาถึงบริเวณระเบียงไม้ที่เรานั่งห้อยขาจิบกาแฟ มุมนี้มองกี่ทีก็ไม่มีเบื่อ

แอบงงตรงที่จอดตากแดดตั้งนานทำไมเบาะไม่ร้อน อันนี้ข้องใจมาก คือเรื่องไม่ค่อยเมื่อยนี่เข้าใจว่าด้วยสรีระเวลานั่งแล้วหลังตรง รวมกับตัวเบาะค่อนข้างนิ่ม อีกทั้งยังมีโช๊คคู่ช่วยซับแรงกระแทกเรื่องไม่เมื่อยนี่เลยเข้าใจได้ แต่จอดแดดเปรี้ยงๆแล้วเบาะไม่ร้อนนี่ทำเอาอึ้งไปเลย (ตอนหลังมาคุยกับคุณ Rider ว่า “เห้ยย..เธอ คาเฟ่มันนั่งสบายกว่าที่คิดเยอะเลยอ้ะ” เลยโดนกัดมาหนึ่งดอกว่า “ก็เธอเคยซ้อนMSXไง ทีนี้ไปซ้อนอะไรมันก็สบายหมดแหละ” ร้องไห้ร้องไห้

มีจักรยานน้ำกับเรือพายให้เช่าด้วยนะ ไม่เหนื่อยไม่กลับกันล่ะงานนี้

สิบนาทีต่อมาเหนื่อยแล้วค่ะ -*- เดินกลับมาที่ร้านค้าสหกรณ์ เหลือบตาไปเห็นเมนูแล้วท้องร้องนำมาเลยทีเดียว จนป้าต้องรีบเบรคว่า ชุดอาหารจะเริ่มทำประมาณสิบโมงถึงห้าโมงเย็น เพราะปลาเผาต้องใช้เวลามากหน่อย อดอีกแล้วง่าา เวรกรรมอะไรของช้านน อดกินอะไรที่เป็น Signature ตลอด

เรื่องราวก็จบลงตรงเมนูคิดน้อย จัดกระเพราหมูสับ-ไข่ดาวมาเลยค่ะ จานนี้40บาท (แอบบอกนิดว่า ไม่กินเผ็ดต้องบอกป้าเค้าก่อนนะคะ สก๊อยนี่กินไปแทบพ่นไฟได้เลย อร่อยแต่เผ็ดมากจริงๆ)

แอบเดินไปดูครัวด้านหลัง นึกภาพออกเลยว่าถ้าสายกว่านี้ในวันหยุดแบบนี้จะต้องวุ่นวายกันมากแน่ๆ ชุมชนที่นี่เค้าเข้มแข็งกันดีจัง ทุกบ้านมาช่วยกันหมดเลย เหมือนวิถีชีวิตเค้าผูกพันร่วมกัน อารมณ์คล้ายงานบุญแถวบ้านที่นครนายกของสก๊อย เพียงแต่ที่นี่เค้าทำกันทุกวันจนเป็นเรื่องปกติ

เดินย่อยอาหารต่ออีกซักหน่อย อาจจะเป็นเพราะมุมนี้ เลยทำให้ใครๆเปรียบเทียบที่นี่ว่าคล้ายปางอุ๋งที่แม่ฮ่องสอน

ปล่อยเวลาให้เดินไปช้าๆ นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้แหงนหน้าดูฟ้า เฝ้ามองเมฆที่ค่อยๆเคลื่อนผ่านไป

ชาร์ตแบตตัวเองจนเต็มเปี่ยม แสงยามบ่ายก็เริ่มสาดเข้ามาพร้อมบรรดานักท่องเที่ยวที่เริ่มทยอยมาถึงและจับจองพื้นที่ เที่ยววันหยุดอาจจะต้องทำใจเพราะหลายคนก็หยุดเหมือนๆกัน เสน่ห์อีกข้อของสองล้อก็คงจะเป็นเรื่องที่เราบริหารเวลาได้ เลือกเลี่ยงช่วงคนเยอะได้ไม่ยาก และไม่ต้องกังวลกับสภาพการจราจรมากนัก

กลับออกจาก ”หุบเขาวง” พร้อมความสุขใจ ระหว่างขี่กลับเข้าตัวอำเภอด่านช้าง เจอป้ายบอกทางไปเขื่อนกระเสียว แวะไปชมกันหน่อยดีกว่า ไปถึงปรากฏว่าสันเขื่อนไม่ได้เปิดให้เข้า แป่ววว.. แอบมองเห็นเรือชาวบ้านอยู่ไกลๆ มีทางดินที่ชาวบ้านใช้สัญจรเลาะไปใต้สันเขื่อน ลงสิคะ..รออะไร รถเราสายลุยอยู่แล้ว

พอดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน

แดดจ้าจนต้องยอมถอย จากตรงนี้เราตั้งใจจะแวะไปซื้อของฝากที่ตลาดสามชุกก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับบ้าน ระหว่างทางมองวิวเพลินจนลืมไปว่า เรายังไม่ได้เติมน้ำมันกันเลย แต่ก็ไม่ต้องวอรี่เพราะเจ้าคาเฟ่คันนี้ มีน้ำมันก็อกสองอยู่ราวๆ 2 ลิตร ดี๊ย์..ดี

มาถึงตลาดร้อยปีสามชุก แวะกินข้าวซื้อของฝากกันจนกระเป๋าตุง (แต่กระเป๋าตังแฟ่บจนน่าใจหาย T๐T) ได้เวลากลับไปสู่ชีวิตจริง จบทริปกันไปแบบลั๊ลลาสุดๆ

ก่อนจาก..ขอฝากอีกซักนิด อย่างที่ทราบกันว่า “หุบเขาวง” ดูแลกันแบบอบอุ่นโดยคนในชุมชนบ้านพุน้ำร้อน ดังนั้นการบริการหรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆก็อาจจะยังไม่สะดวกสบายนัก ยิ่งในวันหยุดที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปพร้อมๆกันจำนวนมาก อยากให้เข้าใจและเที่ยวกันอย่างมีสตินะคะ

 

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณพี่โอม Just Ride it และ GPX ที่ให้โอกาสได้มาลองซ้อนเจ้าคาเฟ่สุดแนว GPX LEGEND 200 คันนี้ด้วยนะคะ ทำเอาเราเปลี่ยนความคิดสำหรับรถแนวนี้ไปมากเลยทีเดียว

 

ด้วยรัก..จากสก๊อย minibike ผู้แบกเป้ Taichi ใบใหญ่กว่าตัว ตะลอนไปทั่วราชอาณาจักร อมยิ้ม07

 

เจอเราสองคนที่ไหนทักทายกันได้นะค๊าา (ไม่เปิดหน้าเปิดตาแล้วเค้าจะจำกันได้ม้ายย 55) Bye Bye kaa..

 

บทความโดย Skoy!Turnpro
Linkต้นฉบับ http://pantip.com/topic/35617038