RIDENOWค น บ้ า ส ต อ รี่ . . ก า ร ก ลั บ ม า ข อ ง . . S V 6 5 0 . . จ ร ลี สู่ เ ข า ย า ย เ ที่ ย ง
“คนบ้าขี่ซู”
ในยุคหนึ่งของสยามประเทศ
ที่คนขี่รถ ซูซูกิ 4 สูบ
ถูกกล่าวขานว่าเป็นคนบ้า
เนื่องจากคาแร็คเตอร์ของรถซูที่นิยมใน เมืองไทยยุคนั้น
แรง . . ดิบ . . เถื่อน
จนใครที่เป็นเจ้าของมัน
ก็ไม่ต่างจาก “คนบ้า” ดีๆ นี่เอง
ส่วนวันนี้
พวกคนบ้า ( ซึ่งก็คือพวกกระผมเอง )
จะพาไปย้อนรอยและสัมผัสทายาทซึ่งสืบเชื้อสายโดยตรง
จากรถในตำนานเหล่านั้น
ออกเดินทางกันเลยครับ….
ปลายทางที่ไม่คาดหมายคราวนี้คือ “เขายายเที่ยง” ครับ
**********************************************************************************************************
ป.ล.1 ขอขอบคุณทีมงาน Just-Ride-it และ ไทยซูซูกิ สำหรับรถทดสอบมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ป.ล2. กระทู้นี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ ดังนี้ครับ ใครไม่สนใจส่วนไหนข้ามไปได้เลยครับ
1. เวิ่นเว้อประวัติคนบ้า
2. ท่องเที่ยวเขายายเที่ยง
3. เหลาสมรรถนะรถ SV650 & SFV650
ป.ล.3 ผมพยายามทำข้อมูลเขายายเที่ยง ซึ่งเห็นว่า เป็นสถานที่พักผ่อนทางเลือกใกล้กรุงอีกแห่งหนึ่งซึ่งราคาไม่แพงเลย ไว้ให้ด้วย เผื่อใครสนใจครับ
ย้อนอดีตกันเล็กน้อย
เอาจริงๆ ตำนานคนบ้า น่าจะเริ่มต้นจากตระกูล GSX-R 750-1100 ในยุคแถวๆ 8x ปลาย ถึง 9x ต้นๆ
เจ้ารถพวกนี้ ความแรง ดิบ ดื้อ ไม่เป็นสองรองใครในยุคนั้น
หากใครเกิดทันรถนามว่า “ถังอูฐ” “สลิ๊ง” “สแรด” อะไรพวกนี้
ก็จะทราบดี ว่าคนขี่พวกนี้ต้อง “บ้า” เข้าขั้นและแถมยัง “เท่เป็นบ้า” ด้วย ( ที่กล้าขี่ 555 )
และอานิสงค์ของคนบ้า
ก็ตกทอดมาถึงคลาสเล็กโดยปริยาย ซึ่งในยุคนั้น รถเหล่านี้ ก็ดิบและแรงกว่าใครถ้าเทียบกันหมัดต่อหมัด
ไม่ว่าจะเป็น Impulse
Inazuma ( อันนี้มายุคหลังๆแล้ว และไม่แรงมากนัก )
และตัวแรงในยุคนั้น Bandit ซึ่งผมเองก็เคยมีโอกาสได้ขี่อยู่นิดหน่อยและรู้สึกว่า เจ้า SV650A นั้นให้อารมณ์ใกล้เคียงกับตัวนี้เหมือนกันนะ
ส่วนตำนาน V-Twin ของ Suzuki ( ในประเทศไทย )
เห็นจะเกิดในยุคปลาย 90 จากการกำเนิดของ Super Bike สาย V-Twin นามว่า TL1000R ( จริงๆ ตัว TL1000S ซึ่งเป็น Half fairing น้นกำเนิดก่อน )
แต่ตัวที่ดังในไทยและขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในรถที่คุมยากมากถึงมากที่สุดก็คือ TL1000R
ใครขี่เจ้าตัวนี้บอกได้เลยว่า คงต้องคุมรถเก่งพอสมควร หรือไม่ก็ต้อง เป็นคนบ้าขนานแท้
ส่วนรุ่นน้องตัวเล็กซึ่งได้รับคำชมเป็นที่กล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในรถที่ดีที่สุดคันหนึ่งของ Suzuki เพราะการควบคุมที่ดี น้ำหนักที่เบาและเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์ที่ดี
นั่นคือ Model ตระกูล SV 650 ของ Suzuki นั่นเอง
และนั่นคือบรรพบุรุษที่เป็นตำนานของเจ้า Suzki SV650A ครับ
สายพันธุ์ SV นั้น สิ้นสุดในปี 2012 และมีสายพันธุ์ SFV Gladius ขึ้นมาเหมือนจะเป็นตัวแทน ( แต่จริงๆแล้ว ก็คนละสายพันธุ์ )
แต่หลังจากหายหน้าหายตาไป 4 ปี
ในที่สุดก็กลับมาอีกครั้งใน รหัส SV650A ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนจาก SV Naked ตัวเดิมค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว
เอาละ เวิ่นเว้อมานาน
ออกเดินทางไปกับเจ้า SV ใหม่กันครับ
เดินทางออกจาก กทม พร้อมกับเพื่อนรุ่นพี่ SFV650 Gladius
เอาจริง บอกตรงว่า ไม่มีปลายทางในใจซักเท่าไร
แค่ปักธงไว้ว่าน่าจะแถวๆ “ปากช่อง” เนี่ยแหล่ะ
เราก็เลยมุ่งน่าตรงมา “ปากช่อง” เลย
ว่าแต่จะถึง ปากช่อง อยู่แล้ว ฝนก็เทลงมาห่าใหญ่ให้ได้เปียกปอนกันเล่น
ฮ่วยยยยย!!!!
ได้เวลาอาหารกลางวันพอดี
ก๋วยเตี๋ยวหน้าสถานีรถไฟปากช่อง
ก๋วยเตี๋ยวที่บรรยากาศร้านเก่าๆ รสชาติก็อร่อยดี
เส้นหมี่ที่เหนียวนุ่ม
รสชาติของน้ำซุปก็ใช้ได้
เดินทางกันต่อ
เราตามหาที่พักบนเส้นทางสาย ปากช่อง – ชัยบาดาล
แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหาที่พักที่ถูกใจไม่ได้
แต่อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้ฟิลลิ่งของรถเพิ่มขึ้นอีกนิดนึง เพราะมีทางโค้งให้เล่นบ้าง
เราตัดสินใจวิ่งออกจาก อ. ปากช่อง หันหัววิ่งไปทางลำตะคอง
หลังจากสุดเขตลำตะคองนั้น จะมี U-Turn ซึ่งเป็นเนิน ให้เลี้ยวขวาไปจะเป็นทางขึ้นเขายายเที่ยง ( ถ้างง ถามคนแถวนั้นเอาได้ )
และด้านบน ( ที่เป็นสี่เหลี่ยม )จะเป็นอ่างเก็บน้ำลำตะคองและเหล่ารีสอร์ทจะกระจายอยู่ทั่วๆไปใกล้ๆกับอ่างเก็บน้ำครับ
จากนั้นเส้นทางก็จะเริ่มไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ ครับ
ฟ้าฝนในวันแรกไม่ค่อยจะเป็นใจซักเท่าไร
แต่ก็เอาเถอะ สุดท้ายเราก็หาที่พักที่ถูกใจจนได้ในสภาพที่เปียกปอน
เป็นที่พักริมหุบเขา นามว่า “ภูเพียงฟ้า”
ผมนอนบ้านรวม 5 คน หลังละ 1,500 บาท
คิดต่อคนก็ตกคนละ 300 บาทครับ
ป.ล. หลังที่ติดริมเขานอนได้ 2 คน ราคาประมาณ 1,200 บาทครับ
ยามค่ำคืน ที่รีสอร์ทไม่มีอะไรให้ทาน
ออกมาทานร้านอาหารข้างๆ นามว่า “บ้านไร่ ปลายเนิน” ฮะ
วิวดี บรรยากาศชิล คนน้อย มองเห็นดาวบนดินด้านล่างด้วย อาหารรสชาติใช้ได้ครับ
ตื่นมาหน้าบ้านบรรยากาศแบบนี้
อันที่จริงคาดหวังบรรยากาศหมอกๆนะเนี่ย
ลุงบอก หมอกลงทุกวันมาสองอาทิตย์
ผมมา แดดออกซะงั้น
เทียบกับราคาที่จ่ายไป
ถือว่า คุ้มค่าเอามากๆ
จิบกาแฟยามเช้า ชมวิวพานอรามา อากาศเย็นเล็กน้อย
อา.. แค่นี้ถือว่าฟินเล็กๆ แล้วครับ
ยามเช้า ออกไปหากิจกรรมทำกันครับ
เขายายเที่ยง มีกิจกรรมให้ทำหลายอย่างเลย
เริ่มแรกไปอ่างเก็บน้ำโรงไฟฟ้าลำตะคองก่อน
ป.ล. แนะนำนิดนึง ถ้าให้ดี ยามเช้า เราควรดื่มด่ำบรรยากาศที่รีสอร์ท ส่วนยามเย็นก็มาดื่มด่ำบรรยากาศพระอาทิตย์ตกที่นี่ฮะ
แต่ที่ผมไป เย็นวันเสาร์ฝนตก ก็เลยหมดสิทธิ์นั้น
เบสิคขั้นพื้นฐาน ชมกังหันลมก่อน
แล้วก็ชมวิว
ด้วยการขี่จักรยาน
เรื่องเกรียน ยกล้อในที่สาธารณะนี่ขอให้บอก…
ศอกเช็ดพื้นบนยอดเมฆ คือ เรื่องถนัด
ภูเขาไฟฟูจิ สิ่งที่ไม่ควรพลาด
อีกสิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้สำหรับอ่างเก็บน้ำโรงไฟฟ้าลำตะคองคือ
“ร้านขายอาหาร”
มีให้เลือกหลายร้าน ไม่ว่าจะเป็นปิ้ง ย่าง ส้มตำ เห็ดยำ
เอาตรงๆ
โคตรถูก แถมอร่อยด้วยนะ
อย่างไก่ทอด นี่ไม้ละ 10 บาท เนื้อๆ เน้นๆ กัดไปนี่รสชาติน้องๆ KFC เลยหล่ะ แต่ถูกกว่า 5 เท่า
ยำเห็ด ( อะไรหว่า ) เห็ดค่อนข้างสดและอร่อยดีนะ
สักรูปก่อนลาจากอ่างเก็บน้ำ
และออกเดินทางต่อลึกเข้าไปบนเขายายเที่ยง
ออกเดินทางลึกเข้าไปในเขายายเที่ยงเรื่อยๆ
น่าแปลกใจที่มีชุมชนมุสลิมอยู่บนเขาด้วย
สุดท้าย ถนนลาดยางก็หมด เข้าสู่โหมดถนนลูกรัง
เราขี่แบบไม่รู้ว่าปลายทางมีอะไร ( เพราะไม่ได้หาข้อมูลมาก่อน )
ไม่คิดไม่ฝันว่า วิ่งเข้ามาทางลูกรังเปลี่ยวๆ สัก 3 กิโลเมตรได้กระมัง ก็กะว่า เดี๋ยวต้องเลี้ยวกลับแล้วหล่ะ
แต่ดันมาเจอ “มาดูดาว” รีสอร์ทเสียก่อน ( แบบงงๆ )
เลยขอลองเข้าไปยลดูหน่อย และจะเลี้ยวกลับ แล้วหล่ะ
เขาว่าเป็นจุดสูงสุดของเขายายเที่ยง…
ข้างในเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟและที่พัก
บรรยากาศวิวพานอรามาขนาดนี้ หากมานั่งดินเนอร์ยามเย็นคงจะฟินใช้ได้เลย
ลองสั่งอาหารมากิน ราคาพูดได้ว่าค่อนข้างแพง
แต่รสชาติอาหารทำให้แปลกใจ
จัดจ้านและอร่อยเลยทีเดียว
ตอนแรกคิดว่า น่าจะรสชาติกลางๆ พอกินได้ เน้นวิวเป็นหลักเสียอีก
เอ้า เอาไป 4 เต็ม 5 กะโหลกเลยจ้า
ป.ล. เมนูที่สั่ง ทอดมัน ผัดฉ่า ต้มยำ จ้า
ส่วนกาแฟน่ะหรอ
ราคาสูงเช่นกัน
แต่ขอบอกว่าสอบตก ไม่คุ้มราคา 5555
ป.ล. ยุคนี้แล้ว ข้อมูลมากมาย สื่อกว้างไกล อะไรดีก็ต้องบอกว่าดี อะไรแย่ก็ขอบอกตรงๆ ถ้าพูดโกหกเดี๋ยวก็โดนจับได้อยู่ดี
รีวิวรถก็เช่นกัน
เอาหล่ะ สุดท้ายก็กลับ กทม โดยวิ่งผ่านเขาใหญ่เพื่อค้นหาฟีลลิ่งรถเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยครับ
แต่ก็ไม่ได้ใช้ความเร็วมากนัก ไปเพื่อจับฟิลลิ่งรถเสียมากกว่า อีกอย่างบางช่วงฝนก็ตกด้วยครับ
หลังจากนั้นก็กลับ กทม เป็นอันจบทริปครับ
สรุปสำหรับเขายายเที่ยง
ที่พักผ่อนใกล้กรุง ราคาไม่โหดหินอย่างที่ดังๆยอดนิยมทั้งหลาย มีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย ฤดูหนาวเหมาะมากที่จะพาเพื่อนฝูง ครอบครัวไปพักผ่อน
เอาหล่ะ เที่ยวจบแล้ว มาเข้าเรื่องรถกันบ้าง
เริ่มกันที่ SV650A กันก่อนครับ
รูปทรงและสรีระศาสตร์
“เล็ก เพรียว เรียว บาง” น่าจะเป็นคำอธิบายในเชิงรูปทรงได้ดีสำหรับเจ้า SV650A คันนี้
เนื่องจากเครื่องยนต์ V-Twin นั้นมีความกว้างของเครื่องยนต์ไม่ต่างจากเครื่องยนต์สูบเดียวเลย ทำให้สามารถดีไซน์รถที่มีมิติแคบๆ ได้
ทำให้ SV เป็นรถที่ดูค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับ cc ( ซึ่งก็ไม่รู้คนไทยชอบไหมนะ รถเล็กๆ เนี่ย ส่วนตัวผมชอบแบบเล็กๆ เพราะมันมีผลถึงความคล่องตัวในการใช้งานและควบคุม )
ส่วนในด้านความสวยงามและรูปทรงในมุมของผมถือว่า เอาความโมเดิร์นมารวมกับความคลาสสิคของไฟกลมได้แบบพอดิบพอดีเอามากๆ ถ้าจะมีคำไหนนิยามภาพลักษณ์เจ้า SV ได้ก็คงจะเป็นคำว่า “ร่วมสมัย” เป็นแน่แท้
มีเพียงสองอย่างที่รู้สึกขัดกับความร่วมสมัยในมโนความคิดของผมคือ หม้อน้ำที่ออกจะดูใหญ่เกินตัวรถและดูขัดหูขัดตาสักเล็กน้อยและเรือนไมล์ที่เป็นดิจิตอลทั้งหมด ซึ่งมันทันสมัยไปหน่อย 5555 ถ้าเป็นเข็มกวาดแบบรุ่นพี่ Gladius คงให้อารมณ์ร่วมสมัยได้ดีไม่น้อย
เอาหล่ะ นั่นก็เป็นความเห็นส่วนตัวและเป็นเรื่องของปัจเจกนะครับ
มาดูที่สรีระศาสตร์
“กระชับ” เป็นคำอธิบายในเชิงสรีระศาสตร์ของเจ้า SV เบาะ ถังน้ำมัน เฟรม ให้ความรู้สึกว่า เล็ก และ กระชับมาก ท่วงท่าในการนั่งให้
ความรู้สึกกลางๆ ไม่สบายมาก เข้าใจว่ามุ่งเน้นความคล่องตัวในการควบคุมเสียมากกว่า
มาที่เรือนไมล์กันหน่อย
อย่างที่บอก มันดูโมเดิร์นและดูไม่ค่อยร่วมสมัยเท่าไร แต่ข้อดีของมันก็เยอะมากพอจะลบล้างในข้อนั้นได้
หลักๆเลยก็เป็นการแสดงผลข้อมูลที่มีประโยชน์ได้เยอะะะะะะะมาก ไม่ว่าจะเป็นไฟบอกเกียร์ ( อันนี้บอกเลย ว่าชอบมว๊ากกกกกก ) อัตราการกินน้ำมัน แถมระยะที่วิ่งได้ก็มีด้วยนะ ( ว้าวเลยหล่ะ )
วัดรอบนั้นก็ดูง่ายและยังมี indicator ชี้ย่านกำลังให้ชัดเจนมากๆ
ด้วยข้อมูลที่แสดงผลจากเรือนไมล์ชุดนี้ ส่งผลให้เราสามารถขับขี่รถโดยใช้เกียร์ รอบ ได้แม่นยำขึ้นมาก ซึ่งนับเป็นองค์ประกอบสำคัญเลยในการใช้งานสมรรถนะของรถที่มีอยู่ให้ได้เต็มประสิทธิภาพ
ข้อดีอีกข้อหนึ่งคือ เรือนไมล์แบบดิจิตอลนั้นน่าจะมีน้ำหนักเบากว่าแบบเข็มอยู่พอสมควร ส่งผลให้เจ้า SV นั้นเป็นรถที่มีน้ำหนักเบาอย่างที่เห็น
ป.ล. เรือนไมล์ตัวนี้แอบเคยเห็นใน GSX-S1000 ทั้งตัว Naked และ Fairing เลย
V-Twin Soul
ถ้าพูดถึงเรื่องเครื่องยนต์ สิ่งนี้คงจะเป็น “พระเอก” ของรถคันนี้
กับเครื่องยนต์ V-Twin 90 องศา 645CC DOHC 8 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ด้วยการปรับใหม่กี่ชิ้นส่วนก็ไม่รู้ แต่รับรู้ได้ทันที่ที่บิดออกไปว่า “ต่าง” กับ V-Twin Generation ก่อนหน้าทั้งใน V-Strom และ Gladius อย่างชัดเจน
เรี่ยวแรงนั้นเพิ่มเติมจาก V-Strom และ Gladius นับคร่าวๆ ก็ 10 และ 5 แรงม้าตามลำดับ แต่สิ่งที่บอกว่า “ต่าง” คือ อารมณ์ของเครื่องยนต์ทีส่งผ่านออกมา โดยความรู้สึกที่รับรู้ได้จากการส่งผ่านกำลังผ่านปลายท่อสามเหลี่ยมทรงยาวบอกได้ว่า อัตราเร่งนั้น “ลื่น” มาก สุ้มเสียงเองก็ “ดุดัน” ขึ้นเล็กน้อย ชุดเกียร์เองก็ทำงานได้ไม่มีผิดพลาด เข้าได้ลื่นและเร็วอย่างที่มันควรจะเป็นในรถ Naked ระดับนี้ กำลังทอร์คที่ส่งออกมาจากเครื่องยนต์ลูกนี้รับรู้ได้ว่า ราบเรียบ หากดูกราฟทอร์คคิดว่า รูปทรงคงมีลักษณะเป็น Flat torque เริ่มตั้งแต่ 4,500 – 9,500 เลยทีเดียว ซึ่งคุณลักษณะนี้ทำให้คาดเดากำลังได้ง่ายและเป็นมิตรกับมือใหม่ แต่ถึงจะใช้ง่ายอย่างไร ก็ยังแอบมีความดิบๆ ระคนอยู่บ้างเล็กๆ พอให้ไม่น่าเบื่อจนเกินไป
อัตราเร่งและความเร็วที่ส่งผ่านออกมาจากเครื่องยนต์ลูกนี้ ถ้าถามความพอใจ ให้ไป 9 เต็ม 10 เลยละกัน มันสามารถใช้งานในเมือง เดินทางไกล หรือขี่เล่นใกล้ๆ ได้แทบไม่มีที่ติ
อัตราการกินน้ำมันเองก็ดีขึ้นชัดเจนจาก Model เก่า ซึ่งตัวผมเองทำได้ประมาณ 22 กม/ลิตร ที่ความเร็วปนๆกันไปตั้งแต่ 80-180 กม / ชม ถือว่า ไม่เลวเลยทีเดียว
ในบทสรุปของเครื่องยนต์ลูกนี้ คงต้องบอกว่า เป็นเครื่องยนต์ที่มีคาแร็คเตอร์เป็นของตัวเองชัดเจน สุ้มเสียงฟังดูดุดันมีความเป็นมิตร 90% และความดิบระคนปนไปในสัดส่วนสัก 10% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ยอดเยี่ยมในความคิดผม
และที่ในที่สุด มันคือเครื่องยนต์ที่ผมประทับใจที่สุดใน class 650 หรือเพราะผมเป็นแฟนเครื่องยนต์ V-Twin อยู่แล้วก็ไม่รู้สินะ !!!!
แฮนด์ลิ่ง
“กระชับ หนักแน่น พริ้วไหว” เป็นคำอธิบายของแฮนด์ลิ่งของเจ้า SV
ด้วยช่วงล่างที่ปรับใหม่ แน่น และหนึบขึ้นมากกว่า Gladius แต่ต้องบอกว่ากำลัง “พอดี” ไม่แน่นจนแข็งไร้ฟีลลิ่งเหมือนคู่เปรียบ ประกอบกับน้ำหนักที่น้อยกว่า 200 กิโลกรัม ( 197 กิโลกรัม) ซึ่งเบาเป็นลำดับต้นๆ ของคลาส 650 ด้วยเหตุผลที่กล่าวข้างต้น ส่งผลให้เจ้า SV มีแฮนด์ลิ่งที่“กระชับ หนักแน่น พริ้วไหว” ดังที่กล่าวข้างต้น
มีข้อสังเกตุนิดนึงเกี่ยวกับแฮนด์ลิ่ง อาจจะรู้สึกหวิวๆ บ้าง เวลาเข้าโค้งความเร็วสูงๆ ระดับเกิน 140 ขึ้นไป แต่ก็เป็นปกติของรถ Naked ที่จะให้ความสำคัญกับความคล่องตัวในความเร็วต่ำถึงปานกลางมากกว่าฟีลลิ่งการเข้าโค้งในความเร็วสูง
ในส่วนของระบบเบรกของเจ้า SV นั้นต้องบอกว่า ดี ในระดับที่น่าพอใจ แต่ไม่ได้เลอเลิศอะไรนักถ้าเทียบกับค่ายยุโรปที่ใช้อุปกรณ์แบรนด์แนมชื่อดัง ( ก็แน่ละ ราคาต่างกันมาก )
แฮนด์เดิ้ลบาร์ซึ่งปรับสูงขึ้นจาก SV รุ่นดั้งเดิม ทำให้การควบคุมนั้นน่าจะง่ายขึ้น การเข้าโค้งแทบไม่ต้องใช้แรงอะไรมากมายนัก
จากที่ร่ายมาทั้งหมดทั้งมวล จากสมองน้อยๆ ของผมและประสบการณ์ที่เคยได้ขับขี่รถ 650 มาทั้งหมด ( ยังไม่นับ MT-07 เพราะไม่เคยขี่และ CC มากกว่า 650cc ) เจ้า SV เป็นรถที่มีแฮนด์ลิ่งดีเป็นลำดับต้นของ Naked 650cc ราคาต่ำกว่า 300,000 บาทไทยในขณะนี้
บทสรุป
การกลับมาอีกครั้งของ SV ที่ถูกปรับใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิม มีกลิ่นไอของความเรโทรรวมถึงความโมเดิร์นผสมกันในสูตรที่ลงตัว ผสานกับจิตวิญญาณแห่งเครื่องยนต์ V-Twin ที่การส่งถ่ายกำลังและสุ้มเสียงมีเอกลักษณ์ชัดเจนในตัวเอง พ่วงท้ายด้วยการลดความอ้วนและน้ำหนักลงจนหุ่นผอมร่างเพรียวปราดเปรียวและคล่องแคล่ว
ด้วยคุณลักษณะทั้งหมดที่ว่ามา หากใครต้องตาต้องใจรถ Modern Retro Naked ที่มีสมรรถนะที่จัดจ้าน ขี่สนุกสนานและคล่องตัว ในราคาไม่เกิน 300,000 บาท ( 289,000 บาท สำหรับราคาของเจ้า SV650A )
ขอบอกว่า SV650A มาวินเป็นอันดับหนึ่งแน่นอนครับ
หากจะให้แจงความดี ความชอบ อีกครั้งก็จัดให้ได้ดังนี้ครับ
ข้อดี
– เครื่องยนต์มีเอกลักษณ์ ขี่สนุก ใช้งานง่าย แต่แอบดื้อนิดๆให้ตื่นเต้น
– รูปทรงดูลงตัว
– ช่วงล่าง แน่น หนึบ กำลังดี
– เสียงท่อดุดันขึ้นพอสมควร
– คล่อง เบา พริ้วไหวดั่งสายน้ำ
– เรือนไมล์ฟังก์ชั่นครบครัน
ข้อเสีย/ข้อสังเกตุ
– เบาะแข็งไปนิด
– เรือนไมล์ดูไม่ Retro
– อยากให้เบรกดีกว่านี้อีกนิด
– รูปทรงหม้อน้ำ
มาปิดท้ายด้วยรุ่นพี่ SFV650 Gladius กันสักนิด
จะบอกว่าตกรุ่นแล้วก็คงไม่ใช่ เพราะเหมือนเป็นรถคนละสายพันธุ์กัน
จะรีวิวละเอียดก็คิดว่าคงผ่านหูผ่านตากันมาพอสมควรแล้ว
แต่จะไม่กล่าวถึงเลยก็กระไรอยู่
สำหรับเจ้า Gladius นี่ ในมุมของผม มันยังเป็น Best Looking Middle Weight Naked Bike ในสายตาอยู่เสมอ
อาจจะเป็นเพราะผมชอบรถรูปทรงประมาณนี้ก็ได้นะ ( ยกเว้นไฟท้าย ) 5555
ยิ่งมาในโทนสีขรึมๆ ยิ่งรู้สึกว่าดูดีขึ้นไปอีก
ด้วยสุ้มเสียง และ คาแร็คเตอร์ที่ออกแนวนุ่มๆ กว่า SV
ก็ขอบอกว่า มันเป็นอีกอารมณ์หนึ่งของการรถ Naked V-Twin ที่หน้าตาดูค่อนข้าง Modern
และผมกลับชอบความรู้สึกที่ส่งผ่านเครื่องและท่อของ Gladius มากกว่านิดๆ ( มันเงียบดี )
และในด้านสรีระศาสตร์ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ Gladius ทำได้ค่อนข้างดี ในการเดินทางไกลนั้นให้ความรู้สึกว่านั่งได้สบายทั้งคนขี่และคนซ้อน
ทำให้ผมก็แอบชอบตรงจุดนี้ของเจ้า Gladius อีกเช่นกัน
แต่ก็นั่นแหละฮะ ความชอบมันเป็นปัจเจก ลางเนื้อชอบลางยา
ถ้าให้ซื้อจริงๆ ระหว่าง 2 คันนี้ก็ออกแนวตัดสินใจยากนิดนึง ( ฮา )
ปิดท้าย
ฤดูฝนใกล้จะจากไป ฤดูหนาวก็เริ่มใกล้เข้ามา นักขี่รถอย่างพวกเราก็ได้เวลาออกลั๊ลลา ( เอ เราก็ออกทุกฤดูอยู่แล้วนะ แห่ะๆ )
ขอให้ขับขี่กันอย่างมีสติ ไม่คึกคะนอง จะได้มีชีวิตขี่ต่อกันไปนานๆ นะครับ
ขอบคุณที่อ่านจนถึงบรรทัดนี้ครับ ^^
+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+
บทความโดย เตี้ย ล่ำ ดำ แก่
Linkต้นฉบับ http://pantip.com/topic/35695837