“ผู้ใดที่ไม่ออกเดินทาง ผู้นั้นจะไม่สูญเสียอะไร แต่ก็นั่นแหละ.. เค้าก็จะไม่ได้อะไรเลยเช่นกัน”
เเค่วางแผนทริปก็รู้สึกตื่นเต้น เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่จะต้องการเดินทาง ยิ่งใกล้วันยิ่งมีอาการแปลกๆ
กังวลหลายอย่างเรื่องความปลอดภัย ความสะดวกราบรื่น ฟ้าฝน ลมอ่อน โซ่หย่อน ปะเก็นซึม บลาๆ
สรุปอย่างง่ายๆเลย คือ แก่เเล้วนั่นเอง
ทริปนี้เนื่องด้วยคนซ้อน คนจ่ายตัง สปอนเซอร์ อยากไปพักผ่อนในวันหยุดยาวที่อุทยานซักที่
เราก็เเนะนำไปว่า วันหยุดยาว คนเยอะ
เเต่เดี๋ยวจะหาที่เงียบๆสงบๆให้ละกัน
เคาะออกมาเป็น อุทยานแห่งชาติ รามคำแหง…เขาหลวงสุโขทัยนั่นเอง
เเต่ที่นี่เราไม่ได้ไปเป็นครั้งเเรก มีอดีตที่คาใจกับที่นี่….
เขาหลวงมีความคล้ายกับที่ภูกระดึงที่เป็นสถานที่ เดินพอเหนื่อย และมีอาหารอันโอชะอยู่ปลายทาง
เเต่เขาหลวงมีแต่มาม่าและปลาป๋อง….ซึ่งเราทั้งสอง กินไม่ค่อยอิ่ม 555
ทริปนี้เลยเป็นทริปแก้มือเรื่องอาหารโดยเฉพาะเลย จัดเต็มทั้ง ชุดหม้อ เตาแก้สน้อย เเละวัตถุดิบอาหาร
บอกเลยเเบกหลังแอ่นก็ยอม
ออกเดินทางกันเถอะ!!!!
การออกเดินทางในวันหยุดยาวเเต่ให้เค้าไปกันหมดเเล้ว นี่มันคือสวรรค์ชัดๆ
เย็นวันอาทิตย์ที่ 14 ก.ค.เราออกเดินทางจากกทม. มุ่งหน้า จ.กำแพงเพชร ระยะทาง เกือบ 400 กม.
ที่พักครึ่งทางของการเดินทางไปเหนือทุกครั้ง
เช้าวันที่ 15 จะได้ไม่ต้องรีบตื่นเดินทางไปสุโขทัยเพราะจากกำแพงขี่รถไปไม่เกิน 60 นาที
ที่พักในเมืองกำแพงราคาย่อมเยามาก เเพงกว่ากินหมูทะไม่กี่บาท ผมนอนนี่ทุกครั้งบอกเลย มีเเมวให้เล่นด้วย
10 โมงล้อหมุน จากกำแพง มาถึงอุทยานรามคำแหงเที่ยงๆเราก็มาถึง
พร้อมจัดเเจงทุกอย่างย้ายของจากกระเป๋า Equinox ลงเป้หลังของทั้งคู่
ผมรับผิดชอบ 17 โล ส่วนแฟนผมเอาไปเบาๆ 15 โล อิอิ
#พี่ลูกหาบบอกเอาเบอร์พี่ไปไหมเผื่อร่วง
#พี่อีกคน : ไอ้นี่มัน…ทรมานเมียเก่งดีจัง : )
สรุปค่าใช้จ่ายก่อนเลยเดี๋ยวลืม
ระยะทางจากบ้านไปกลับ 950 กม.
ค่าน้ำมันรถ CB500X ไปกลับ 800 บาท
ค่าที่พักที่กำแพง 300
ค่าเข้าอุทยาน คน + รถ 100 บาท
ค่ากางเต๊นท์ 30 บาท / คืน
โค้ก 3 ป๋อง 105 ขาไก่ถุง 30
อาหารจัดหามาเอง ซื้อมา 500 บาท
เต๊นท์ อุปกรณ์ทั้งหมด แบกเอง ก็เสียเท่านี้เเหละครับ +500 ค่ากาแฟ 555
บ่าย 1 เริ่มก้าวเดิน ด้วยความที่เคยมาเเล้ว 1 ครั้ง จึงไม่มีความกังวลใดๆ
เส้นทางที่ชันก็ชัน “ชิกหาย”เหมือนเดิม
เขาหลวงสุโขทัย นี้ 99.99 % เดินขึ้นอย่างเดียว
ฉะนั้นการก้มหน้าคุยกับพื้นดิน ไปเรื่อยๆคือสิ่งที่ควรทำมากที่สุด
เเต่ละจุดพักจะมีประปาภูเขา มีน้ำให้ดื่มกินล้างหน้าตาได้ ไม่ต้องพกน้ำเยอะจนเกินไป พกกระบอกน้ำไปก็พอ
เเต่หลังจากผ่าน 2/3 ทาง จะไม่มีน้ำเเล้ว สำรองน้ำดื่มให้ดีครับ
ผ่านจุดชมวิวนี้ก็ผ่านมา 1/2 ทางเเล้ว
ผ่านต้นไทรยิ่งใกล้เต็มที
แผนผังก็ประมาณนี้ เเต่ละจุดห่างกัน 200 เมตร 300 เมตร บอกเลย ลบภาพการเดินเท้าทางราบไปได้เลย หึหึ
เดินกันต่อไป
3 ชั่วโมง 40 นาที ผ่านไป ก็ถึงจุดหมายปลายทางโดยที่ไม่กรีดร้องฟูมฟายมากนัก
จัดเเจงเรื่อง ที่นอน อาบน้ำเย็นๆ (บอกเลยห้องน้ำที่นี่น้ำเย็นสดชื่นมาก)
ช่วงเย็น เป้าหมายของที่นี่คือการดูพระอาทิตย์ตกดินที่ ผาเเม่ย่า จุดชมพระอาทิตย์ตก (ซึ่งเราไม่ไปจ้า)
ไม่ใช่ขี้เกียจนะ ทริปนี้เราจะนอนบนนี้สองคืน เรื่อยเปื่อย ฟินๆ ทำกับข้าวเพลินๆ ไม่ต้องรีบร้อน
อยู่กับเเบบออฟไลน์ จะได้ออนไลน์บ้างนานๆทีมี 3G ลอยตามลมมา (คลื่นมือถือไม่ค่อยมีครับ)
เช้าวันที่สอง
บนเขาหลวง
น่าจะมีมนุษย์เเปลงร่างเป็นหมีเเพนด้าตาดำเดินกันทั่วเขาหลวงเพราะ
เมื่อคืนลมกรรโชกทั้งคืนฟาดเต้นดังป้าบๆ เเบบกว่าจะเงียบตีสามตีสี่
เเละ !!! เมื่อมีลมหมอกก็จะหงอย
จุดชมวิวยามเช้าของเขาหลวงก็คือ ผานารายณ์ เดินไปจากที่พัก ในระยะทางที่ใกล้ที่สุด 10 นาทีก็ถึงละ
บอกเลยใสกิ๊งๆ
เขาหลวงสุโขทัย
การท่องเที่ยวบนเขาหลวงมีที่ให้เดินเที่ยวชมธรรมชาติหลายจุด
ให้เริ่มต้นจากหลังร้านค้าดีที่สุด
ระยะทางรวมๆก็ 4 โลกว่าๆ / รอบ มีนักวิ่งมาซ้อมกันพอควร
4 โลกว่าๆนี่บอกเลย เอาเรื่อง
เเต่จะจุดจะเป็นการเดินลงเขาเเละไต่ขึ้นยอดเขา … น่องตึง วนลูปไป
จาก ที่พักเเรม > ยอดพระเเม่ย่า 1000 เมตร เดินไต่กันยาวๆๆๆๆ มีทางลงบ้างนิดหน่อย
ที่นี่ไม่เเวะอะไร เพราะตอนเย็นเดี๋ยวมาใหม่
ยอดพระเเม่ย่าดิ่งลงหนักๆ มุดป่า โผล่ สามเเยก > ภูกา 1300 เมตร ++ เส้นทางนี้ก็จะเดินค่อนข้างสบายเดินไปตามไหล่เขา
แต่จากภูกาจะไม่สามารถเดินไหนต่อได้ต้องวนกลับมาทางเดิม
ภูกา มา สามเเยก > ยอดเจดีย์ ไต่กันเบาๆ พอให้น่องตึง อีก 1500 เมตร
เจดีย์ ดิ่งลงหนักๆอีกรอบ เเค่ 350 เมตรจะถึงค่ายพักเเรม ใครเดินสวนทางมาบอกเลยขี้เเตก
ป่าดูไปดูมาหน้าตามมันก็คล้ายๆกัน ป่าบดบังนี่ ไม่ใช่ใครบดบังเรา เรามึนเอง
ทัวร์รอบเขาหลวง ใช้เวลาไป 2 ชม. กว่า เเต่เหมือนเผาพลังงานไปแปดแสนเเคลลอรี่
กลับมาถึงเต๊นท์ได้ นี่ก็ต้องกินชดเชย เดี๋ยวเย็นไม่มีเเรงเดินไปดูพระอาทิตย์ตก
กินเสร็จ นอนซักงีบ งีบนานมาก เพราะอากาศดีสุดๆ ไม่ร้อนไม่หนาว
ลมพัดเบาเบา เสียงคนก็ไม่ดังมาก ล่อไปเกือบ 2 ชม.
ขยี้ตาสองทีพร้อมงอเเงอยากนอนต่อ เเต่ได้ยินเสียงคนเดินไปดูพระอาทิตย์ตกเราก็ช้าไม่ได้
เพราะเส้นทางที่ไปดูพระอาทิตย์ตกราวๆ 1 กม. เดินอ้อยสร้อยไปก็ 20 นาทีเเล้ว
หกโมงนิดๆก็ได้เวลาเดินออกไป
ช่วงที่ไป Sunset 18.55 น. บางทีก็สงสัยทำไมไม่รีบตก พระจันทร์มารอตั้งเเต่ 4 โมง
เเสงความงามยามพระอาทิตย์ตกดินที่เหมือนเเยมโรลลายเสือ…
มีคนหาญกล้าไปดูพระอาทิตย์ตกที่ภูกา ซึ่งขากลับถึงที่พัก เดินอย่างเร็วก็น่าจะ 40 นาทีผ่านป่ามืดๆ ….
เอ๊ะ หรือ ไม่ใช่ …
ช่วงกลางคืนวันเข้าพรรษา ฟ้าใสขนาดพระจันทร์สว่างจนไม่ต้องใช้ไฟฉายเดินไปมา
ไข่ดาวกะเพรา คลุกเคล้าแสงจันทร์ ปิดท้ายคืนอันเหนื่อยล้า
เมื่อคืน ลมไม่เเรง อากาศค่อนข้างดี นอนหลับเต็มอิ่ม
หวังว่าจะมีหมอกซักที
เเต่ก็ไม่
… ใจร้าย
จะให้มาอีกใช่มั้ย
กลับก็ได้ ไม่ใช่สิ ยังไงก็ต้องกลับ กลับไปทำมาหากินสบายๆ ไม่ต้องมาเดินเหนื่อยอยู่บนเขาเเบบนี้
เข้าตำรา #อยากสบายให้ทำงาน #อยากลำบากให้ออกเที่ยว
ขาลงใช้เวลาไป 2 ชม.กว่าๆ เราไม่รีบเดิน เพราะเเบกของหนัก
ขาลงจะกินเเรงกล้ามเนื้อขามาก ลงเร็วไปอาจจะบาดเจ็บกันได้
ขณะพัก ลูกหาบเทพเดินเเบกของตัวปลิว ด้วยเท้าเปล่า เเละ เสื้อผ้าที่ไม่น่าจะเห็นในการเดินป่า
ถ้าเป็นภาษานักวิ่งก็จะประมาณว่า เทพเเบบนี้ใส่อะไรวิ่งก็ได้
ถึงซักที เหนื่อยโฮกๆ
พระเทพก็เคยมานะ
อาบน้ำเสร็จเก็บของขึ้นรถ ขี่รวดเดียวชิลด์เเบบรถขนหมูเเซง สุโขทัย-กทม. ถึง บ้าน 3 ทุ่ม ..
จบทริปที่รวมสิ่งที่ชอบไว้ในคราวเดียวกัน การเดินป่า การออกกำลังกาย การถ่ายภาพ เเละ การขี่รถมอเตอร์ไซค์
ทำไงได้ไหนๆก็ออกมาเเล้ว เวลามันมีน้อย
Just Walk, Just Run, Just Ride it