Riding is my Passion 2019 Riding in new zealand by Dreamchaser

        Why we ride? เชื่อว่าหลายคนคงมีคำถามนี้อยู่ในใจในหลายๆครั้งที่ออกไปขับขี่รถจักรยานยนต์
หลายๆคนขับขี่เพื่อความสะดวกในชีวิตประจำวัน หลายๆคน ขับขี่เพื่อท่องเที่ยวผ่อนคลายในวันหยุด อีกหลายๆคนอาจจะขับขี่เพื่อเข้าสังคม สำหรับผู้เขียนแล้ว ทุกเหตุผลเป็นเรื่องที่ดีหมด ตราบใดที่เรายังมีความสุขกับเหตุผลของเราและนั่นก็เป็นที่มาของบทความนี้

          สำหรับผมเองแล้ว ทุกเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ไม่สำคัญเท่ากับการได้มีความสุขที่ได้อยู่กับสิ่งที่เรียกว่ารถจักรยานยนต์นั่นทำให้ผมเลือกที่จะใช้วันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ในปีนี้กับการออกไปขับขี่รถในต่างประเทศที่ได้ชื่อว่ามีธรรมชาติที่สวยงามและเส้นทางที่น่าขับขี่ประเทศหนึ่งอย่าง New Zealand

            คำถามต่อมา คืออะไรทำให้ผมเลือกไปประเทศนี้ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะได้ทำงานใน Project ที่มีวัตถุประสงค์ในการสร้างแรงบันดาลใจให้ออกไปขับขี่รถจักรยานยนต์อย่าง Riding Passion ซึ่งเราได้เลือก New Zealand เป็นDestination ซึ่งจากการทำงานในครั้งนั้นทำให้ผู้เขียนอยากจะกลับมาขี่รถในฐานะนักท่องเที่ยวธรรมดาคนหนึ่ง

โดยจุดเริ่มต้นมาจากการที่ทีมงานชาว New Zealand ท่านหนึ่ง (ต่อจากนี้จะขอเรียกว่า “Ralhp“) ติดต่อมาว่าจะมาเที่ยวประเทศไทยช่วงปีใหม่นะ เราก็เลยไปรับที่สนามบินและได้มีโอกาสรับประทานอาหารร่วมกัน ซึ่งเขาก็ได้ถามว่าเมื่อไหร่จะกลับไปขี่รถที่บ้านเขาอีก เราก็เก็บเอาไปคิดดู จนเดืฮนกุมภาพันธ์เราก็เริ่มวางแผนการเดินทาง คำนวนค่าใช้จ่ายและดูปฎิทินว่าเรามีวันหยุดช่วงไหนพอจะไปได้บ้าง ซึ่งก็โชคดีว่าสงกรานต์ปีนี้ได้วันหยุดเยอะ ตั้ง 11 วันเลย

แต่เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้นปรากฎว่า Visa ที่ได้จากปีที่แล้วหมดก่อนสงกรานต์ เดือดร้อนต้องไปทำเรื่องขอ Visa ใหม่ ซึ่งเราก็พยายามรวบรวมเอกสาร กว่าจะครบกว่าจะยื่น ก็กลางเดือนมีนาคมพอดีหลังจากนั้นก็ร้องเพลงรอเอกสารไป แล้วก็ติดต่อบริษัทเช่ารถจักรยานยนต์ที่เคยใช้เมื่อปีที่แล้ว ชื่อ Kiwi Motorcycle Rentals (ต่อจากนี้จะขอเรียกว่า “Kiwi“) ซึ่งทางผู้เขียนเลือกที่จะเช่า Honda Africa Twin พอแจ้งไป 2-3 วัน ทาง Kiwi ก็ติดต่อกลับมาว่ามีรถว่างให้เช่านะ……….แต่ ถ้าคุณมาถึงวันที่ 10 รถจะอยู่ที่ Auckland นะถ้าคุณจะมาเที่ยว South Island ก็ต้องขี่ลงมาเอง เราก็ตอบตกลง แต่ขอรอผล Visa ออกแล้วจะแจ้งยืนยันการเช่ากลับไปนะ

    1 สัปดาห์ ผ่านไป 2 สัปดาห์ ผ่านไป ในที่สุดสัปดาห์ที่ 3 ก็ได้รับข่าวดีคือ Visa เรียบร้อย ซึ่งก็เป็นวันที่ 8 มีนาคม เข้าไปแล้ว จึงรีบไปหาตั๋วเครื่องบินเพื่อจะไปให้ทันวันที่ 10 ซึ่งก็ต้องบินวันที่ 9 ตามเวลาประเทศไทย ผลปรากฎว่าตั๋วปาเข้าไปเกือย 6 หมื่นบาท เริ่ม 2 จิต 2 ใจละว่าจะไปดีไม่ไปดี เพราะเกินงบเห็นๆ เลยติดต่อกลับไปบริษัทรถเช่าว่าถ้าไปเช่าที่ Christchurch รถจะมาวันไหน ซึ่งก็ได้คำตอบว่าวันที่ 14 เลยกลับไปเช็คตั๋วเครื่องบินอีกรอบกะว่าถึงก่อนสัก 1-2 วัน ผลปรากฎว่าโอเค 3 หมื่นปลายๆ……..แต่ มันยังไม่รวมเดินทางจาก Auckland ไป Christchurch เลยนี่ ลองหาใหม่ ตั๋วเต็มจ้าาาาา เลยลองหาแบบบินแยกโดยจองสายการบินภายในประเทศเอง ก็ได้ตั๋วครบทั้งไปกลับและต่อเครื่องในราคารวม 5 หมื่นบาท ใน เวลา 3 ทุ่มของวันที่ 9 ………………..น้ำตาจะไหล 

    โดยตารางการเดินทางตามตั๋วที่จองไปก็คือบินวันที่ 11 เย็นโดยสายการบินไทย รักคุณเท่าฟ้า ถึง Auckland วันที่ 12 สายๆ และด้วยความที่เป็นคนอยากรู้อยากเห็นก็ขอแวะเที่ยวที่นี่สัก 1 วันและบินต่อไป Christchurch ในวันที่ 13 และเดินทางกลับแบบรวดเดียวจาก Christchurch ในวันที่ 21 เพื่อให้กลับมาทันทำงานที่ กทม. พอทราบดังนี้แล้วก็รีบแจ้งทาง Kiwi , Ralph และอีกคนหนึ่งที่จะอดกล่าวถึงไม่ได้คือพี่แจน (สาวใหญ่ผู้คลุกคลีอยู่ในวงการรถ Adventure ที่ไปเรียนต่อที่ New Zealnd พอดี) โดยสิ่งที่น่าประทับใจก็คือทั้งสามคนกลัวเราจะเที่ยวไม่สนุกไม่เต็มอิ่ม ก็รีบคุยๆกันแล้วก็แจ้งกลับมาว่า พอคุณลงลงเครื่อง Ralph จะไปรับที่สนามบิน เสร็จแล้วรีบมารับรถที่ Kiwi เลยนะ ที่พักยังไม่ต้องหา

    พอวันจะเดินทางผมก็วุ่นวายกับการหยิบยืมและซื้อหาสิ่งของเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมกับการขี่รถในสภาพอากาศเลขตัวเดียวในยามเช้าและหลัก 10 ในยามแดดดี ซึ่งไม่ถูกกับผมเอามากๆ แต่มันสวยไง ใจเลยสั่งมา……..ฮา และก็ตามสไตล์ ผมลกๆยัดของลงในกระเป๋าเดินทาง แล้วก็จับ Taxi ไปสนามบิน ขึ้นเครื่อง ผ่านไป 12 ชม. ก็มาถึง สนามบิน Auckland 

Auckland International Airport

ซึ่งที่ New Zealand เราจะได้รับแจ้งตั้งแต่อยู่บนเครื่องว่าคุณต้องกรอกนู่นนี่นั่นและต้องไปสำแดงของ บลาๆๆ ซึ่งถ้าคุณไปเที่ยวเฉยๆก็คงจะไม่มีอะไร แต่ถ้าคุณจะไปขี่รถอย่าลืมแจ้งสำแดงอุปกรณ์ขับขี่ด้วย (อยู่ในหมวด Sport equipment ) ไม่แจ้งก็ได้แต่ถ้าโดนเรียกแล้ว ทางศุลกากรมองว่าจงใจปิดบังหรือละเมิดกฎหมาย คุณอาจโดนปรับได้ ซึ่งมันก็ไม่ได้ยากอะไรแค่เขียนไปว่าเราพกอะไรมาแล้วก็ตอบคำถามดีๆ เค้าก็จะเอาของเราไป X-ray ดูว่ามีดินหรือเชื้อโรค เชื้อราอะไรติดมากับของพวกนี้หรือไม่  ไม่มีก็ผ่านไปสบายๆ

    ออกมาสิ่งที่ทำอย่างแรกเลยก็คือหา Internet ใช้ก่อน ซึ่งก็ใช้ Airport Wi-fi นั่นแหละ เพราะจากที่ได้รับแจ้งมาคือยังไม่ต้องหาที่พัก ก็เลยลืมจองที่พักให้ตัวเองในวันที่อยู่ Auckland หาๆไปสักพักก็เรียบร้อยได้ที่พักกลางเมืองชื่อว่า Barclay Suites ในราคา 3 พันบาท ต่อมาก็ต้องมองหาวิธีเข้าเมือง ซึ่งก็มีหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะรถประจำทาง Taxi Shuttle bus และ Limousine ส่วนรถไฟไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่ เพราะไม่ได้ดู……..ฮา เล็งราคากับของที่แบกมาเต็มพิกัด ก็เลยเลือก Shuttle bus นามว่า Super Shuttle เพราะรับ-ส่งถึงที่ แค่แจ้งชื่อที่พักและเวลานัดรับ ในราคาไปกลับ 1 พันบาทเท่านั้น

    1 วันใน Auckland ของผมก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากเดินชมเมือง ถ่ายรูป แล้วก็รอขึ้นเครื่องไปขี่รถแต่ที่นึกขึ้นได้ระหว่างนั้นคือ สายการบินภายในประเทศของ New Zealand จำกัดน้ำหนักอยู่ที 23Kg. แต่ผมบินสายการยิน Low cost อย่าง Jetstar ก็ต้องจ่ายเพิ่มตามระเบียบ ก็กดไป 25Kg. เพราะกลัวโดนเรียกเก็บเพิ่มเนื่องจากถือของของพะรุงพะรังมาก ไม่ว่าจะหมวก จะกล้อง จะ Laptop

Auckland City Center

Viaduct Habour , Auckland

1 ชม. 30 นาที ผ่านไปเราก็เดินทางมาถึง Christchurch ซึ่ง Ralph และพี่แจนได้มารอรับผมอยู่ที่ประตูผู้โดยสารขาเข้าแล้ว ระหว่างที่รอไปรับรถก็ได้นั่งคุยกันสัพเพเหระ พี่แจนด้วยความเป็นห่วงผมก็เลยนำสิ่งของจำเป็นมาให้มากมาย ไม่ว่าจะ Sim card ถุงมือ Heater ถุงมือกันฝน และอื่นๆอีกเพียบ Ralph ถึงกับหัวเราะเลยว่าเราจะไปขี่รถ Adventure จะเอาอะไรไปเยอะแยะ ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจแผนการขี่รถของ Ralph ก็ไม่ได้คิดอะไร

Viaduct Habour , Auckland

    ถึงเวลาเราก็ไปรับรถที่ Kiwi ซึ่งทางนั้นก็กำลังปลุกปั้น ทั้งเปลี่ยนยางใส่ Rack ให้ ก็เข้าไปกรอกเอกสาร พร้อมสำเนาใบขับขี่สากล ชำระเงินค่าเช่า คิดเป็นเงินไทยโดยประมาณ วันละ 3500 บาท และรูดบัตร Credit เป็นวงเงินประกันอีกประมาณ 5 หมื่นบาท เสร็จเรียบร้อยก็ขี่รถตาม Ralph กลับมาที่บ้าน พอถึง Ralph ก็บอกว่า Trip นี้นอนบ้านผมก็แล้วกัน เดี๋ยวพาขี่ลุยละแวกนี้ให้ทั่วเลย ผมก็งงสิครับ เราก็นึกว่าจะให้มารอวางแผนการเดินทางกันที่นี้แล้วค่อยหาที่พัก ก็เลยบอกไปว่าไม่เห็นด้วย เราอยากไปขี่ทั่วๆเกาะเลย ก็เลยมานั่งวางแผนกันใหม่ ซึ่งก็ออกมาเป็นดังนี้

    วันที่ 14 เราจะขี่ On road เล่นกับ BMW club ของ Christchurch กับ Nelson แถว Hanmers Spring และไปแยกกันที่ Reefton หลังจากนั้นเราจะขี่อ้อม East coast และไปพักกันที่ Murchison
    วันที่ 15 จะเป็นวันแรกที่ได้ขี่ Off road กันจริงๆจังๆ โดยเช้าเราจะไป Lake Rotoroa ต่อด้วย Lake Rotoiti และบ่ายก็จะเข้าไป Camping ในหุบเขา ที่ Ralph เรียกสั้นๆว่า Rainbow
    วันที่ 16 เราจะกลับมานอน Christchurch เพื่อลงใต้ โดยจะออกจาก Rainbow ขี่เลาะ Archeron River ไปเจอถนนหลวงที่เมือง Seddon และขี่ On road จนมาถึง Christchurch
    วันที่ 17 Ralph อยากให้ไปนอนใกล้ๆ Queenstown วันต่อมาจะได้เที่ยวแถวนั้นเต็มๆ เลยขี่ On road ยาวไปถึง Fairlie แล้วขี่ Off road จนไปถึง Naseby
    วันที่ 18 ออกจาก Naseby ไป เจอถนนหลวงที่ Lake Dustan และแวะพัก Arrowtown ขี่ Off-Road เล่นอีกหน่อยที่ Skippers และจบที่ Queenstown เมืองมหาชนของ South Island
    วันที่ 19 ก็จะกลับเข้า Christchurch แต่จะค่อยๆขี่ไปเรื่อยๆ ผ่าน Clyde และขี่ทะลุ Danseys Pass ก่อนจะมาโผล่ที่ Waimate
    วันที่ 20 จาก Waimate เราก็จะเหลือระยะทางไม่ไกลจาก Christchurch มาก ก็จะมีเวลาขี่เที่ยวถ่ายรูปเล่นมาเรื่อย โดยจะให้ถึง Christchurh ประมาณ 4 โมงเย็นเพื่อคืนรถ

    พอวันจริงก็ตามคาดคือไม่เป็นอย่างแผนเลย……..ฮา  ตอนเช้าจัดการ Pack ของใส่กระเป๋ากันน้ำ มัดกับ Rack ท้ายเรียบร้อย Ralph มาเห็นเราก็รีบบอกให้ไปเปลี่ยนชุด ไอ้เราก็งงสิครับ แกบอกนี่มันเริ่มจะหนาวแล้วใส่ชุดแบบนี้ (ชุด Rally ใส่ทับ Windbreaker อีกที) ไปขี่ ป่วยแน่ๆ เราก็เลยไปเปลี่ยนเป็นชุด Touring Adventure ที่มี inner layer มาใส่  แกก็โอเค พร้อมกับเร่งให้ออกเดินทางเพราะเรามีนัด BMW Club – Christchurch ตอน 8 โมงครึ่งที่ Amberley ซึ่งห่างจาก Christchurch ไปประมาณ 40 นาที

Reefton , South island

เมื่อมาถึงที่ Amberley ทุกคนรวมถึงพี่แจนก็รออยู่ที่ร้านกาแฟเรียบร้อย ผมก็เข้าไปทักทายทุกๆคน พร้อมกับ Ralph ทุกคนนอกเหนือจากพี่แจนดูจะแปลกใจกับการที่ได้เจอคนไทยบินมาขี่รถไกลถึงที่นี่มากๆ ก็สนทนาฮาเฮกันอีกสักพัก ก็พร้อมใจกันออกเดินทาง โดยมีเป้าหมายไปจิบกาแฟกันที่ Hanmers Spring และแวะรับประทานอาหารกับ BMW Club – Nelson ที่ Reefton พอมาถึง Reefton เราก็ค้นพบว่าที่นี่เขาคลั่งไคล้ BMW จริงๆ กลุ่มแรกมาถึงก็ BMW กลุ่มที่ 2 3 4 ก็ BMW และหลายๆคนดูจะแปลกใจที่เราเลือกขี่ Africa Twin เอามากๆ เราก็บอกว่าไปว่าเราจะไปขี่ Off Road ทุกคนก็เลยร้องอ้อ เพราะรู้ว่าถ้าเราเช่า BMW ไปแล้วดันล้ม ถ้าไม่ยอมเสียค่า Excess ก็ต้องจ่ายค่าซ่อมซึ่งไม่ถูกเลย……..ฮา แต่จริงๆคือเราขี่รถรุ่นนี้ที่ไทยจนคุ้นมือแล้ว ค่าเช่าก็เป็นมิตร แถมประหยัดน้ำมันอีกต่างหาก เลยคิดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเที่ยวครั้งนี้

ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าเราจะแยกไปขี่กันต่อเองจาก Reefton ก็คิดว่าจะไปกันหลายคันปรากฏว่าเหลือแค่เรา Ralph แล้วก็พี่แจนกับแฟนแค่ 4 คัน โดยพี่แจนจะแยกกลับ Christchurch ระหว่างทางที่เราจะไป ซึ่งเราก็ได้แยกไปขี่เลาะชายทะเลฝั่ง West coast เล่นๆ ชมวิวสวยๆ และสถานที่ ที่เรียกว่า Pancake Rock ซึ่งหน้าตาก็ตามชื่อมันนั่นแหละ แวะสภากาแฟจัด Pancake สักจาน

Pancake rocks , Punakaki

Pancake rocks , Punakaki

แล้วก็มุ่งหน้าไป Murchison ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆระหว่าง Victoria Forest Park และ Nelson Lakes National Park เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้เดินทางไปยังสถานที่ ที่ Ralph เรียกว่า Rainbow ได้ตามกำหนดการ เพราะพรุ่งนี้จะเป็น Off Road day กว่าจะมาถึงได้ก็เกือบ 2 ทุ่ม เพราะดันใส่แว่นปรอทขี่ พอตกเย็นเลยมองทางไม่ค่อยจะเห็น ต้องค่อยๆขี่ตาม Ralph รีบเข้าที่พัก ที่เรียกว่า Motorcamp ถ้าบ้านเราก็คงประมาณบังกะโล ซึ่งต้องออกมาทานอาหารเย็นในเมือง ณ เวลานั้นมีให้เลือกแค่ 2 ร้าน (ร้านทั่วไปตามเมืองพวกนี้จะปิดเร็วมาก ไม่เกิน 1 ทุ่มก็ปิดกันเกือบหมด) ทานเสร็จก็รีบกลับไปนอนพัก ซึ่งตามคาดคือนอนไม่หลับ เพราะอากาศเย็น (มารู้ทีหลังว่าถ้าอยากได้ Heater ให้ไปขอที่ Reception) ก็เลยออกมาส่องดาวสักหน่อย กว่าจะหลับลงก็ปาเข้าไป เกือบตี 2

Buller River , Murchison

ตอนเช้ามา ก็ตามคาด ตื่นสายสิครับ เลยได้แค่ทาน Sandwish เป็นอาหารเช้าแล้วก็ออกลุยกันเลยซึ่งวันนี้ตามแผนของ Ralph เราจะขี่ Off-road กันทั้งวัน และก็ตามนั้นจริงๆ 5 นาทีจากร้านอาหารก็ลงทางดินกันเลย ขี่ไปไม่นานก็มาโผล่ที่ Lake Rotoroa ณ จุดนี้ Ralhp ก็ได้หารือกับเราว่าจากตรงนี้เราสามารถไปได้ 2 ทางคือลูกรังเรียบอ้อมเขา หรือ ลุยผ่านหินลอยข้ามเขาไป ด้วยความเกรียนผมก็เลือกทาง 2 ทันที แต่พอตอนที่จะขี่ขึ้นไปนี่ถึงกับต้องบอก Ralph ว่าขอตั้งสติ ก่อนขึ้นสักครู่ ไม่อยากจะทำรถล้มตั้งแต่วันแรกๆ Ralph ถึงกับหัวเราะบอกว่า อย่าไปคิดมาก เค้ายังไม่มั่นใจเลยว่าจะไม่ล้ม………เยี่ยม

Lake Rotoroa , Nelson Lakes National Park

    เอาเป็นว่าก็ผ่านกันมาได้แบบเหงื่อออกมือเป็นพักๆ เสียดายที่บนยอดเขาไม่สามารถมองเห็นวิวรอบๆได้เนื่องจากเป็นป่าทึบ พอลงมาก็แวะทานอาหารกลางวันที่ปั้มน้ำมันในเมือง St.Arnaud ที่อยู่ริม Lake Rotoiti ที่ตรงนี้ Ralph ก็แนะนำให้เราซื้อของที่อยากทานไว้ให้พร้อม เพราะจากนี้ไปจะไม่มีความเจริญไปอีกอย่างน้อย 300 กม. รวมถึงสัญญาณโทรศัพท์

Lake Rotoiti , Nelson Lakes National Park

พอออกเดินทางก็ถึงบางอ้อเลยเพราะจากป้ายที่เขียนว่า Rainbow Ski Area เราไม่เจอบ้านคนอีกเลย จนกระทั่งมาถึงบ้านของผู้ดูแลทาง ลืมบอกไปครับว่า พ้นจากทางเข้า Ski Area เส้นทางที่เหลือเป็นทางส่วนบุคคลและต้องมีการจ่ายค่าผ่านทางรวมถึงลงนามในเอกสารขอใช้ทางว่าเราจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายกับยานพาหนะของเรา ซึ่งก็ตามคาดครับ ทางดีๆมีไม่ไปแท้ๆ เดชะบุญที่ยังมีโชคอยู่บ้างที่ในปีนี้หิมะบนยอดเขามาช้า ลำธารหลายจุดแห้ง ทำให้ขี่ง่ายขึ้น แต่ก็มีหลายจุดที่ทำให้เหงื่ออกมืออยู่ จากจุดพักทานอาหารกลางวันไป 3 ชม. เราก็มาถึงจุดที่ Ralph บอกว่าจะมา Camping ซึ่งก็สร้างความแปลกใจให้กับอะคันตุกะอย่างเราไม่น้อย เพราะจุดนั้นมีบ้านพักอุทยานรอเราอยู่ แต่ แต่ แต่ ในบ้านนั้นมีเพียงที่นอน เตาผิง ฟืนและเทียนไขซึ่งเหลือจากผู้เข้าพักคนก่อน สิ่งแรกที่เมื่อเรามาถึงก็คือขนของเข้าบ้านแล้วรีบไปหาฟืนเพิ่มเพื่อมาจุดไฟในเตาผิง เพราะพอตกเย็นอากาศในหุบเขาก็ลดลงเหลือเลขตัวเดียวทันที และฟืนที่มีเหลืออยู่ก็ไม่น่าจะพอถึงเช้าพรุ่งนี้ ที่น่าตื่นเต้นกว่าคือมื้อเย็นครับเพราะ Ralph บอกว่าจะทำอาหารให้ทาน และก็ตามนั้นจริงๆ แต่มันหักมุมตรงที่สิ่งที่ Ralph ทำคือ ต้มน้ำที่เราไปตักจากลำธารข้างๆบ้าน เราก็หายงงทันทีที่แกเอาซองอาหารสำเร็จรูปออกมา แหม่ตั้งท่ามาซะดิบดี คืนนั้นผมก็ทำเหมือนเดิมคือออกมาส่องดาว เพราะหนาวจนนอนไม่หลับ ถึงจะมีเตาผิงก็เถอะ

St. James Range , Wairua-Hanmer springs

เช้าวันต่อมาเป็นไปด้วยความรีบเร่งเพราะเราต้องตีกลับ Christchurch ซึ่งห่างไป 450 กม. แต่เราต้องขี่ Off-road จากจุด Camping ไปอีก 250 กม. เพื่อไปตัดเข้าทางหลวง เราใช้เวลากว่า 6 ชม. ขี่ผ่าน Awatere Valley จนไปเจอแสงสีอีกทีที่เมือง Seddon ที่เราแวะทานอาหารกลางวันกัน 

Awatere Valley

หลังจากนั้นเราก็ขี่ On-Road ล่องมาตาม East Coast ซึ่งเส้นนี้ยังคงมีร่องรอยความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ให้เห็นอยู่ และระหว่างทางจะมีเขตก่อสร้างให้เห็นเป็นพักๆ ที่โดดเด่นของเส้นนี้คือแมวน้ำครับ ซึ่งจุดพักรถที่เราแวะจอดนี่ มานอนอาบแดดกันนับพันทีเดียว แล้วเราก็เดินทางมาถึง Christchurch ราวๆ 17.00 ซึ่งภรรยา Ralph (ต่อจากนี้จะขอเรียกว่า “Denise“) ได้ทำอาหารค่ำรอเราอยู่แล้ว และเราก็ได้ทานอาหารแล้วก็คุยกันเรื่องแผนที่จะขี่ลงใต้ แล้วก็สับเปลี่ยนสัมภาระบางส่วน เพราะเราไม่ต้องใช้อุปกรณ์ สำหรับ Camping แล้ว ส่วนตัวรู้สึกว่าชุด Touring Adventure ที่ใส่อยู่ร้อนเกินไป เลยเปลี่ยนเป็นชุด Rally ทับด้วย Windbreaker อีกที ในวันต่อมา
    วันนี้ก็ขี่ On-road กันยาวๆ ผ่าน Ashburton Hinds Orari และ Geraldine ไปพักทานอาหารกลางวันที่ Fairlie ตามแผนเป๊ะ จากจุดนี้ไปก็จะเป็นทางที่ผมชอบที่สุดใน Trip นี้ ที่ Ralph เรียกว่า Black Forest ซึ่งเป็น ทาง Off-road ข้ามเขาผ่าน 3 ทะเลสาป คือ Lake Benmore , Lake Aviemore และ Lake Waitaki ดังที่กล่าวไปว่าเราได้วางแผนกันในการขี่ลงใต้ เส้นทางนี้ก็เป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่เป็นของเอกชน และต้องขออนุญาตก่อนใช้เส้นทาง ซึ่งเราได้โทรขอใช้ทางล่วงหน้าเรียบร้อย พอมาถึงก็แค่ชำระค่าผ่านทางแล้วก็ลุยได้เลย  ตอนแรกก็รู้สึกเฉยๆเพราะขี่เลียบทะเลสาปก็ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ เพราะทางถือว่าไม่ยากสำหรับนักขับขี่ชาวไทยที่เคยชินกับทางลำบากๆอยู่แล้ว แต่พอไปถึงยอดเขาเท่านั้นแหละ กรี๊ดเลย วิวที่เห็นจากยอดเขามันประทับใจมากๆ ขาลงเขานี่ยิ่งขี่ยิ่งเพลิน เผลอแป๊บเดียวเราก็มาถึง Lake Aviemore แล้ว

Lake Benmore , Otematata

Lake Aviemore , Otematata

และจากตรงนี้เราก็จะขี่ On-road เลียบ Lake Waitaki ไปแวะเติมน้ำมันที่เมือง Kurow ก่อนจะตัดเข้า Off-road อีกรอบผ่าน Danseys Pass เพื่อไปยังเมือง Naseby ซึ่งเส้นทางนี้ถือว่าเป็นเส้นทางสัญจรยอดนิยมของผู้นิยม Off-road ที่นี่ไม่ว่าจะ 2 ล้อ หรือ 4 ล้อ เพราะก่อนทางออกถนนหลวงสัก 15 กม. จะมีจุดพักที่แจ่มมากสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่อว่า Danseys Pass Coach Inn ซึ่งมีประวัติเก่าแก่มากๆ ที่หนึ่งของนิวซีแลนด์เลย เราจบการเดินทางวันนี้กันเกือบ 20.00 และที่นี่เราเลือกเช่าบ้านแทนโรงแรมซึ่งอยากจะบอกว่าคุ้มมากๆสำหรับการมาเป็นก้วน 4-5 คน จากนั้นก็เดินเท้า 10 นาที เพื่อไปหาอาหารเย็นทานกันที่โรงแรมกลางเมือง Naseby ซึ่งเป็นที่เดียวที่ยังเปิดอยู่ในเมืองนี้ อิ่มแล้วก็กลับมาพักผ่อน เป็นอันจบวัน

Danseys Pass , Duntroon

ขี่ไปขี่มาก็ปาเข้าไปวันที่ 18 แล้ว แม่เจ้า วันนี้จัดว่าชิลๆ ขี่ไม่ไกลมากเพราะจาก Naseby วิ่งถนนดำไม่นานก็ถึง Queenstown แล้ว 
ดังนั้น Ralph คงกลัวผมจะขี่ไม่คุ้มจึงพาไปขี่อ้อมโลกเล่น โดยเริ่มจากการเติมพลังด้วยอาหารเช้าที่เมือง Omakau 
ก่อนที่จะขี่ Off-Road ทะลุเทือกเขา Dunstan มาเจอ Lake Dunstan แบบงงๆ 

Lake Dunstan , Cromwell

ผ่าน Cromwell แล้ว Ralph ก็พามาแวะเมือง Arrowtown ที่ซึ่งผมค้นพบว่า ตัวเองมาเที่ยวเร็วไป 1 สัปดาห์ เพราะที่นี่จะมีงาน Autumn Festival ที่แจ่มมากๆ และปีนี้มันดันจัดสัปดาห์ถัดไป แปลว่าแถวนี้ใบไม้จะยังเปลี่ยนสีกันไม่สุดนั่นเอง แต่ไม่เป็นไร Ralph บอกว่าจะพาไปแก้เซ็งที่ Skippers ไอ้เรานี่ถึงกับโดดตัวลอย เพราะปีที่แล้วโดนสั่งห้ามเข้าเนื่องจากต้องทำเรื่องขอเข้าพื้นที่สำหรับรถเช่า แต่ปีนี้ Ralph ขออนุญาตเรียบร้อย ว่าแล้วก็รีบทานอาหารกลางวันแล้วก็ลุยโลด จาก Arrowtown 15 นาทีก็มาถึงทางเข้า Skippers 

ขอเล่าก่อนว่าถนนเส้นนี้ถูกสร้างขึ้นเพราะมีการทำเหมืองทองคำในละแวกนี้ แต่ถึงจะเป็นถนนสาธารณะก็จริง แต่แคบมากและเป็นเส้นทางเข้าออกทางเดียว ปัจจุบันได้รับความนิยมมาใช้จัดกิจกรรม Bungy Jump Moutainbike และ Rafting ซึ่งหาซื้อตั๋วได้ไม่ยากเพราะมีขายกลาดเกลื่อนที่ Queenstown เป็นเส้นทางที่ขี่สนุกมาก แต่แคบและอันตรายไปสันิดสำหรับสายความเร็ว เพราะจะมีรถนักท่องเที่ยวสวนมาเป็นระยะๆ ต้องคอยพิงรถหลบ แต่บอกเลยว่ามีความสวยงามและขี่ได้เพลินมากๆ เราก็แวะถ่ายรูป ถ่าย Drone กันจนเพลิน กว่าจะถึงที่พักก็เย็นเลย

Skippers Canyon

ซึ่งรอบนี้เราก็ได้นอนโรงแรมกันจริงๆจังๆสักที เรามานอนโรงแรม Double Tree by Hilton ที่เมือง Frankton 
ซึ่งเป็นเมืองอีกฝากของ Lake Wakapitu ห่างจาก Queenstown 15 นาที  เดชะบุญที่โรงแรมมีบริการเรือด่วน 
แต่จริงๆใช้คำว่าเรือซิ่งจะเหมาะกว่า ทำให้เราไปเที่ยว Queenstown ได้สบายๆ

ซึ่งผมและ Ralph ก็ไปนั่งร้านพิซซ่าเจ้าเก่าจากปีที่แล้ว ด้วยเหตุผลคือปีที่แล้วได้กินฟรี เพราะร้านดันทำอาหารช้าไป 30 นาที แต่เรื่องของเรื่องจริงๆแล้วคือ Ralph แกบอกว่าพิซซ่าที่นี่อร่อยโคตรๆ แล้วนายจะลืม Ferg Burger ไปเลย ปีนี้ก็เลยมาอีก มานั่งดักแก่กันสองคนลุงกับหลาน……ฮา  อิ่มแล้วก็นั่งเรือกลับจบวันแบบเก๋ๆ

Queenstown

วันที่ 19 แล้ว เรียกว่าต้องนับถอยหลังกลับไทยกันแล้ว เราก็เลยไม่อยากจะขี่กลับแบบหงอยๆ 
ก็เลยไปหาที่ขี่เล่นอีกตามเคย รอบนี้เราก็เลยไปลองทางใหม่ใกล้ๆ กับ Navis Valley ซึ่งจะพาเราไปออกเมือง Clyde โดยเส้นทางนี้ทำให้เราได้เจอทะเลหมอกโดยบังเอิญตอนกลางวันแสกๆ 

จากนั้นก็ขี่ย้อนไปเข้า Danseys Pass เพื่อไปยังเมือง Waimate และที่นี่เราก็เช่าบ้านนอนอีกตามเคย 
แต่ความฮามาเริ่มเอาตอนเรามาถึงบ้านพัก เจ้าของบ้านมาต้อนรับ แล้วก็แจ้งข่าวดีกับเราว่าพวกนายคงต้องลองตระเวณหาร้านอาหารนะ เพราะวันนี้เริ่มหยุด Easter แล้ว แต่ถ้าพวกนายคิดอะไรไม่ออกผมแนะนำร้านบนเขาให้เดินไปไม่ไกล เราก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็รีบเดินไปร้าน เดินไปสักพักตามที่เจ้าของบ้านบอกเราก็ฉุกคิดว่าเปิด Google map ดูดีกว่า 

โอ้แม่เจ้า 4 กม. กลับไปขี่รถดีกว่า กว่าจะเดินถึงร้านแข็งตายพอดี…….ฮา 
ภาพตัดมาที่ร้านอาหารซึ่งดูดีจนไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ในเมืองเล็กๆแห่งนี้ 
แต่สิ่งที่ผมชอบที่สุดในเมืองนี้มาปรากฏเอาตอนเช้า ก็คือภาพวาดฝาผนัง แบบเดียวกับที่เมือง George Town,Penang ก็ได้แวะชักภาพมาหนึ่งภาพก่อนออกเดินทาง 

Wall paint , Waimate

จากนั้นก็ยิงยาวผ่านเส้นหลักที่เรียกว่า Inland Scenic Route ทางหลวงหมายเลข 72 แวะ ถ่ายรูปที่ Rakaia Gorge แล้วก็ในเมืองนิดหน่อยก็กลับมาถึงบ้าน Ralph ซึ่งการขับขี่รถของผมใน Trip นี้ก็ได้หยุดลงที่นี่ 
เพราะทาง Kiwi รบกวนให้ Ralph เก็บรถให้เนื่องจากติดธุระ โดยหลังจากนั้นก็จะเป็นการเก็บสัมภาระของผมลงกระเป๋า ก่อนจะออกไปนั่งทานอาหารเย็นเพื่อร่ำลามิตรสหายชาว Kiwi ที่ Christchurch

Rakaia Gorge , Mt.Hutt

Lyttelton , Christchurch

วันสุดท้ายในต่างแดนแล้ว เช้ามาก็ช่วย Ralph เก็บสัมภาระขึ้นรถเพื่อจะตามไปสมทบกับ Denise และครอบครัวในวันหยุด Easter โดยที่ผมเพิ่งมารู้ว่าแกยอมสละเวลาท่องเที่ยวกับครอบครัว มาเที่ยวกับผม จากนั้นก็ดิ่งมาสนามบินร่ำลากันอีกรอบหน้า Gate หลังจากนั้นก็บินมาลง Auckland ก่อนจะต่อเครื่องกลับมาประเทศไทย พร้อมด้วยความทรงจำดีๆ รอยยิ้มมิตรภาพของ Ralph และ Denise รวมถึง Alan และ Andrea จาก Kiwimotorcycle rentals ที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย

“สุดท้ายนี้สิ่งที่อยากจะสื่อไปถึงท่านผู้อ่านคือ ขอให้สนุกไปกับการขี่ ไม่ว่าจะขนรถไปขี่ เช่ารถขี่ 
จะ BigBike จะรถเล็ก จะขี่ในประเทศหรือขี่ข้ามประเทศก็ตามแต่ ไม่จำเป็นจะต้องยึดติดรูปแบบของการขี่ว่าใครดีกว่าหรือเหมาะสมกว่า เพราะแต่ละคนมีต้นทุน มีช่วงเวลา มีความจำเป็นหลายๆอย่างที่ไม่เหมือนกัน แค่มีความสุขกับสิ่งที่เราไปได้ขี่ไปประสบพบเจอ เก็บภาพบรรยากาศดีๆเหล่านั้นมาเป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตต่อไป ก็น่าจะเพียงพอแล้ว”

ขอขอบคุณ Bikelane Pattaya,Override MAgazine,Just Ride it,Bike Galleria ที่เอื้อเฟื้อ อุปกรณ์ขับขี่ อุปกรณ์ถ่ายภาพและ VDO มา ณ ที่นี้