Full Review : Suzuki GSX-S 750 ตอน..คนบ้ารถไฟ..ฝ่าฤดูร้อน..นอนตามราง..ทางรถไฟสายลับแล
สวัสดีครับ
คุณเคยเป็นคนบ้าอะไรบางอย่างไหม..
หากมีชีวิตมาถึงกลางคน ผมเชื่อว่าอย่างน้อยคน(เกือบ)ทุกคน น่าจะต้องผ่านความบ้าอะไรบางอย่างมา บ้างแล้วหล่ะ
ผมเองก็เช่นกัน
บ้ามอไซค์ บ้าท่องเที่ยว บ้ากล้อง และท้ายที่สุด
บ้ารถไฟ…
ในความบ้าที่ว่านี้.. ไม่ได้หมายความว่า เราเก่งหรือรอบรู้ในศาสตร์นั้นมากกว่าคนอื่น แต่อย่างใด..
หากแต่ในความหมายของผม มันคือสิ่งที่เราชอบ.. เราสนใจ.. มากกว่าเรื่องอื่นๆที่ผ่านเข้ามาใน ชีวิต..
และให้เวลามันมากกว่า แค่นั้นเอง..
แค่นี้ก็คือความบ้าในแบบฉบับของเราเองแล้ว…
ความบ้ารถไฟของผมเริ่มต้นขึ้น ตั้งแต่สมัยยังจำความไม่ได้..
แม่เล่าว่า เห็นรถไฟคราใด.. จะจ้องมองแบบไม่กระพริบตา
พอเริ่มรู้ความ เจ้ารถไฟนี่ก็เป็นพาหนะที่เราช๊อบ ชอบ อยากนั่ง อยากดู อยากสัมผัส
ชอบทุกอย่างที่เป็นรถไฟ ไม่ว่าจะหัว รถจักร โบกี้ สถานี
หรือแม้กระทั่ง ราง ทางแยก จุดตัด!!!
และจุดประสงค์การเดินทางในคราวนี้
ผมเพียงอยากจะรวบรวมความบ้าทุกๆ อย่างที่มีในตัวให้มาอยู่ด้วยกัน…
ทริปนี้จึงเกิดขึ้นครับ…
และเขาว่า “คนบ้าขี่ซู”
พาหนะจะเป็นยี่ห้ออื่นไปไม่ได้เลย นอกจาก Suzuki
และสายพันธุ์ที่สืบสานตำนานความบ้า มาช้านานของ Suzuki จะเป็นรุ่นไหนไปไม่ได้ มันต้อง GSX เท่านั้น..
หน้าที่ยานพาหนะในครั้งนี้จึงตกเป็น ของน้องใหม่ล่าสุดในสายพันธุ์ GSX นามว่า
GSX-S 750
ออกเดินทางกันเลยครับ…
ป.ล. การถ่ายทำภาพนี้อยู่ในความควบคุมและได้รับอนุญาติจากเจ้าหน้าที่การรถไฟทุกประการแล้ว
ป.ล.2 การหยุดรถมอเตอร์ไซค์ที่ถูกต้อง เท้าขวาต้องวางบนเบรก เท้าซ้ายวางที่พื้น รูปนี้เพียงเพื่อถ่ายรูปเท่านั้นไม่ควรลอกเลียนแบบ
ไอแดดที่แผดเผาท่ามกลางผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนนแห่งเมืองกรุง..
ไม่ว่าจะร้อนแค่ไหน ผมยังคงสัญจรไปไหนมาไหนด้วยรถมอเตอร์ไซค์เหมือนเช่นเคย
บนอานของเจ้า GSX-S750 การใช้ชีวิตในเมืองยากกว่าที่เคย เมื่อเทียบกับการใช้รถแม่บ้านขนาดร้อยกว่า cc
หากแต่มิได้มากมายแต่อย่างใด มันยังคงพากายอวบๆ( ของผม )เลี้ยวลัดเดินทางไปได้ทุกที่ในเมืองกรุงได้อย่างไม่เคอะเขิน
หากจะเลือกมาใช้งานเป็นพาหนะหลัก บอกได้ว่า ทำได้ไม่เลวทีเดียว
ในวัยเด็กมันหมายถึงการปิดเทอมใหญ่
แล้วปิดเทอมใหญ่ผมทำอะไร
นั่งรถไฟไปเที่ยวต่างจังหวัด
คนแก่มักนึกถึงเรื่องเก่าๆ…
เราก็เช่นกัน อยากจะย้อนบรรยากาศกลิ่นไอรถไฟไทย
ประสบการณ์ในวัยเยาว์ .. ( อีกแล้ว )
แต่คราวนี้ขอรวมความบ้าในวัยเยาว์ ( รถไฟ การท่องเที่ยว )
กับความบ้าในวัยดึก ( รถมอไซค์ กล้อง ท่องเที่ยว )
เข้าด้วยกันเลยละกันนะ จะได้จบ ครบรสในทริปเดียว
เป้าหมายของเราในครั้งนี้คือ สำรวจเส้นทางรถไฟสาย “องครักษ์”
ซึ่งเป็นเส้นทางที่แยกมาจากสายตะวันออก ที่ “ชุมทางคลองสิบเก้า” และไปสุดที่ “ชุมทางแก่งคอย”
ซึ่งสาเหตุที่ผมเรียกเส้นทางสายนี้ ว่า “สายลับแล” เพราะว่าไม่มีขบวนรถโดยสารวิ่งผ่าน จึงทำให้มีน้อยคนนักที่ได้สัมผัสเส้นทางสายนี้
จากนั้นเป้าหมายต่อไป เราจะไปเที่ยว “ชุมทางแก่งคอย” ซึ่งเป็นหนึ่งในสอง ชุมทางที่เป็น 4 แยก ( อีกสถานีหนึ่งคือชุมทางหนองปลาดุก )
จากนั้นเราจะไปสัมผัสตำนาน “ผาเสด็จ” ซึ่งเป็นสถานีในหุบเขาดงพญาเย็นกัน
ปิดท้ายด้วยสถานี้ “โคกสลุง” เพื่อชมรถไฟลอยน้ำบนเส้นทางรถไฟสายแก่งคอย – บัวใหญ่ ซึ่งสายนี้มีรถวิ่งไม่มากเหมือนกัน
GSX
หากรถคันใดของ Suzuki มีรหัส GSX แปะอยู่
จงเชื่อในสมรรถนะของมันได้เลยเพราะมันมีดีกรีความสปอร์ตฝังอยู่ใน DNA นับแต่ยุคเริ่มต้น
หากจะนับตามประวัติศาสตร์ของตระกูล GSX
ทุกสิ่งอย่างเริ่มต้นที่ตัว “7 ครึ่ง” หรือ 750cc ของตระกูล GS ( ซึ่งหลักๆ ใช้เครื่องยนต์ส่วนใหญ่เป็น 2 วาล์วระบายความร้อนด้วยอากาศ/น้ำมัน )
ในยุค 80 ต้น มีการแนะนำเครื่องยนต์ที่มีรูปแบบห้องเผาไหม้แบบ TSCC มาพร้อมกับวาล์ว 4 ตัวต่อลูกสูบและใช้ระบบ DOHC เป็นตัวขับเคลื่อนวาล์วและนั่นเป็นภาพชัดๆ ของยุคเริ่มต้นของตระกูล GSX
ซึ่งหากถามว่า GSX ขนาดไหนที่เป็นตำนาน ดั้งเดิมและอยู่มายาวนานที่สุด
ตอบได้เลยว่า GSX 750
หากอยากจะขี่ประวัติศาสตร์ความบ้าของ Suzuki ให้ขี่ “เจ็ดครึ่ง”
โดยเจ้า GSX-S 750 รุ่นเก่าที่เจ้า 7 ครึ่งตัวใหม่นี้มาแทนนั้น เดิมทีก็เป็นรถที่ดี แต่ขาดสมรรถนะและรูปลักษณ์แบบ modern ในหลายๆด้าน
ทาง Suzuki จึงได้ให้กำเนิด 7 ครึ่งตัวใหม่ขึ้นมาทดแทนครับ
แล้วคนหล่ะ
ชายชราวัยกลางคนหน้าตาเหี่ยวย่น
พลังไม่ค่อยมี ต้องเติมกาแฟตลอดเวลา ( บ้ากาแฟด้วย ว่างั้น )
บ้าหอบกล้อง แต่ฝีมือไม่ค่อยมี
บ้ามอไซค์อีกตะหาก
เอาหล่ะ เวิ่นเว้อมามาก ออกโบยบินสักทีเถอะ
ขึ้นคร่อมรถสิ่งที่ต้องสังเกตกันก่อนเลย คือ เรือนไมล์
หน้าตาที่คุ้นเคย ยกมาทั้งดุ้นจากพี่ใหญ่ GSX-S 1000 และ SV650A
ซึ่งผมเคยกล่าวไว้ว่า เป็นชุดเรือนไมล์ที่ครบครันและกระทัดรัดที่สุดเท่าที่เคยขี่รถมา
มีทุกอย่างครบเท่าที่อยากจะเห็นโดยเฉพาะ ไฟบอกเกียร์และระยะทางที่เหลือที่วิ่งได้ก่อนน้ำมันจะหมด
ที่สำคัญวัดรอบตัวนี้แม้จะดูธรรมดาๆ แต่มี indicator บอกย่านกำลังระหว่าง 5,000-10,000 RPM ที่ชัดเจน
เหลือบสายตาเพียงนิดเดียวก็รู้ว่าเราใช้ รอบอยู่ในย่านกำลัง
ระดับ Traction Control มีให้เลือกจาก 1-3 แล้วแต่ว่ามากน้อยเอาตามแต่ท่านสะดวกจะใช้เลย ถนนลื่นมาก ฝนตกก็เปิด TC ระดับสูงๆ ( 3 ) หน่อย
อันที่จริงแม้ชื่อเมนูที่ขึ้นอยู่บน เรือนไมล์จะชื่อ TC แต่จริงๆแล้วถ้าเราปรับ TC การตอบสนองคันเร่งก็จะเปลี่ยนไปด้วย ถ้าเราปิด TC ไปเลยคันเร่งจะโหดสุดถ้าเราเปลี่ยนเป็นระดับ 3 คันเร่งก็จะนุ่มนวลที่สุดและ TC เข้ามาตัดการทำงานมากที่สุด ส่วนผมใช้อยู่ที่ระดับ 1 ซึ่งเหมาะกับการขับขี่ถนนแบบ Sport
การควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆบนแผงเรือนไมล์ ส่วนหนึ่งทำได้จากเจ้าปุ่มเปลี่ยน Mode นี้
ใครจะคิดว่านครนายกนั้นมีรถไฟวิ่งผ่าน ด้วย แต่ไม่สามารถนั่งรถไฟมาได้นะ ( หรือเปล่าหว่า )
มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหล่ะ ที่มานั่งกลางแดดร้อนๆ ยามเที่ยงข้างถนน กลัวรถหลุดโค้งมาชนก็กลัว เพียงเพื่อถ่ายสะพานรถไฟ!!!!
เห็นภูเขาลางๆ ด้านหลังไหมครับ
นั่นแหล่ะ เขาสามหลั่นอันเป็นที่ตั้งสถานที่ที่เราตามหากัน…
ภายใต้บรรยากาศชิลๆแสนเย็นสบาย 37 องศาเซลเซียส
ปอเทืองสีเหลืองสดชูช่อสวยงามริมถนนสาย ฝุ่นเรียบทางรถไฟ
เส้นทางสายนี้กำลังก่อสร้าง “ทางคู่” ที่หลายๆคนรอคอยอยู่ครับ
และเราก็มาถึง “อุโมงค์พระพุทธฉาย” ซึ่งเป็นอุโมงค์ รถไฟที่มีความยาวเป็นอันดับสองของประเทศ รองจากอุโมงค์ขุนตาลอุโมงค์นี้ลอดใต้เขาสามหลั่นมีความยาว 1.197 กิโลเมตรครับ
ในระหว่างที่เรากำลังซึมทราบบรรยากาศอันเย็นสบาย ( ประชด )
เราก็ได้ยินเสียงของบางสิ่งดังมาจาก อุโมงค์พระพุทธฉาย
และแล้วความหวังอีกหนึ่งสิ่งก็เป็นจริง!!!!!
สิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาของเราคือหัวรถ จักร CSR Ziyang ของบริษัท TPI ซึ่งทำขบวนรถสินค้าวิ่งออกมาจากอุโมงค์
ด้วยความที่รถจักรรุ่นนี้มีลวดลายและหน้าตาเหมือนเป็ด มันจึงถูกเรียกว่า “ไอ้เป็ด”
สีสันของมันน่ารัก สุ้มเสียงเครื่องยนต์เงียบและนุ่มนวลมากๆ
พวกเราเต้นโลดโผนดีใจกันใหญ่ ( คนคนงานก่อสร้างแถวนั้นคงคิดว่ามันบ้า )ไม่คิดว่าจะได้สัมผัสเจ้าเป็ด ณ อุโมงค์แห่งนี้
นับเป็นโบนัสฟ้าประทานที่คุ้มค่าแก่การ ฝ่าความร้อนหฤโหดนี้มาก
มาชมตัวรถให้ชื่นใจกันหน่อย
รุปลักษณ์เป็นเรื่องของปัจเจกนะครับ สวยหรือไม่สวยว่ากันไป
สำหรับผมคือกลางๆ นะ ไม่สวยมาก แต่ก็ไม่ขี้เหร่
สำหรับสีนี้เป็นสีพิเศษ คือ สีดำ Dark Phantom ซึ่งจะดูดุดิบขึ้นมานิดหนึ่งจากรุ่นปกติด้วยโทนสีดำด้านในเกือบทุกๆส่วน รวมถึงท่อไอเสียด้วย
ด้านหน้าอาจจะดูธรรมดา แต่ด้านหลังดูดุดันไม่ทิ้งลาย GSX
เป้าหมายต่อไปของเราคือ “ชุมทางสี่แยก” นามว่า “แก่งคอย”
ชีวิตเดินมาถึงจุดหนึ่งมันก็ต้องมีพบ …
เหมือนสายองครักษ์ที่มาบรรจบกับสายอีสาน ณ สถานีแห่งนี้
เผอิญหัวรถจักร GEA ชื่อเล่น “เจ๊เอ” ทำขบวนเข้ามาพอดี
เจ๊เอนี่แกชอบตด ถ้าใครไปยืนใกล้ๆ จะได้ยินเสีย ฟี๊ด ฟี๊ด ฟี๊ด ฟี๊ด ตลอดเวลา
ถึงแม้จะเป็นเจ๊ แต่ว่าหน้าตาเหลี่ยมๆ บึกบึนมาก
คาดว่า เจ๊นี้น่าจะเป็นกระเทยแน่ๆ
หัวใจพี่คอย น้องอยู่ที่แก่ง….
ตรงที่มีแร๊งงง เฝ้าคอย เฝ้าคอย…
ทำไมขบวนของตูไม่มา ซะทีฟะ!!!
แต่น้าต้อมก็เป็นหัวรถจักรรุ่นแรกที่ผมชอบนะ นับตั้งแต่จำความได้ ( ยืนยันว่าน้าแก่จริงๆ )
น้าต้อมนอกจาก จะมีเยอะแล้ว จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งที่ผมจำได้คือ เสียงเครื่องดังพอสมควร ( ควันดำอีกตะหาก )
มองไกลๆ โชคดี เห็นเจ้า CSR Qishuyan ( ฉายา มินเนียน รถไฟใส่เอี๊ยม )
แม้จะเป็นน้องเล็ก สุดอายุอานามถ้าจำ ไม่ผิดนี่ไม่เกิน 2 ปี แต่ร่างกายใหญ่โตและพลังช้างสารที่สุดกว่ารุ่นไหนๆ
แถมเสียงเครื่องยัง เบ๊าเบา ผิดกับหัว รถจักรยุคก่อนๆ
เด็กรุ่นใหม่ๆ ฝีเท้าเงียบ แถมทรงพลัง..
ก็มี 2 ทางที่จากกันที่แก่งคอยอีกเช่นกัน
ทางซ้าย คือเส้นทางรถไฟสายแก่งคอย – บัวใหญ่ ที่เราจะไปเยือนในวันพรุ่งนี้
ส่วนอีกทางนึง คือ เส้นทางรถไฟสู่โคราชที่เห็นเป็นโค้งออกไปทางขวา
และเราจะตามรอยเส้น ขวาไปอีกนิดนึงสู่สถานีสถานีหนึ่งซึ่งมีความสำคัญ
เรามาเดินทางกันต่อ..
ขี่มาทั้งในเมืองและทางไกลเป็นระยะทางพอสมควรแล้ว ผมว่า ผมพอจะเหลาเรื่องราวของเจ้าจิ๊กส์เจ็ดครึ่งได้บ้างแล้ว
เอาเรื่องเครื่องยนต์กันก่อน
เครื่องยนต์ตัวนี้ เรียกว่าใช้ได้เลย เวลาวิ่งบนถนน
180 ก็แล้วยังนิ่ง
200 หรอ ชิลๆ
220 ไปได้อีก
240 ได้อีกนิสสสสสสสสสสสสสส
255 สุดแล้วหล่ะ แค่นี้พอมั๊ง เดี๋ยวไม่รอด
วิ่งไปตั้ง 255 กิโลเมตร ตัวเลขบอกระยะบอกว่ายังวิ่งได้อีก 10 กว่ากิโลนะ แต่ไม่เอาแล้วหล่ะ เดี๋ยวกินข้าวลิง
ตามความจุถังน้ำมัน 16 ลิตร แต่เติมทีไร ก็ได้ไม่เกิน 14 ลิตรนะ สงสัยยังไปได้อีก รวมอัตราการสิ้นเปลืองกับน้ำมันโซฮอล 95 และน้ำหนักบรรทุก 150 กิโลกรัม ที่ความเร็วเดินทาง 120-140 กม / ชม มีซัดบ้างอัดบ้างขึ้นไปที่ 220 กม / ชม
การกินน้ำมันอยู่ ที่ประมาณ 18.8 กิโลเมตร / ลิตร
ถ้าขี่คนเดียวน่าจะ ประหยัดกว่านี้นิด หน่อย อาจจะไปได้ถึง 20 โลลิตรแน่ะ ซึ่งทาง Suzuki เค้าก็เคลมไว้ประมาณน้น
ก็ถือว่าใช้ได้อยู่ นะครับ สำหรับรถ 4 สูบพิกัด 7 ครึ่ง
เขาเล่าว่า เครื่องยนต์ของเจ้า GSX-S 750 คันนี้ สืบทอดเชื้อสายดีไซน์มาจาก GSX-R 750 รุ่น K5 ( สมัย K5 เป็นยุคที่ Gixxer นั้นเป็นสุดยอด Sport bike แห่งยุค )
อารมณ์เครื่องสไตล์ Suzuki นั้นก็คงสืบทอดมาด้วย คือ เสียงเครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์วของ Suzuki มันจะออกแนวแหบๆ นิดๆ ถึงแม้รถยุคใหม่จะ smooth แค่ไหน แต่ยังรู้สึกถึงความดิบๆ เล็กๆ ซ่อนอยู่ เสียง airbox ดูดอากาศอย่างเมามันที่รอบเกิน 7 พันขึ้นไปเข้าโจมตีโสทประสาทแบบรอบทิศทาง ชุดเกียร์ของมันก็ ทำงานได้เป๊ะดีแม้ จะยังไม่ลื่นปื๊ดๆ เหมือนรถ Sportbike แต่ดีกว่า Class 650 หลายๆคันแน่นอน
แต่กลับน่าผิดหวังเล็กๆตรงที่ดันไม่มี slipper clutch มาให้ เอาน่ะชดเชยด้วยอัตราทดเกียร์รับ ส่งกันดีแบบไม่มีห้อย ไม่มีขาดตกบกพร่องตั้งแต่ เกียร์ 1 ยันเกียร์ 6
กำลังของเครื่องยนต์ถูกเรียบเรียงและจัดสรรให้ผู้ขับขี่มาแบบเป็นระเบียบเรียบร้อยตามนิสัย 4 สูบเรียง ไม่มีพรวดพราดมาแบบไม่มีปีมีขลุ่ย แถมพิกัด 7 ครึ่งเป็นพิกัดที่ต้องบอกว่า มีกำลังอยู่ในระดับ ที่มือใหม่ก็น่าจะพอขี่ได้และมือเก่าก็ขี่สนุกเพราะมันไม่ขาดและก็ไม่เกินไปด้วย กับม้าที่ให้มา 114 ตัว แถวๆ หมื่นรอบ ถือว่าขึ้นไปทัดเทียมกับคลาส 900 บางคัน แม้แรงบิดจะน้อยกว่าก็เถอะมาที่ 59.7 lb-ft น่าจะรอบแถวๆ 8-9 พันรอบนี่แหล่ะมั๊ง ( เปิด spec ไม่เห็นมีบอก ) สำหรับถนนเมืองไทยผมว่าม้าและแรงบิดมากไปกว่านี้ก็เริ่มจะใช้ไม่หมดแล้วนะ แถวๆ ไม่เกิน 120 ตัวเนี่ย กำลังสวยเลย คือเรียกได้ว่า มันพอดีมือ พอดีคำแล้วหล่ะ
การตอบสนองคันเร่งแบบสาย เปิดแค่ไหน มาแค่นั้น แถมรอบต่ำยังทำงานได้ smooth ผิดกับ GSX-S1000 ที่รอบต่ำนั้นรอบแกว่งและตอบสนองแบบดิบๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะ ไม่มีแกว่งเลยนะ รอบยังคงมีการสวิงนิดๆ บอกให้รู้ว่า ตรูเป็นเครื่อง Suzuki นะเฟ้ย
สำหรับ top speed ถ้าถามถึง ตอบได้ว่า ไม่รู้ครับ ไม่กล้ากด มีทั้งคนซ้อนและกระเป๋ากล้องพะรุงพะรัง ลองไปนิดนึง ดึงดีจนถึง 225 เลยหล่ะ ต่อจากนั้นต้องไหลละ แต่ผมไม่รอนะ กลัวตายขอผ่อนก่อนดีกว่า แฮ่ๆ
โดยสรุปสำหรับ เครื่องยนต์ลูกนี้
คือมันดีต่อใจทั้ง ในโลกการใช้งานทั่วๆไปหรืออยากเร้าๆ มันส์ๆ ในโลกของสปอร์ต แถมอยู่ด้วยง่ายสำหรับมือเก่า เพราะมันกลางๆ พอดีๆ สำหรับมือใหม่ก็ตึงมือนิดนึงแต่ก็พอไปได้ ในแง่ของความ ประหยัดก็จัดว่าดี ไม่น่าเกลียดแต่อย่างใดถ้าคิดว่ามันเป็นเครื่อง 4 สูบ
และสุดท้าย ผมขอขนานนามให้มันว่า
All round engine สมดุลในทุกๆด้านแม้ว่าจะโบราณไปนิดครับ
เอาไป 4.2 เต็ม 5 ละกัน
สถานีนี้ บรรยากาศยามเย็น สบายๆ จนอยากนั่งรับลมไปเรื่อยๆ ทั้งหมาทั้งคนเลยหล่ะ
“ปู่ซ่าบ้าพลัง”
หัวรถจักร GE ที่แม้จะมีพลังเพียง 1,000 แรงม้า แต่สุ้มเสียงการออกตัวมันเร้าใจเหลือเกิน ใครเคยนั่งขบวนโดยสารที่ทำขบวนโดยปู่คันนี้ คงจะรับรู้ถึงความแตก ต่างจากหัวรถจักรรุ่น อื่นได้เป็นอย่างดี
คราวนี้คุณปู่ทำขบวนสินค้าเคลื่อนผ่านโค้ง เขาแล้วมาเลียบเคียงถนนเข้าสู่สถานีผาเสด็จ
นับเป็นสถานีที่มีภูมิทัศน์สวยงามอันดับต้นๆ ในความคิดของผมเลย
แม้นายสถานีจะโบกธงเขียว แต่ขบวนปู่ซ่าก็หยุดเพื่อทดสอบห้ามล้อนะ
เพราะแถวนี้เขาทั้งนั้นเกิดเบรกไม่อยู่
หลุดโค้งสถานเดียว!!!!!
หลังจากนั้นปู่ซ่าก็เร่งเครื่องยนต์สุ้มเสียงเร้าใจ ดิบเถื่อนออกไป และลับหายเข้าไปในดงภูเขา
ถ้าถามว่าเจ้า GSX-S750 คล้ายหัวรถจักรรุ่นไหน ก็รุ่นนี้แหล่ะครับ
สำหรับท่วงท่านั่งของเจ้า GSX-S 750 สัมผัสแรกต้องร้องว่า ทำไมสปอร์ตจังวะ รู้สึกว่าเบาะเอนไปข้างหน้าและแฮนด์ค่อนข้างไกล พักเท้าค่อนข้างสูงเล็กน้อย เวลาขี่ในเมืองมีแอบให้เหนื่อยเล็กๆ ( เล็กจริงๆ ) แต่พอขับขี่ทางไกล เอ้อ มันดีแฮะ ด้วยความที่มันสปอร์ตเล็กๆ นี่แหล่ะ ทำให้ขี่มันส์ และเมื่อมีสายลมพยุงลำตัวที่ค้อมไปข้างหน้าเล็กน้อยของเราแล้ว กลายเป็นความพอดีๆ ไปโดยปริยาย ด้านหน้ารถเห็นโล่งๆแบบนั้น สายลมที่ประทะเรากลับดีกว่า Naked หลายๆ คัน ( เพราะเรานั่งก้มด้วยส่วนหนึ่ง ) ที่ความเร็ว 140 – 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมถือว่าเป็นเพดานแล้ว ถ้าไปเร็วกว่านี้จะล้าเพราะสายลมมากเกินไปตามสไตล์ Naked
เบาะคนขี่และคนซ้อนนั้น บอกตรงๆ หน้าตาไม่สื่อถึงความสบายตรงไหน แต่มันก็ไม่แย่ขนาดนั้น 150 กิโลเมตรผ่านไปคนขี่ยังไม่บ่น แต่คนซ้อนนั้นบ่นก่อนแน่ๆ เพราะท้ายที่สูงชะลูดและเบาะที่ค่อนข้างแข็งเฟิร์ม
เอาหน่ะ เพื่อสมรรถนะแบบ Sport หน้าทิ่มตูดยก คนซ้อนต้องทนหน่อย รูปทรงถังก็ถือว่าหนีบได้กระชับดี แต่ก็ไม่ได้ดีเด่อะไรหรอกนะ ถือว่ากลางๆ ค่อนไปทางดีครับ ( ผมชอบถังเล็กๆเรียวๆ เข้ารูปมากกว่าถังกลมๆ อวบอัด )
ถ้าให้คะแนนในมุมความสบายผมให้ 3 เต็ม 5 ละกัน
แต่ถ้าให้ในมุมสปอร์ตและสมรรถนะ ให้ 4 เต็ม 5 ครับ
นายแบบ : พี่หมีและพี่หมา
ชื่อภาพ : หมีหมาผาเสด็จ
รูปร่างหน้าตาเบาะ ดูกันชัดๆ อีกที เจ้าสายรัดเบาะนี้มีประโยชน์มากตอนเข็นรถถอยหลัง แต่เอาจริงๆ ผมอยากได้มือจับด้านท้ายด้วยนะ แถมผมยังชอบบังโคลนท้ายด้วย รถคันไหนไม่มีบังโคลนนี่ไม่อยากขี่ไม่รู้ทำไมความคิดเราไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาไม่รู้นะ
คราวนี้นายสถานีช่วยจัดฉากถ่ายให้ อิอิ
ลึกเข้าไปในหุบเขา มีดินแดนลี้ลับที่มีเรื่องราวเล่าขานอยู่
เดี๋ยวพาสาดโค้งบนถนนเรียบทางรถไฟเข้าไปชมครับ
อาถรรพ์ผาเสด็จ
ในการก่อสร้างทางรถไฟสายอีสานในสมัยก่อน ระยะทางบริเวณจากแก่งคอยเข้าสู่มวกเหล็กพื้นที่ก่อสร้างจะมีสภาพเป็นภูเขา ในบริเวณที่แห่งนี้มีชะง่อนหินใหญ่ขวางทางอยู่ซึ่งจะตัดทางอ้อมเสียก็พอทำได้ แต่เส้นทางจะคดคี้ยวแลดูไม่สวยงาม จึงจำเป็นจะต้องระเบิดหินก้อนนี้ วิศวกรชาวฝรั่งเศสพยายามจะระเบิดหินก้อนนี้อยู่หลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ สร้างความหนักอกหนักใจแก่นายช่างเป็นอย่างมากจึงได้ปรึกษาหารือกัน ขณะนั้นมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้แนะนำไปทางไสยศาสตร์ “ว่าสถานที่นี้คงจะมีเจ้าป่าหรือเจ้าที่เจ้าทาง ควรทำเครื่องเซ่นไหว้บวงสรวงต่อเทพยาดาอารักษ์เจ้าป่าเจ้าเขาบอกกล่าวขออนุญาติ” แต่นายช่างสมัยนั้นซึ่งเป็นคนหัวสมัยใหม่ไม่เชื่อเรื่องราวอะไรเยี่ยงนี้ แต่ก็ไม่สามารถระเบิดหินผานี้ได้สำเร็จ และชาวบ้านถิ่นนั้นก็บอกว่าสถานที่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์จริง และเคยแสดงอิทธิฤทธิ์ปรากฎต่อชาวบ้านและพรานป่ามาแล้วหลายครั้ง ถ้ามีใครมาตัดไม้บริเวณนั้นหรือมาปัสสาวะใส่บริเวณโคนไม้ใหญ่ก็จะมีอันเป็นไป ล้มป่วย เจ็บไข้ บางรายถึงกับเป็นลมล้มชักน้ำลายฟูมปากก็มี ต้องทำกระทงมาเซ่นไหว้ แต่ถ้าใครไม่เชื่อก็จะล้มเจ็บถึงตายไปก็มี
เมื่อการก่อสร้างทางรถไฟไม่มีความก้าวหน้าเสียที และมาหยุดชะงักที่ตรงนี้ไม่สามารถระเบิดหินก้อนนี้ได้ ความทราบถึงพระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ 5) พระองค์จึงโปรดเกล้าให้นำตราแผ่นดินไปประทับที่ตรงโคนต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้นเพื่อเป็นการเอาเคล็ดและเป็นขวัญกำลังใจต่อคนทำทางรถไฟ และมีเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้นว่า เมื่อตราแผ่นดินประทับลงที่ตรงต้นไม้ใหญ่ ต้นไม้นั้นเกิดการแห้งเฉายืนต้นตาย พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงรับสั่งให้นายช่างระเบิดหินทำทางต่อไป แต่คนงานและชาวบ้านก็ยังมีความกลัวอยู่ไม่กล้าเข้าไประเบิด อันเนื่องมาจากสาเหตุมีนายช่างและคนงานบางคนเป็นไข้ป่าจนกระทั่งเสียชีวิต (ในสมัยนั้นไข้ป่าชุกชุมมาก) พระองค์จึงโปรดให้ตั้งศาลเพียงตาขึ้นในบริเวณใกล้ผาหินใหญ่ก้อนนั้น การระเบิดหินตัดทางบริเวณนั้นจึงดำเนินต่อไปจนสำเร็จไร้อุปสรรคใดๆ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเสด็จมาที่ผาแห่งนี้ จารึกพระนามาภิไธยย่อไว้ และตั้งชื่อว่า “ผาเสด็จพัก”
และนั่นก็คือเรื่องราวของผาเสด็จที่เราได้มาเยือนครับ
อาทิตย์ทอแสงอ่อนลงเรื่อยๆใกล้จะลาลับไปหลังหุบเขาและถนนมิตรภาพ
ยังติดใจอำเภอแก่งคอยไม่หาย อำเภอนี้อยู่ติดถนนใหญ่อย่างมิตรภาพนะ แต่กลับดูไม่เจริญเลย มีกลิ่นไอเก่าๆแฝงอยู่เต็มไปหมด และทางเข้าอำเภอสังเกตุยาก เล็กจนขี่เลยต้องกลับรถถึง 10 กิโลเมตร
เราทานมื้อค่ำกันที่ตลาดแก่งคอย บรรยากาศผู้คนยังคงเหมือนอยู่ในยุคเมื่อ 20ปีที่แล้ว
ร้านรวงต่างๆ มีกลิ่นไอความเก่าแบบบอกไม่ถูก เสียดายเวลาน้อยนัก ที่นี่มีอะไรน่าค้นหา
โอกาสหน้าละกัน เพราะเราต้องรีบออกเดินทางต่อสู่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เพื่อเตรียมดูรถไฟลอยน้ำพรุ่งนี้เช้า
เราก็นอนห้องพักที่หาได้ริมทางรถไฟ แถวๆ เขื่อนป่าสักนั่นแล
แต่หาข้อมูลไปมา สถานที่ถ่ายรูปรถไฟลอยน้ำสวยๆ มันไม่ได้อยู่ที่เขื่อนป่าสัก!!!
แต่มันอยู่ที่ตำบลนามว่า โคกสลุง ซึ่งอยู่ห่างออกไป 25 กิโลเมตร!!!
เป็นอันต้องแหกขี้ตาตื่นเพื่อมาให้ทันตะวันขึ้น เลทไปนิดแต่ตะวันยังปรานี
ในที่สุดเราก็สมใจ
ขบวนรถดีเซลรางฮิตาชิสายท้องถิ่น สั้นกระจิ๋ว ซึ่งวิ่งระหว่างชุมทางแก่งคอย – ชุมทางบัวใหญ่ปรากฏกายวิ่งข้ามผ่านสะพานที่ทอดยาวใต้แสงตะวัน
แต่ความสวยงามแห่งแสงตะวันชักชวนให้เราอยู่ต่อ
ภาพความสวยงามของชีวิตใต้แสงตะวันยังคงมีให้เห็น
ยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป…
อีกฟากหนึ่งจะอยู่ติดกับสถานีรถไฟโคกสลุง ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 3 กิโลเมตรได้ และเราทราบมาว่าจะมีรถไฟท้องถิ่นอีกขบวนหนึ่งมา
เราเลยบิดกันหูตูบเพื่อไปดักรถไฟอีกขบวนหนึ่ง
ปล ถนนแถวนี้ อุดมไปด้วยโค้ง
ออกจากโค้งมาด้วยความเร็วประมาณ 80 กม/ชม เจอทางรถไฟขวางหน้าในระยะค่อนข้างกระชั้นชิด
ผมกดเบรกเต็มเหนี่ยวจนรถหยุดบนทางรถไฟพอดิบพอดี ถือเสียว่าเป็นการทดสอบระบบเบรกและช่วงล่างไปด้วยเลยละกันนะ
ด้วยคาลิเปอร์ Nissin แบบ Radial mount 4 ลูกสูบ ซึงจับอยู่กับจานเบรกแบบ Wave disc ทำให้ระบบเบรกหน้าตาดูดีมีราศีมากที่สุดในรถคลาสราคาไม่เกิน 4 แสนไปแบบไม่ต้องสงสัย ซ้ำเจ้า GSX-S750 ยังเป็นรถที่ราคาถูกที่สุดที่มีองค์ประกอบครบขนาดนี้
ฟีลลิ่งของระบบเบรกชุดนี้การจับในช่วงแรกนั้นพอดีๆ ไม่คมจัดเกินไปและไม่น้อยเกินไปและเมื่อกดเบรคหนักขึ้นแรงพลังในการเบรกก็มีให้แบบล้นๆ เท่าที่ใจอยากได้
ช่วงล่างหน้าแบบ Up side down และหลังแบบช๊อคเดี่ยวที่เซ็ทมาเพื่อการขับขี่แบบสปอร์ต แข็ง หนึบแต่ไม่กระด้างนั้นช่วย support การเบรกได้เป็นอย่างดี ปิดท้ายด้วยยางติดรถ Bridgestone Battlax S21 ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นยางติดรถที่ดีมากชุดหนึ่ง ถ้าเทียบกับยางชุดที่ติดรถ 650cc ในปัจจุบัน
โดยรวมๆแล้วอุปกรณ์ชุดนี้เกินราคารถไปพอสมควรกับรถที่ราคา 3 แสนกลางๆ และสามารถขึ้นไปเทียงเคียงชั้นกับรถราคา 4 แสนต้นๆ ได้สบาย
ตัดคะแนนนิดหน่อยตรงช่วงล่างชุดนี้ไม่ใช่ Fully adjustable ปรับได้เพียง Preload ทั้งด้านหน้าและหลังแต่เผอิญผมเป็นพวกขี้เกียจปรับและ setting เดิมๆ ที Suzuki ให้มามันก็ดีใจหาย มันแน่น หนึบหนับในระดับที่ยังไม่กระด้างถูกใจสายสปอร์ตทัวริ่งแบบผมมาก ให้คะแนนตรงนี้ไปเลย 4 เต็ม 5 ฮะ
ชุดหลังเองก็หน้าตาดูดีมาก ดุดันจริงๆ ไม่ว่าจะท่อไอเสีย พักเท้า
ก็เดินทางมาถึง
โคกสลุง
เป็นตำบลหรือหมู่บ้านผมไม่แน่ใจ แต่บรรยากาศเงียบสงบและดูน่ามาเที่ยวมาก เผอิญมีร้านกาแฟสดให้ผมพักผ่อนจิบกาแฟยามเช้าด้วย
ฟินกันไป
มาเขื่อน ต้องกินปลาใช่ไหม จัดไปร้านอาหารข้างๆร้านกาแฟ ราคาถูก รสชาติดี
แต่น่าอยู่และร่มรื่นดี
ได้เวลาบอกลาเขื่อนป่าสักและทางรถไฟลอยน้ำแล้วหล่ะ
เพื่อพิสูจน์ว่าเจ้า GSX-S 750 สมราคาคุยในฉายาของมันไหม
Apex Predator ( นักล่ายอดโค้ง ไม่ใช่นักล่ายอดข้าวนะ )
คือสมญานามที่ Suzuki ให้ไว้กับคันนี้
หากได้ยินก่อนได้ขับขี่ ก็ต้องบอกว่า “เชื่อ” เพราะรถ Suzuki class เกิน 650 ทุกคันที่ได้ขี่มามันมีคุณลักษณะหนึ่งร่วมกัน นั่นคือ มันแม่นโค้งเอามากๆสิ่งที่ผมประทับใจรถ Suzuki เสมอมาคือเฟรมและช่วงล่างที่เสถียร แน่น หนึบ และยังเข้าโค้งได้แม่นเหมือนจับวาง มองตรงไหนเข้าตรงนั้น ยิ่งถ้าคันไหนแปะรหัส GSX เข้าไปอีกก็เชื่อขนมกินได้
เมื่อได้ลองขับขี่จริงก็ต้องบอกว่ามันเป็นแบบนั้น บนน้ำหนักตัว 213 กิโลกรัมตามสเป็ค ถือว่าไม่มากไม่น้อย ส่งผ่านความเสถียรได้ยอดเยี่ยม พริ้วไหวพอประมาณ combination การทำงานระหว่างช่วงล่าง ตัวรถ เฟรม เบรกและยางชุดนี้เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย แรงยึดเกาะทางกลไกส่งผ่านมายังผู้ขับขีรับรู้ได้ถึงความเกาะถนน Traction Control และโหมดการขับขี่เข้ามามีส่วนร่วมในความสนุกขึ้นอีกระดับ
ในเรื่องของ handling นั้นไม่ขาดตกบกพร่องจริงๆ สำหรับ Suzuki ซึ่งเขาโดดเด่นเรื่องนี้มาแต่ไหนแต่ไร กลิ่นไอของความเป็น Suzuki ยังคงคบถ้วนนับตั้งแต่ยุค Suzuki ครองความเป็นใหญ่ในยุค 2005
สิ่งเดียวที่น่าติงคือมันน่าจะเบากว่านี้อีกนิด ถ้าสัก 200 กิโลกรัมถ้วนๆสำหรับรถ 750cc ราคา 3 แสนกลางจะเป็นอะไรที่งดงามมาก
เอาคะแนนไป 4.5 เต็ม 5 เลยครับ
ผมก็ต้องบอกอีกครั้งว่า รถ Suzuki ไม่รักได้งัย…
สิ่งหนึ่งที่เป็นคาแร็คเตอร์ของ Suzuki ที่ผมรู้สึกคือ มันส่งถ่ายจิตวิญญาณของรถตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เราจะรู้สึกถึงตัวตน คาแร็คเตอร์ของญี่ห้อนี้ชัดเจน พูดง่ายๆ “อนุรักษ์นิยม” แต่ในขณะเดียวกันความ modern ของรถสมัยใหม่ที่ถูกนำมาประกอบเป็นรถแม้ไม่มากมายล้ำหน้าแบบยี่ห้ออื่น มันดูเบสิค แต่มันยอดเยี่ยมในเชิลกลไกในแบบของมัน
รถ Suzuki โดยส่วนใหญ่มักถูกออกแบบมากลางๆ ไม่หวือหวา แต่สมรรถนะ ความแน่นอน ทนทาน เสถียรภาพนั้นเชื่อขนมกินได้ หากจะให้พูดภาษาวัยรุ่นก็คงจะแนว “ได้หมด ถ้าสดชื่น” กระมัง ใครหลงรักอะไรที่กลางๆ แต่แอบซ่อนความยอดเยี่ยมไว้ภายใน คันนี้รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน ภายใต้สนนราคา 3 แสนกลาง
สรุปให้เป็นข้อดีข้อเสียดูกันง่ายๆ ดังนี้ละกันนะครับ
ข้อดี
+ เครื่องยนต์พอดีคำ นุ่มนวล สมูล แต่แอบมีความดิบ เร้านิดๆตามสไตล์ซู
+ เสียงดูดอากาศเร้าใจ
+ handling แม่น แน่น หนึบ สมกับสมญานาม Apex Predator
+ ขี่ง่ายทั้งในเมือง และ ทางไกล
+ สรีระศาสตร์คนขี่
+ รูปลักษณ์ พอดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน ไม่ต้องมาเขิน ฉันพูดจริงๆ
+ ประหยัดน้ำมันใช้ได้
+ เรือนไมล์ชัดเจน ดูง่าย
+ น้ำหนักกำลังดี
+ เบรก Radial mount หล่อๆ
+ ยางติดรถ
+ ช่วงล่างต้องหลงรัก
+ ราคาถูกกว่าคู่แข่งบ้านใกล้เรือนเคียง
ข้อเสีย
– เบาะคนซ้อนไม่สบาย
– ช่วงล่างปรับได้แค่ Preload ทั้งหน้าหลัง
– ดูผาดๆแล้วหน้าตาเรียบไป
– น้ำหนักเบาแล้ว แต่ 200 ถ้วนได้ไหม
– สายโหดอยากได้ Torque หนักกว่านี้เพือเทียบเคียงคู่เปรียบระดับ 9xx cc
– ไร้เงา Slipper Clutch
สิ่งที่ค้างคามีอยู่นิดเดียว คือ ไม่ได้เจอหัวรถจักร Hitachi ซึ่งเป็นหัวรถจักรในดวงใจของผมเลย
เอาหน่ะ ทริปหน้าว่ากันใหม่
ขอบคุณ Just-Ride-it และ Thai Suzuki ที่สนับสนุนการเดินทางในครั้งนี้
ยังงัยเสียก็ขอฝากร้านแบบที่คนอื่นเขาทำๆกันด้วยครับ
แม้เราจะมีอุดมการณ์ในการเขียนที่ให้สัญญาไว้ว่าจะเป็นกลาง ไม่อวย แต่เงินทุนสนับสนุนนั้นก็สำคัญ ทุกสิ่งทุกอย่างคงเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ได้รับการสนับสนุนครับอย่างไรก็ช่วยสนับสนุนเพจ Just-Ride-it และบริษัท Suzuki ตาม URL ด้วยครับ
https://web.facebook.com/justrideitteam/?ref=bookmarks
http://www.thaisuzuki.co.th/bigbike/bigbike.php?id_product=251
จะได้มีงานที่ยิ่งทำแล้วยิ่งจน ยิ่งโทรม แต่มาเขียนให้เพื่อนอ่านได้ไปนานๆ ครับ
นานแค่ไหนก็ไม่รู้ ก็คงตราบเท่าที่ความบ้าในตัวยังเหลืออยู่นี่แหล่ะครับ
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ