[Ride Now]All New Click 125 i นำพาใจและเวลาพาไป หมู่บ้านในอ้อมกอดขุนเขา “ปิล็อก”

สวัสดีครับ วันนี้จะพาไปเที่ยวที่เดิมๆ และเพิ่มการบอกเล่าจากการขับขี่ All New Click 125 i
นับตั้งแต่ต้นปีมาเราได้พบกับ HONDA All new click 125 i ผ่านหู ผ่านตา มาก็เยอะ
ขึ้นชื่อว่า All new มันย่อมไม่ใช่แค่ สติ๊กเกอร์กราฟฟิคลวดลายใหม่ หรือ แค่โฉมภายนอกใหม่ อย่างแน่นอน
เดี๋ยววันนี้ ผมจะพาไปดูกันครับว่า ส่วนที่ได้รับการแก้ไข ปรับปรุง และเพิ่มเติมเข้ามานั้นมีอะไรบ้าง
อาจไม่ใช่รีวิวที่อัดแน่นไปด้วยสเป็คเครื่องยนต์มากนัก แต่ผมจะเน้นไปที่การใช้งานหลักๆแบบทั่วๆไป
ซึ่งยังคงเงื่อนไขของทีมงานJust-ride-itเช่นเดิม อะไรดีก็บอก อะไรด้อยก็แจ้ง เท่าที่สัมผัสได้จริงจากการใช้งานระยะนึงครับ

เจ้า All new Click จะเหมาะกับใครอย่างไร เรามาทำความรู้จัก เพื่อการตัดสินใจเลือกซื้อเลือกใช้ไปพร้อมๆกัน ^^

ปล.นอกจากรีวิวรถผมจะพาเดินทางไปด้วยกันครับ
*****
*****
การทดสอบครั้งนี้ ผมเลือกใช้เส้นทาง กรุงเทพ-บ้านอิต่อง กาญจนบุรี

เส้นทางประจำปี ที่ทำสัญญาใจกับ ผู้ซ้อนเอาไว้ว่าเราจะกลับมาปีละครั้ง เส้นทางเส้นเดิม คนซ้อนคนเดิม เพิ่มเติมคือขับคลิ๊กไอ ขับคลิ๊กไป

สิ่งที่เราจะรู้สึกได้ทันที่ถ้าเทียบกับรุ่นเดิม นิ่ม!!! ตอนออกตัวเครื่องนิ่มขึ้นมากครับ ออกตัวไม่สั่นแบบตัวเก่าแล้ว ดีงามมะขามเปียกจิ้มเกลือมากๆ

นับว่าเป็นสัมผัสแรกที่รับรู้ได้เลย เนื่องจากส่วนตัวผมเองก็เคยใช้ตัวเก่าอยู่พักใหญ่ๆ ปกติตอนเครื่องเย็นๆ สตาร์ทออกตัว มันจะมีอาการสั่นสู้ทุกครั้ง

แต่กับตัว All new ไม่สั่น แต่ยังสู้เหมือนเดิม อันนี้ชอบ ดีงามประการที่1

คำว่าสมาร์ทเทคโนโลยี ที่เราๆได้ยินคุ้นหูกันมานาน ก็อาจเป็นส่วนนึงของพัฒนาการในครั้งนี้ ซึ่งจะประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

เดี๋ยวจะค่อยๆเหลาให้อ่านไปเรื่อยๆครับ แต่อย่างที่บอกไปนะครับ ผมจะขยายแค่ในส่วนที่รับรู้ได้ หรือ คหสต ล้วนๆ ^^

****
*****
น้ำหนักบรรทุกในการเดินทางครั้งนี้เฉลี่ยๆแล้วอยู่ที่ราวๆ 130 กิโลกรัมครับ ผู้ขับ50กิโล ผู้ซ้อน50กิโล เสื้อผ้า+อุปกรณ์5กิโล
เครื่องสำอางผู้ซ้อนอีก25กิโล ถถถถถถ

จุดที่เด่นชัดจากการขับขี่ที่ได้มาคือความสนุก ใช่ครับมันสนุก ติดไม้ติดมือในรูปแบบรถเดิมๆ อัตราเร่งต้น กลาง ปลาย ทำได้แบบไม่ขี้ริ้ว
แต่อาจจะมีช่วงที่กำลังขาดช่วงไปบ้างเล็กน้อยในย่านความเร็ว60-80แต่แค่เล็กน้อยจริงๆครับ หรืออาจเป็นเพราะสำภาระที่ผมพกมาก็เป็นได้

จากบางแคมุ่งหน้าตามเส้นทางสาย 323 มาเรื่อยๆ คนไม่หนื่อย รถไม่เหนื่อยแต่เราก็ต้องอัดพลังงานเข้าสู่ร่างกันก่อนครับ
แว๊บข้างทางทานอาหารเช้ากันสักนิด พร้อมกับระบุตำแหน่งให้เพื่อนๆพี่ๆได้ทราบว่าเรายังปลอดภัยดีอยู่ในการเดินทาง
ในการเดินทางแต่ละครั้งไม่ได้มีเฉพาะเราที่ออกเดินทางครับ คนที่อยู่ข้างหลังและคนที่รอคอยเรา ก็ออกเดินทางไปกับเราเช่นกัน

หลังอัดพลังงานกันเสร็จ บึ่งตรงไปแยกแก่งเสี้ยนครับ มีนัดหมายกับคนที่มารอเราอยู่ และอัดน้ำมันให้เต็มเพื่อจะวิ่งยาวๆต่อ

ระหว่างทางที่วิ่งออกมาจากแยกแก่งเสี้ยนแล้ว จะเริ่มเจอบททดสอบความสามารถของรถเล็กๆน้อยๆ จากการขึ้นเนินชันเล็กชันน้อยกันเป็นระยะ
ผลอย่างที่สองที่ตามมา ขึ้นเนินชันเล็กๆน้อยๆได้แบบกำลังยังคงมีเหลือใช้อยู่ ซึ่งถ้าเปรียบกับตัวเก่าที่เคยเอามา เส้นทางนี้เหมือนๆกัน
เจ้า All new ทำได้ดีกว่าเดิมครับ แต่ๆ เรื่องอัตราการกินน้ำมันก็มากกว่าเดิมเช่นกันเมื่อผ่านเนินสลับกันเป็นระยะทางยาวๆ
แต่ๆๆๆๆอีกครั้ง มันก็ไม่ได้กินไปมากกว่ากันเท่าไหร่จนน่าตกใจนักต่างกันแค่นิดเดียว ถ้าเทียบกำลังส่งขึ้นเนินที่ได้มาทดแทนกัน มันสมเหตุสมผลแหล่ะ
โดยคำนวณแบบคร่าวๆที่น้ำมัน E20 4ลิตร ได้ระยะทาง 155 กิโลเมตร ตกแล้วก็กินไปราว 38.75
ถ้าเป็นตัวเก่าเจอทางแบบเดียวกันนี้ ผมทำไว้ที่ 165 กิโลเมตร ตก 41.25 (นี่นั่งกดเครื่องคิดเลขตามให้เลยยย)
ซึ่งอัตราที่เฉลี่ยได้มาครั้งนี้ หมดปลวกตลอดช่วงทั้งคู่ครับ

คันเก่าที่เคยใช้อยู่ครับ น้ำหนักบรรทุกโดยเฉลี่ยเท่าๆกัน

*****
*****

เดินทางมาตามถนนเส้นเดิม 323  แต่เส้นนี้ ผมมาทีไร ก็ผ่านเลยสถานที่แห่งนี้ไปทุกครั้ง
ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะเข้าไปหลายรอบแล้ว คราวนี้ ไม่พลาดครับ สำเร็จความตั้งใจไปอีกหนึ่งอย่าง
“ช่องเขาขาดพิพิธภัณฑ์สถานแห่งความทรงจำ” จะอยู่ด้านหลังของกองการเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานทหารพัฒนา นะครับ
ป้ายข้างทางใหญ่โตมโหราฬมากๆ(อันนี้ประชด)  ป้ายข้างทางค่อนข้างเล็กแม้พื้นที่จะใหญ่โต
ที่นี่ยังคงความเจ๋งไว้ได้ตั้งแต่การเข้าชมครับ ที่ว่าเจ๋งคือ ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าชมเลย แต่ก็มีไกด์เด็กๆในพื้นที่มาให้บริการถ้าท่านๆต้องการครับ
อันนี้น่าสนับสนุนดี น้ำดื่มเย็นๆสิบบาทต่อขวด แนะนำให้ติดไปก่อนจะเดินเข้าไปครับ เอาเข้าไปแล้วก็อย่าลืมนำขวดออกมาด้วยเน้อ
มาชมสถานที่รอบๆกันก่อนครับ ระหว่างนี้ก็จอดรถพักใต้เงาไม้กันไปก่อน คห.นี้พักรถพาคนเที่ยวต่อ ^^

***********
ประวัติ”ช่องเขาขาด” หรือ “ช่องไฟนรก” เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางรถไฟสายไทย-พม่า (เส้นทางรถไฟสายมรณะ)ตลอดเส้นทางรถไฟสายไทย-พม่า (เส้นทางรถไฟสายมรณะ)มีหลายจุดที่มีเนินหิน ภูเขา หน้าผา หรือหุบเหว ขวางอยู่จึงต้องขุดให้เป็นช่องเพื่อที่รถไฟสามารถวิ่งผ่านไปได้ซึ่งที่ช่องเขาขาด หรือ ช่องไฟนรก เป็นจุดที่ใหญ่ที่สุดบนเส้นทางนี้ การขุดเจาะช่องเขาขาดเริ่มในเดือนเมษายนปีพ.ศ. 2486 ปรากฏว่างานล่าช้ากว่ากำหนดจึงมีช่วงที่เร่งงานซึ่งแรงงานแต่ละกะต้องทำงานถึง 18 ชั่วโมงโดยงานส่วนใหญ่ล้วนใช้แรงคนทั้งสิ้น เช่นการสกัดภูเขาด้วยมือ ซึ่งเป็นการทำงานที่ทารุณยิ่ง เนื่องจากต้องปีนลงไปสกัดในช่องเขาซึ่งบางช่วงสูงถึง 11 เมตร จนแทบไม่มีอากาศหายใจทั้งยังต้องทำงานท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวในช่วงเดือนมีนาคม ในภาวะขาดแคลนน้ำและอาหาร เมื่อเจ็บป่วยแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ก็ไม่เพียงพอต่อการพยาบาลต้องดูแลกันตามมีตามเกิด เชลยศึกและกรรมกรที่ช่องเขาขาดต้องทำงานตอนกลางคืนด้วยแสงไฟจากคบเพลิงและกองเพลิงทำให้สะท้อนเห็นเงาของเชลยศึกและผู้คุมวูบวาบบนผนังทำให้ที่นี่ได้รับการขนานนามว่า “ช่องไฟนรก” หรือ Hellfire Pass ในภาษาอังกฤษ อันนี้ข้อมูลจากวิกิพีเดีย











อันนี้น้องที่ร่วมเดินทางไปด้วยครับ เห็นตั้งใจถ่ายภาพมากกกก

ที่แท้ก็…….ถ่ายน้องๆไกด์ในพื้นที่นี่เองงงงง



อ่ะๆ ไปชมวิวรอบๆกันต่อดีกว่าครับ ให้น้องเค้าเก็บภาพของเค้าต่อไป





อันนี้ด้านในครับ




หลังจากพักรถ พักคนกันแล้ว คราวนี้ถึงเวลาที่จะต้องลุยกันต่อแล้วครับ

*********************
เริ่มออกตัวเดินทางกันต่อครับ และเตรียมไปสู่เนินที่ชันขึ้น และเส้นทางที่คดเคี้ยวมากขึ้น

ช่วงเส้นทางนี้เราจะโดนสั่งการให้ชะลอความเร็วโดยอัตโนมัติครับ เนื่องจากตอนนี้มีการปรับปรุงถนนบางส่วน
หลังจากที่ไม่เคยได้รับการปรับปรุงกันมานาน และแม้เส้นทางจะไม่สู้ดีนัก เจ้าAll new ก็ยังทำหน้าที่ได้อย่างดีไม่มีงอแง
ช่วงล่างถูกพัฒนามาจนลืมฟีลการขับขี่ของรุ่นเดิมได้อย่างสนิทใจ โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม ความแข็งกระด้างของโช็คโดนลดทอนลงไป
เจอหลุมบนถนนก็ยังไปได้แบบสบ๊ายยย อันนี้ชอบมากเป็นประการที่2
รถอะไรก็มาถึงเพียงแค่คุณออกมาแค่นั้นเองครับ ถ่ายคู่กะป้ายตามธรรมเนียม

ทางหลวง ไม่ใช่สนามแข่ง ไม่ต้องไว แค่ไปให้ถึงแบบปลอดภัยก็พอ
ไปกันแบบเรื่อยๆครับ ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องเร่ง
ส่วนเจ้า All new นั้นทำความเร็วในช่วงขึ้นเนินชันตลอดได้แบบไม่น้อยหน้าใครในระดับรถออโต้ CC เท่ากันจากที่ทดสอบมา
” เธอถึง ฉันถึง เราก็ถึง ”

จุดชมวิวเล็กๆ เพื่อแจ้งเราว่า เหลืออีกนิดเดียวก็จะถึงเป้าหมายละน้าาา


*****
*****

และก็มาถึงจุดหมายหลักที่ตั้งใจไว้ เช็คอินที่บ้านมีชื่นโยนกระเป๋า เตรียมตะลอนต่อ
ซึ่งแลนด์มาร์คของที่นี่ผมว่าเป็นเจ้าตัวนี้เลย
เจ้ากะปิ หมูหรือหมา กันแน่อันนี้ยังให้คำตอบที่แน่ชัดไม่ด้ายยยย




พอเคลียร์ของเข้าที่พักเสร็จที่ขาดเสียมิได้อีกหนึ่งสถานที่คือ น้ำตกจ๊อกกระดิ่น
ว่าแล้วก็ไปเลยสิรออะไร ตอนนี้ทางลงถึงตัวน้ำตกเทคอนกรีตเรียบร้อยหมดแล้วนะครับ ลงง่ายๆสบายๆ
สำหรับสายลุยที่เคยผ่านเส้นทางในอดีตมาก่อน ไม่ต้องเจ็บช้ำน้ำใจไปน้าาา
มีค่าใช้จ่ายในการเข้าชมนำตกคนละ40บาทถ้วนๆ



เรียบร้อยก็กลับไปยังเนินช้างศึก
จุดหมายหลักที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นๆ เพื่อไปเก็บโอโซน เก็บอากาศพิเศษให้ชุ่มปอดกัน
ก่อนกลับเข้าสู่ที่พัก


ณ จุดนี้ในวันที่ฟ้าเปิดเราจะเห็นขอบทะเลอันดามันได้ด้วยนะครับ ^^

*****
*****
คราวนี้ถึงเวลามาบอกเล่าเกี่ยวกับตัวรถกันบ้างครับ
จากการเดินทางด้วยระยะทางนึงผ่านลักษณะเส้นทางที่ค่อนข้างครับถ้วนขาดแค่ถนนเปียกเพราะฝนไม่ตก

all new click 125 i ให้ความรู้สึกต่างจากตัวรุ่นเก่าที่เคยขับหลายๆจุด   Smart Technology สมาร์ทเทคโนโลยี ที่มีการพัฒนาจากรุ่นสู่รุ่น
The Rise Of Super Sport A.T. นิยามใหม่แห่งผู้นำตัวจริง คำนี้อาจฟังดูเวอร์วังอลังการ แต่จากการใช้งานเบื้องต้นผมว่าสมน้ำสมเนื้อเลยนะ

รูปทรง ที่ปรับโฉมมาแบบไม่แอบสปอร์ต ลงตัวดีครับ จากการคร่อม มีการปรับตำแหน่งท่านั่งจากเดิมเล็กน้อย
อันนี้มีทั้งข้อดีและด้อยปะปนกัน เนื่องจากระยะช่องว่างขา พื้นที่โดนหดลงไปเล็กน้อย ระยะแฮนด์ใกล้ตัวมากขึ้น
ผู้ที่สูงยาวเข่าดี จะติดช่วงบังลมนิดหน่อย แต่ก็นะ มันช่วยให้การควบคุมรถง่ายขึ้นเช่นกัน
ส่วนเตี้ยๆแบบผมนั่งยันปลายเบาะนั่นแหล่ะถึงจะติด TT


ช่องเก็บของด้านหน้า ฝั่งซ้ายจะลึกกว่าฝั่งขวา เก็บของจุกจิก ได้ดี

เรือนไมล์ สวยงามตามท้องเรื่องครับ เห็นชัดเจน มีไฟต่างๆบอกครบถ้วน

ปุ่มควบคุมบริเวณแฮนด์อยู่ในตำแหน่งเดิม ตามสไตล์ฮอนด้า อันนี้ยอมรับว่า ยังไม่ค่อยชินนัก =_=
แต่ใช้งานไปสักพักก็โอเคละ กลับมาขับรถตัวเองก็หลงๆกันใหม่ ฮ่าๆ

กระจกมองข้างขนาดน้องๆช้าง ใครไม่ชอบผมชอบนะอันนี้ เห็นครอบคลุมดี
จะมีติดช่วงมุดๆในเมืองบ้างเนื่องจากความสูกกระจกจะเท่าๆกับของรถเก๋งทั่วๆไป

สวิทกุญแจรุ่นใหม่เวลาที่เราล็อคคอปุ๊บ ตัวชัตเตอร์สวิทจะปิดปั๊บครับ ซึ่งรุุ่นก่อนหน้าจะต้องเลื่อนปิดเอง
ทั้งสะดวก และ ไม่สะดวก ในคราวเดียวกัน

ยางที่ให้มากับรถทำหน้าที่ได้ดีถ้าเราไม่ขับขี่แบบประมาท
ความสามารถในการยึดเกาะถนนแห้งไว้วางใจได้อยู่ครับ ในส่วนถนนเปียกนี่ผมไม่เจอฝนเลยไม่ได้ลอง


ระบบอีกอย่างที่ชอบคือ  IDLING STOP ครับ ดับเครื่องเองเมื่อจอดรถ และสามารถออกตัวได้ทันทีแค่บิดคันเร่ง
ซึ่งมันเป็นระบบเล็กน้อยที่มีประโยชน์ใหญ่หลวง ช่วยเรื่องความประหยัดน้ำมันได้อย่างดีทีเดียว

และเป็นส่วนนึงของสมาร์ทเทคโนโลยีเลยนะ ตามที่ผมอ่านจากโบชัวร์
สมาร์ทเทคโนโลยีประกอบไปด้วย หัวใจหลัก 3 อย่าง
1- ระบบเครื่องยนต์ ESPกับระบบหัวฉีด PGM Fi
2-ะบบหยุดทำงานของเครื่องยนต์ชั่วคราว หรือที่เรียกว่า iDling Stop System
3-ระบบคอมบายเบรก [Combi Brake]
ที่บอกว่าชอบ IDLING STOP เพราะมันเป็นอย่างแรกที่รับรู้ได้จากการใช้งานจริงๆในชีวิตประจำวัน อย่างที่บอกบนหัวกระทู้ต้นๆ ผมไม่แม่นเรื่องสเป็คเครื่องยนต์ แต่ทราบมาคร่าวๆว่า ในตัว all new มีการปรับเฟืองทดรอบใหม่ ทำให้ออกตัวได้นิ่มและแน่นขึ้น ส่วนความเร็วปลายไม่แตกต่างจากเดิม
จากการขับขี่เดินทางไกลๆ ทำให้ไม่ค่อยได้ใช้ ระบบ IDLING STOP เท่าไหร่นัก
พอมากลับมาใช้ชีวิตในกรุงนี่ได้ใช้แน่ๆครับทำให้ได้รับรู้อีกอย่างเพิ่มว่า เมื่ออยู่ในเมือง การทำงานทั้งระบบ+ความเร็วที่จำกัด
ติดไฟแดงเป็นว่าเล่นเหมือนๆเดิม มันประหยัดกว่าตัวเดิมขึ้นมาอีก แม้จะแพ้เมื่อเดินทางไกลๆ แต่ทางใกล้ๆกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
มันเยี่ยมกว่าครับ

บั้นท้ายรวมถึงที่ล็อคเบาะพัฒนาขึ้น เยเย้  รุ่นเดิมเจอปัญหาท้ายสั่น เบาะหลุดล็อคเอง ตัวใหม่ได้รับการพัฒนาขึ้นแล้วนะครับ
ไม่โคลงเคลงเหมือนเดิม และเบาะไม่หลุดออกจากล็อคเองแหล่วววว
ช่องเก็บของใต้เบาะ ตื้นกว่าเดิมเล็กน้อย ใส่หมวกเต็มใบได้อยู่ครับ แต่ถ้าหมวกที่ทรงหัวสูงๆหน่อยจะปิดเบาะไม่ได้ อันนี้ต้องดูหมวกที่เราใช้งานกันอีกที




แล้วเจ้า All new click 125 i เหมาะกับใคร?
1-เหมาะกับคนที่ใช้งานเอนกประสงค์
2-ชอบรถที่ควบคุมได้ง่ายๆ
3-ชอบความปราดเปรียว
4-ชอบเทคโนโลยีของฮอนด้า
5-ชอบรถที่กำลังต้น-กลาง-ปลายดีสมส่วนกัน

ไม่เหมาะกับ ?
1-คนที่ขายาวๆ มันจะชนจนน่าหงุดหงิดในบางครั้ง แต่ก็ขับขี่ได้ปกตินะ
2-ชอบเดินทางไกล ไม่ได้บอกว่ามันทำได้ไม่ดีนะครับ มันดีในระดับนึงเลย แต่มันกินนำมันกว่าตัวเดิมนิดหน่อย
3-ชอบรูปทรงคลาสสิค
4-ต้องการที่เก็บของใหญ่ๆ

ปิดท้ายเกี่ยวกับตัวรถด้วยสเป็คที่หาอ่านได้ทั่วไปกันสักนิด


*****
*****
กลับมาที่การเดินทางกันต่อครับ
เช้าวันต่อมา เรากลับขึ้นสู่เนินช้างศึกอีกครั้ง เพื่อลุ้นหมอกฝั่งเพื่อนบ้าน
โชคไม่ค่อยเข้าข้างเท่าไหร่ครับ ลมพัดแรงเหมือนโดนจ่อด้วยพัดลมอุตสาหกรรมเบอร์8
แต่ก็ยังหลงเหลือ แอ่งหมอกเล็กๆให้ได้พอมองเห็นอยู่บ้าง




เขียนกระทู้มาถึงตรงนี้ ผมก็ยังยืนยันครับว่า ไม่ว่ารถอะไรก็มาถึง แค่คุณออกมา เท่านั้นแหล่ะ ^^

เก็บเกี่ยวเศษหมอกเสร็จ ก็ได้เวลาเตรียมตัวลาปิล็อกกันแล้วครับ
หมู่บ้านเล็กๆในขุนเขา ที่ยังดำรงไว้ด้วยวิถีชีวิตแบบเดิมๆ
ก่อนกลับตะลอนทัวร์กันสักนิด






ไว้ปีหน้าจะกลับมาใหม่ ตามสัญญาใจอีกครั้ง บ๊าบบาย
*****
*****

ขับรถเล็กๆ ไม่เหนื่อยเหรอ ไม่เบื่อเหรอ
.
.
ผมว่าคำตอบของแต่ละคนคงแตกต่างกันไป
รถจะใหญ่ จะเล็ก อาจเป็นแค่ตัวแปรต้นๆของการเดินทางของแต่ละคน
อย่างที่เคยบอกเล่าไปแล้วว่า
ในวันที่เราเดินทางได้เร็ว สักวันก็มีคนที่เร็วกว่า
ในวันที่เราเดินทางได้ไกล สักวันก็มีคนที่ไกลกว่า
ในวันที่เราเข้าโค้งได้ลึก สักวันก็มีคนที่ลึกกว่า
และ
ในวันที่เราช้า สักวันก็มีคนที่ช้ากว่า
..
บางคนใจใหญ่กว่ารถ บางคนรถใหญ่กว่าใจ
แต่มันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรเลย
ขอแค่ให้สิ่งที่เราขับได้ออกเดินทาง
ได้ไปอย่างที่เราตั้งใจก็น่าจะพอแล้ว
.
เพราะสุดท้าย สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเดินทาง ไม่ใช่ไปให้ไกล ไปให้ไว แต่เป็นการไปให้ถึงอย่างปลอดภัย แค่นั้นเองจริงๆ
.

สำหรับกระทู้กึ่งรีวิว กึ่งท่องเที่ยวครั้งนี้ ขอบคุณ บริษัท เอพี ฮอนด้า http://www.aphonda.co.th/2015/aphonda-home.ashxที่ให้รถมาทดสอบ และบอกเล่าการเดินทางในรูปแบบปกติตามสไตล์ของผู้ทำกระทู้

หวังว่าจะมีประโยชน์ ไม่มาก ก็น้อย สำหรับผู้อ่านนะครับ มีอะไรสอบถามเพิ่มเติมเรื่องเส้นทาง เรื่องการขับขี่เจ้าคลิ๊กตัวใหม่
หรือจะนำเสนอ สามารถแลกเปลี่ยนขอรับข้อมูลกันได้ อะไรที่ทราบจะรีบตอบกลับให้ และอไรที่ไม่ทราบจะพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมให้

สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ ^^