รอบนี้ไม่ได้มาคุยเรื่องรถนะจ๊ะ แต่มาคุยกันเรื่องเที่ยวจ้า กระทู้นี้รับไม้ต่อมาจาก Freeman Rider
ที่ติดภาระกิจไม่อาจเขียนต่อให้จบได้
แน่นอนว่า เห็นLogin นี้ตั้งกระทู้ ฟันธงได้ล่วงหน้าเลยว่า “รูปเยอะ เรื่องแยะ เผลอๆเขียนข้ามวัน๕๕๕”
ที่มาของการเดินทางครั้งนี้ เกิดจากความคิดว่า”ถ้าเรามีรถมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กคันนึง แต่อยากพาไปเที่ยวไกลๆ ข้ามไปลาวอะไรแบบนี้ เราต้องขี่ไปเองไหม ใช้เวลาเท่าไรในการเดินทาง….”
มันมีตัวเลือกอื่นในการเดินทางไหม….
แต่เงื่อนไขหลักคือ…เดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์นะ
จึงเป็นที่มาของ [RIDE NOW] ຍົດລົດຈັກໃສ່ລົດໄຟ ໄປວັງວຽງ อ่านว่า “ยกรถจัก ใส่รถไฟ ไปวังเวียง” นะจ๊ะ
ขอบคุณ ท่าน ທ້າວວຸດທິສັນ ສະສົມ ที่ช่วยเคาะชื่อกระทู้ภาษาลาวให้นะครับ
(รถจักรยานยนตร์ฝั่งลาวเรียกรถจัก)
ตามแผนการเดินทาง จริงๆชวนคนนึงไว้ แต่พอดีคนนั้นมีเหตุขัดข้องฉุกเฉินทำให้ไม่สามารถเดินทางได้ หวยจึงไปออกที่ Freeman Rider แบบกระทันหัน เรียกได้ว่ารู้ปั้บ อีกวันแพคกระเป๋า อีกวันโดดขึ้นรถไฟนั่นแหละ
เราเริ่มการเดินทางด้วยการไปเอาเจ้า DEMON ทั้งสองคันที่กองบัญชาการบางบัวกันก่อน
จากนั้น ก็ต๊อกๆย่องๆไปหัวลำโพงกัน รถออกสองทุ่ม แต่เราไปกันตั้งแต่สี่โมงกว่าๆ(กันเหนียว)
การเอามอเตอร์ไซค์ขึ้นไปกับรถไฟนั้นก็ไม่ยากเลย แค่เรามีตั๋วเดินทางของขบวนนั้น (คือเราต้องไปพร้อมรถนั่นแหละ) แล้วก็ไปติดต่อที่ตรงนี้ครับ ที่ชั่งสัมภาระ จะอยู่ข้างๆรั้วแถวๆป้ายรถเมลล์
พนักงานที่จุดนี้ก็อัธยาศัยดี บริการและอธิบายคำตอบได้ดี ค่าระวางประมาณ800บาทจ้า เอกสารก็ตามที่เห็นเล้ย บัตรโดยสาร(ตั๋ว) บัตรประชาชน คู่มือรถตัวเป็นๆ (ถ้าไม่ใช่เจ้าของรถก็ต้องมีหนังสือมอบอำนาจมานะ)
แล้วก็จะได้เอกสารเกี่ยวกับระวางสินค้าเย็บแนบมากับตั๋ว อ่อ ค่ายกรถอะไรไม่โดนเรียกนะ พอไม่เรียกก็เลยทิปพี่ที่ยกขึ้นไปสองคันร้อยนึง แล้วก็บอกพี่เค้าว่า มัดดีๆนะเพ่นะ
จัดการสัมภารกแล้ว ก็หาที่นั่งรอขึ้นรถครับ (เวลาเหลือเพียบ) อยากนั่งรอ นอนรอ เลือกตามสะดวก….แต่ผมขอไปนั่งบนร้านกาแฟนะ ๕ ๕
รอสักพักใหญ่ๆ กาแฟก็หมดละ ดูดดดดจนไม่รู้จะดูดอะไรขึ้นมาจากแก้ว งั้นก็ลงไปเดินเล่นก็แล้วกัน
รอจนรถขบวนที่เราจะไปใกล้จะเทียบชานชลา พี่ๆเขาก็จะเข็นรถที่จะยกขึ้นขบวนมารอข้างชานชลา
โอกาสแบบนี้…ถ่ายรูปเล่นสิครับ รออะไร ๕๕๕
มาดูเชือกที่พี่เขาใช้มัดรถครับ…เส้นเล็ก…แต่แข็งแรง(มั้ง)นะ
ตอนยกรถผมถ่ายไม่ทัน ตอนยกขึ้นแล้วก็โอเคนะ มัดแน่นหนาดี
อาหารตามสั่งใส่กล่อง+เมนูสิ้นคิด กับบรรยากาศริมชานชลา แหม่ มันได้อารมณ์จริงๆ
นิดนึง สำหรับสตรีและเด็ก มีขบวนเฉพาะนะครับ ปลอดภัยเลยล่ะ
เมื่อขบวน 69 มาเทียบแล้ว ขึ้นไปตากแอร์ดีกว่า เราเลือกตู้นอนปรับอากาศชั้นสอง คนนึงนอนบน อีกคนนอนล่าง ลงตัวพอดีจ้า แรกๆก็นั่งไปก่อนได้เนอะ แต่รถวิ่งไปแถวๆอยุธยาเจ้าหน้าที่ก็จะมาปรับเป็นที่นอนให้จ้า(แต่ถ้าอยากนอนไวก็ขอให้ปรับเลยตอนมาถามรอบแรกก็ได้นะ) ค่าโดยสาร คิดแบบกลมๆก็ประมาณ700จ้า (ดูตัวเลขชัวร์ๆได้ที่เวปการรถไฟโลด)
ตรวจตั๋วฮะพี่ตรวจตั๋วววววว
ด้วยความที่พอจะมีประสบการณ์ ตอนไปซื้อตั๋ว ก็บอกพนักงานขายตั๋วเลยว่า เอาที่ๆติดกับปลั้กไฟนะครับ (ตั้งตู้จะมีอยู่ไม่กี่จุด)
ปรับนอนแล้วจะเป็นแบบนี้จ้า
เตียงบน
ใครกลัวความสูงหรือปีนลำบาก นอนล่างนะ ส่วนผมแข็งแรงพอปีนไหว นอนบนก็ได้อยู่
พอถึงอยุธยา พนักงานตู้เสบียงก็เดินมาแซวว่า กินไรไหมพี่ ตู้เสบียงจะปิดแล้วนะ…พอแซวเท่านั้นแหละ ท้องร้องครากกกก เฮ่ย ได้ข่าวว่าเพิ่งกินข้าวมากล่องนึงนะ หิวไวจัง
เมนูฮิต สั่งมาโลดข้าวผัดรถไฟ เซทละร้อย ได้ข้าวผัด ต้มจืดถ้วยเล็ก น้ำส้มคั้นขวดเล็ก ก็โอเคนะ
นั่งชิลๆ วิวเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพลินไปอีกแบบ
หลังจากอิ่มแล้วก็กลับตู้นอน กลิ้งไปกลิ้งมาเล่นมือถือไปเรือ่ยๆก็หลับไปเอง ตื่นมาอีกทีก็อุดรแล้ว
พอถึงอุดร..ก็โทรหาใครบางคน ที่ไม่ใช่คนบางแค ปลายสายบอกว่า แก รถชั้นแบตน่าจะเสื่อมว่ะ(ค่ะ) เดี๋ยวให้พ่อดูให้แปบนึงนะ
ไปเดินเล่นตู้นั่งปรับอากาศดีกว่า
เบาะใหญ่ดี ฝรั่งนั่งสบาย ปรับเอนได้นิดหน่อย
ขออนุญาตเจ้าหน้าที่ที่ดูแลตู้นี้ว่าขอลองนั่งหน่อยนะพี่ โอเคไม่มีปัญหา เออ กว้างดีนะ
ปิดท้ายบนรถด้วยที่พึ่งของทุกชั้น….ห้ามใช้ในขณะรถจอดสถานีนะจ๊ะ
มีเพื่อนสาว สปอร์ต ใจดี ขี่เอนดูโร่ ทั้งๆที่แบตรถตัวเองกำลังจะไปเกิดใหม่ก็ยังดั้นด้นมาแจม ฮู้วววว ขอบใจหลายเด้อเพื่อน
เอาล่ะ มาถึงจุดที่เรียกว่าไคลแมกซ์ของทริปนี้เลย…
ตั้งแต่ตอนวางแผน ก็รู้อยู่แล้ว ร่ำลือกันหนักหนาในหมู่ไรเดอร์ที่ชอบข้ามไปเที่ยวลาวว่า….
ด่านสะพานมิตรภาพหนองคาย ศุลกากรของ สปป.ลาว ไม่อนุญาตให้รถจักที่เครื่องเล็กกว่า 250cc ข้ามไปเวียงจันทร์
คือแม้แต่ไรเดอร์ที่อยู่หนองคายที่ขี่ไปลาวประจำเขายังบอกเลยว่าข้ามแล้วเข้าไปไม่ได้นะ ต้องไปเข้าห้วยโก๋น(ถ้าจะไปหลวงพระบางหรือวังเวียง)
คือฝั่งไทยให้ผ่านไปนะ แต่พี่ศุลกากรฝั่งไทยก็บอกว่า ฝั่งนู้นเขาอาจไม่ให้เข้านะ ถ้าเขาไม่ให้เข้าก็ขี่ข้ามกลับมา..ก็แล้วกัน เอิ่มมมมมม
เอกสารที่ใช้ ก็มีพาสสปอร์ต>>>สำเนาบัตรประชาชน>>>คู่มือจดทะเบียน(เล่มเขียว)>>>>ใบแปลเล่มเขียว(ขอที่ขนส่ง)>>> ถ้าไม่ใช่เจ้าของรถก็ทำหนังสือมอบอำนาจมาด้วยจ้า>>> สำเนาทั้งหมดใช้สองชุดนะ >>> ค่าธรรมเนียมเกือบๆ400 บาท
สำเนาทะเบียนบ้าน เห็นบอกกันเยอะว่าเตรียมไปเผื่อไว้…ก็ใครจะเผื่อมาก็ไม่เป็นไรนะ แต่ผมไม่ได้เผื่อมา๕๕๕
ผ่าน ตม.ฝั่งไทย ผ่าน ศุลกากรฝั่งไทย…ข้ามไปแล้วจะได้เข้าไหม
ตามคลิปเลยจ้า
สรุปจากที่คุยกับศุลกากรฝั่งลาวคือ…เข้าได้นะ มาเถอะ อยากให้มา ถ้าเอกสารครบแล้วมาเที่ยวน่ะ 50cc.ก็ให้เข้า
กรี๊ดดดดดด รอดแล้ววววววว (นึกว่าต้องกลับเข้าไทยแล้วไปขี่เข้าทางห้วยโก๋นซะแล้ว)
ด้วยความที่เราใช้เวลาช่วงเช้าและเที่ยงอยู่ฝั่งหนองคายไปแล้ว ช่วงบ่ายที่เหลือกับระยะทางอีกเกือบ180กิโลเมตรใน สปป.ลาว ที่เอาแน่เอานอนอะไรกับถนนฝั่งนั้นไม่ค่อยได้ (คือไปได้แหละ แต่บางช่วงอาจทำถนน นู่นนี่นั่น)
ช่วงบ่ายจึงเป็นช่วงรูดยาวๆ จากสะพานมิตรภาพเข้าตัวเมืองเวียงจันทร์ก็ประมาณ 20 กิโลเมตร เราก็ยึดถนนหมายเลข13กันยาวๆ วิ่งผ่านกลางเมืองเวียงจันทร์ขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ วันนั้นอากาศร้อน แดดแรง แทบจะแวะกินน้ำทุกๆ30กิโลเมตร
แปลกแต่จริง….ในหน่วยวัดระยะทางเป็นกิโลเมตร ถ้าเราวิ่งบนถนนในไทย ใช้เวลาเท่าไร วิ่งใน สปป.ลาว ต้องบวกเพิ่มไปอีกพอประมาณ พูดง่ายๆว่าประมาณ180กิโลเมตรเนี่ย สำหรับสายชิลๆจะวิ่งกันครึ่งวันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ประมาณบ่ายสามกว่าๆเพิ่งจะถึงหินเหิบ ตรงนี้ก็จะมีสะพานข้ามแม่น้ำซอง ที่ก็ไหลมาจากทางเหนือผ่านวังเวียงลงมาเช่นกัน
อ๊ะ ฝั่งนู้นมีสะพานน่าสนใจ
จะว่าไป ถนนใน สปป.ลาว เนี่ยใน ห้องรัชดา #มอเตอร์ไซค์ ก็มีหลายท่านวิ่งกันมาจนพรุนแล้วล่ะ แต่จะมีคนหนึ่ง ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นนักบิดไทยรุ่นบุกเบิกสำหรับการขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวใน สปป.ลาว จะผ่านถนนเส้นหลักเส้นไหนก็ต้องวิ่งทับรอยบุคคลท่านนี้มาแล้วทั้งนั้นจะเป็นใครไปได้ล่ะ ตามภาพเลย ศิษย์ย่อมตามรอยล้อของพระอาจารย์(วิชิต บางซ่อน)อยู่แล้ว
จากนั้นก็รูดยาวๆ แวะกินน้ำอีกนิดนึง แล้วขึ้นเหนือไปเรื่อยๆอีกประมาณ 70 กิโลเมตร ก็ถึงวังเวียง ตอนที่ไปถึงก็เกือบๆหกโมงเย็นแล้ว
สภาพตอนนั้นเหนียวตัวมากกกกกกก (ไม่ได้อาบน้ำมาเกือบสองวันแล้ว อิอิ) ลองขี่ข้ามสะพานไม้(ที่ไม่ต้องเสียค่าข้าม) ไปดูที่พักแถวๆที่ติดน้ำ โอ้ววววว ทำไมมันแพงกว่าที่หาข้อมูลมาล่ะ ติดน้ำนี่อย่างต่ำก็900เลยนะ (ไม่เอาอาหารเช้าคิด700)
(ขอคิดเป็นเงินบาทนะจะได้ไม่งง)
เลยตัดใจ ไม่เอาริมน้ำก็ได้ ชิ!!
มาหาที่พักแถวถนนที่มีที่พักเยอะๆ เลือกไปเลือกมา เฮ้อ เอานี่ละกัน คืนละ600 มีน้ำอุ่น มีแอร์ มีไวไฟ สภาำห้องโอเค เตียงแยกกัน สะอาด มีระเบียงให้ผึ่งผ้า มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งเล่นได้ แค่นี้ก็พอแล้วล่ะเนอะ (อันหลังสุดนี่ขาดแล้วลำบากเลย เพราะไมไ่ด้ซื้อซิมลาวมาใส่เครื่อง)
ผลปรากฎว่า สอบผ่านจ้า สรุปจานนึงประมาณหนึ่งร้อยบาทตามมาตรฐานร้านตามสั่งในสถานที่ท่องเที่ยวของ สปป.ลาว แล้วก็มาตรฐานอีกเช่นกันว่าถึงจะแพงไปหน่อยถ้าเทียบกับฝั่งไทย แต่ก็ให้เยอะ ถ้าคนกินไม่เก่งนี่มีจุก ส่วนไซส์หมีไซบีเรียอย่างนู๋ก็อิ่มสบายท้องพอดี เห็นแบบนี้นี่ข้าวมาแบบแน่นๆเลยนะ เจอร้านแบบนี้ฝากท้องไว้ที่นี่สองมื้อเลยจ้า แม่ค้าก็ใจดีพูดจาดีบริการดีมาก
และแน่นอน มาถึง สปป.ลาว ก็ต้องชาบูดยี่ห้อนี้เท่านั้น โอวววว พูดตรงๆนะ ชอบกว่าชาบูดไทยทุกยี่ห้อเลยอะ
ปิดท้ายวันที่สองของการเดินทาง มาดูเกจน์น้ำมัน อืมมมม เติมเต็มถังจากหนองคาย ลากยาวมาถึงนี่ ยังเหลืออีกสามขีดเลยเร๊อะ
ตื่นสายเพราะชาบูด(แหน่ะ ไปโทษช้าอีก จริงๆขี้เกียจเองเหอะ)
ล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็รีบห้อเจ้าปีศาจน้อยมาที่นี่ทันที ที่ๆไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งพวงเมื่อคุณมาถึงวังเวียง
จะผ่านเข้าไปต้องซื้อปี๊(ตั๋ว) ก่อนนะคนละหมื่นกีบเด้อ
มาถึงในเวลาที่เหมาะสม บรรยากาศก็เลยยังค่อนข้างสงบอยู่ อ่อ ข้อดีของรถจักเมื่อมาบลูลากูนคือ จอดข้างๆตรงที่เล่นน้ำได้เลยจ้า
มาถึงวังเวียง แต่อุตริสั่งผัดไท….ได้ผัดอะไรสักอย่างหน้าตาแบบนี้มาซะงั้น
หลังจากกินมื้อเช้ากันแล้ว สรุปได้ว่าเดี๋ยวจะขึ้นถ้ำปูคำแล้วรีบกลับไปเช็คเอาท์ แล้วค่อยกลับมาเล่นน้ำจะดีกว่า
ก่อนขึ้นถ้ำจะมีไฟฉายให้เช่านะ แต่ถ้ามือถือมีไฟฉายให้ใช้ก็ไม่ต้องเช่าก็ได้ พอถูๆไถๆไปได้อยู่
ทางขึ้นค่อนข้างชันเอาเรื่องอยู่หลายจุด ถ้าแข็งแรงหน่อยก็สักสิบนาทีพอได้ แต่ไซส์หมีอย่างนู๋ฟาดไปกว่ายี่สิบนาที
เข้าไปในถ้ำค่อนข้างเย็นสบาย บรรยากาศประมาณนี้
ใครอยากแอดเวนเจอร์ต่อก็ถือไฟฉายลุยเข้าไปทางนั้นดูก็แล้วกัน (ฝรั่งชอบมาก)
ลงจากถ้ำก็ปาไปห้าโมงเช้าแล้ว รีบบึ่งกลับมาเชคเอาท์เพื่อเปลี่ยนที่พัก นั่งหาๆดูก็ได้ที่นี่ (ได้ข่าวว่าเจ้าของเป็นคนไทยด้วย)
เครดิตเพจแบกกล้องเที่ยวจ้า
ได้ห้องนี้ในราคาห้าร้อย ก็โอเคอยู่ล่ะนะ ติดริมน้ำด้วย
เปิดหน้าต่างไปชมวิวริมน้ำเสียหน่อย….เอ๊ะ มันแปลกๆ
อะหืมมมมม
ก็แบบนี้แหละนะ
อยากจะบอกว่า…ปรับปรุงการระบายน้ำเสียจากอาคารต่างๆในวังเวียงเถอะ
ตำแหน่งของจุดที่ถ่ายภาพก็ประมาณนี้
ย้อนมาเก็บรายละเอียดกันอีกรอบ ถ้าข้ามสะพานแดง(เสียเงินมา) ก็จะเจอะป้ายนี้ที่บอกทางไปที่เที่ยวต่างๆ ป้ายค่อนข้างเชื่อถือได้นะ ใครมาก็งมเอาตามนี้เลยจ้า
[img]http://f.ptcdn.info/528/042/000/o6xz7azwn6ycjn68Hzx-o.jpg[/imgพอเห็นป้าย ก็ดิ่งขวายาวๆจนกว่าจะเจอสามแยกตัววาย ป้ายบอกให้เลี้ยวขวาชัดเจน
ไม่ลงน้ำก็มีมุมให้หลบร้อนได้ทั้งใต้ร่มไม้และใต้ร่มเพิง
หลังจากเล่นน้ำจนฉ่ำอุราแล้ว (น้ำเย็นมากกกก) ก็กลับที่พักมาเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน กลิ้งไปกลิ้งมา..ประมาณบ่ายสามจะออกไป tubing …อ้าววววมาช้าไปจ้า ปิดทัวร์แล้วจ้า
ดังนั้นใครอยากไป tubing นี่ควรไปถามแต่หัววันนะครับ เพราะต้องใช้เวลาล่องประมาณสามชั่วโมง เราเตือนคุณแล้วนะ
ระหว่างนั้นก็เคว้งสิครับ นั่งสไลด์หน้าจอเจอสมาชิกชี้เป้าว่า ทำไมไม่ไปผาตั้งล่ะ
สมาชิกหน้าเพจส่งรูปนี้มาเป็นเบาะแสครับ
เอารูปให้คนพื้นที่ดู ได้ความว่าต้องขี่ขึ้นเหนือไปอีกประมาณเกือบๆสี่สิบกิโลเมตร…เอ้า ไหนๆก็เคว้างแล้วนี่ ดีกว่านอนผึ่งพุงเปล่าๆปลี้ๆ ไปก็ไปเนอะ
หลังจากขี่ร่อนในวังเวียงมาพอสมควร ก็ได้เวลาของแอ๊ดซังแล้วจ้า ใน สปป.ลาว เป็นเบนซิน91เพียวๆนะครับ
เวลาเติมถ้าไม่ให้งงก็บอกไปเลยครับว่าเอากี่กีบกลมๆ ผมเติมไปหมื่นกีบ ได้มาลิตรกว่าๆ
ใต้สะพานน้ำค่อนข้างลึก มีชาวบ้านมาเล่นน้ำกันหลายคนเลย
ได้ข่าวว่ามีฝรั่งเคยโดดลงไปด้วยนะ ส่วนชะตากรรม..แหล่งข่าวบอกว่าหายไป หาไม่เจอ…แต่เราไม่โดดหรอกนะ แค่ไปรับพลังธรรมชาติก็พอแล้วล่ะ
แล้วเขาก็เลี้ยวรถกลับมา เราต่างแนะนำตัวแล้วบอกที่ผ่านมาและที่หมายต่อไป เขาชื่อ”เสี่ยวเหยา” ขี่คันนี้ลงมาจากจีน แล้วกำลังจะไปหลวงพระบางเราก็ทัก เฮ้ย เสี่ยวเหยา คุณจะไปหลวงพระบางจากตรงนี้เวลานี้เนี่ยนะ (ตอนนั้นประมาณห้าโมงเย็น) จากจุดนั้นไปหลวงพระบางเป็นระยะทางประมาณสองร้อยกิโลเมตร เกินครึ่งเป็นเส้นทางคดเคี้ยวบนภูเขาไม่สามารถใช้ความเร็วสูงได้ คุณจะถึงหลวงพระบางอย่างไวก็สามทุ่มเลยนะ…เขายังยืนยันที่จะไป เราจึงแนะนำด้วยความห่วงใยว่าถ้าไม่ไหวก็แวะหาที่พักเน้อ กลางคืนมันอันตราย(หลอดไฟขาดขึ้นมากลางป่ากลางเขาจะงามไส้นะเสี่ยวเหยา) จากสายตาที่เป็นมิตร และพลังความมุ่งมั่น ผมรู้ว่าเขาต้องไปถึงหลวงพระบางในคืนนั้นแน่ๆ เราจึงได้แต่บอกว่า ขอให้คุณเดินทางปลอดภัย…ขอสายลมจึงอำนวยพร เราเชื่อว่าเขาต้องถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
อิ่มเอมใจ…กลับวังเวียงดีกว่า ระหว่างทางเราใช้ความเร็วที่เสพสุขจากบรรยากาศรอบๆ แล้วเราก็มาเจอะตรงนี้
เขาพาเรามา เราจะเล่นน้ำซองคนเดียวก็กระไรอยู่ มาๆ เล่นด้วยกัน
จากนั้นก็เข้าที่พัก(ตัวเปียกมาไง) ว่าสักสามทุ่มจะออกไปตึ้ดๆที่ซากุระบาร์สักหน่อย ปรากฎว่าพายุเข้าจ้า ลมแรงมาก ชาวบ้านเก็บร้านปิดบ้านหนีกันหมดเลย อืม ได้ชาบูดขวดเล็กมานั่งดื่มในห้องเพื่อปลอบใจตัวเองก็ยังดีนะ
ฤทธิ์ของชาบูดทำให้พอข่มใจได้บ้าง กลิ้งไปกลิ้งมาสักพักก็หลับปุ๋ย แต่เหมือนจิตใต้สำนึกว่ามันต่อต้านว่าเฮ้ยยยย มันใช่เวลานอนเหรออออออ
สะดุ้งมาตอนห้าทุ่ม เปิดประตูออกไปดู ลมสงบแล้ว ว่าแล้วก็เลยปลุก Freeman rider ป่ะ….อย่าให้เสียที
Mission complete!!!
ตื่นมากลางดึกแบบนี้ ผับปิดแล้วจะทำอะไร ตามวงจรก็แมงเม่าที่ระเริงแสงสีอย่างเราสอง…
ชายสี่หมี่เกี้ยวสิครับ!!
มีติ่มซำด้วยนะเออ สบายพุงละโอมมี่
คืนสุดท้ายใน สปป.ลาว ผ่านไปอย่างสงบไม่มีสุกี้น้ำแต่อย่างใด
เช้ามา freeman rider ก็ตื่นไปเดินเล่นในตัวเมือง ไปดูตลาดเขาหน่อยนึง ส่วนผมเหรอ…นอน ๕๕๕
ยังพอมีวิถีชุมชนเหลืออยู่บ้างนะ ในเมืองท่องเที่ยวชื่อดังขนาดนี้…
วัดวาอาราม ก็แวะไปสักการะบ้าง
ขากลับไม่มีอะไรมาก ไปเรื่อยๆไม่ต้องรีบเร่ง มีเวลาทั้งวัน ร้อนก็แวะ เหนื่อยก็พักแต่อยากจะบอกว่า ถนนหนทางใน สปป.ลาว แค่สองวันผ่านไปก็อาจเป็นหนังคนละม้วนได้อย่างสองภาพนี้ ขามาไม่มีแบบนี้นะ ระวังด้วยบ้านเขาเมืองเขา เป็นอะไรขึ้นมามันลำบากกว่าบ้านเรานะ
อย่างที่บอกไป รอบนี้อากาศมันร้อนสุดโต่งมาก ค่าข้าวนี่เสียไปน้อยกว่าค่าเครื่องดื่ม
ราคาก็ตามที่เห็น ในภาพจะเป็นราคาในมินิมาร์ทของปั้มใหญ่ข้างทาง
เติมน้ำมันปั้มสุดท้ายใน สปป.ลาว ทริปนี้(เติมแค่พอถึงหนองคายก็พอนะ) เราเลือกปั้มที่อุ่นใจ กับร้านกาแฟที่คุ้นเคย
จุดหมายช่วงบ่ายวันสุดท้ายของการเดินทางใน สปป.ลาว รอบนี้
ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละครับท่านผู้ชม
แนะนำร้านอาหารในเวียงจันทร์นิดนึง
ร้านนี้อยู่ข้างๆวัดธาตุหลวงเลยจ้า จากจุดที่ถ่ายภาพด้านบน ร้านจะอยู่เลียบกำแพงด้านขวามือ
รสชาติดี ราคาถือว่าไม่แพงเลย แม่ค้าก็ใจดีด้วยนะ นั่งตากพัดลมสบาย
หลังจากนั้นเราข้ามกลับมาฝั่งไทย ขั้นตอนก็ไม่มีอะไรมาก เอกสารขามาน่ะเก็บไว้ให้ดี ขากลับได้ใช้ทั้งหมดนะจ๊ะ ยื่นตามขั้นตอน ถ้าเอกสารครบก็ราบรื่นดี ขี่ข้ามสะพานมิตรภาพกลับฝั่งบ้านเราได้เลย
ข้ามมาแล้วเวลายังเหลือ ก็แวะไปไหว้พระคู่บ้านคู่เมืองหนองคายสักหน่อย
มื้อเย็นวันนั้น ก็เล่นกันข้างชานชลานั่นแหละ
ปิดทริปนี้ด้วยอาหารมาตรฐานของตู้เสบียง เห็นแบบนี้อร่อยเลยนะเออ
จากนั้น ขบวนที่ 70 ก็ถึงกรุงเทพตามนัดหมาย เราเลือกยกรถลงที่สถานีบางเขน แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
บทสรุป….
หากคุณมีมอเตอร์ไซค์เล็กสักคัน(ขนาดเครื่องยนต์100cc.-250cc.)
แล้วอยู่กรุงเทพ…เห็นเขาไปเที่ยววังเวียงกัน อยากจะไปบ้าง…
จะขี่ไปดีไหมนะ…กรุงเทพ-หนองคาย ออกเช้า ถึงเย็นหรือค่ำ ไปถึงก็ต้องไปนอนคืนนึงแล้วอีกวันค่อยข้าม ค่าน้ำมัน ค่ากิน ค่าที่พัก..ไม่นับความเหนื่อยล้า ตีรวมแล้วเท่าไรหนอ
ข้ามไปเที่ยวอย่างน้อยๆก็สองวันหนึ่งคืน…ข้ามกลับมาก็ต้องขี่กลับกรุงเทพอีกวันนึงเต็มๆ กลับมาถีงนอนสลบ อีกวันสโล๋สเหล๋ไปทำงาน จะเหนื่อยไปไหมนะ
สรุป โดนแล้วแน่ๆสี่วัน….แถมได้อยู่ในลาวแค่คืนเดียวด้วย
แต่ถ้าแบบที่เล่าไปล่ะ
ลองนึกภาพตามสิ ลางานวันศุกร์หนึ่งวันพอ…วันพฤหัสรถไฟออกสองทุ่ม ไปถึงหัวลำโพงสักหกโมงครึ่งก็ยังโหลดรถขึ้นทันสบายๆ นอนเหยียดขาตรงในห้องปรับอากาศก็สบายพอได้อยู่ ตื่นเช้าวันศุกร์ถึงหนองคายก็ยกรถลง ทำเรื่องข้ามด่านสักชั่วโมง ขี่ข้ามไปสักห้าชั่วโมงก็ถึงวังเวียงหาที่พัหอาบน้ำออกมาหาอะไรกินชิลๆได้ละคืนแรกที่วังเวียง
เช้าวันเสาร์ตื่นมาก็ไปขี่รถเราไปเที่ยวตามที่ๆอยากจะไป พอค่ำก็ได้นอนวังเวียงอีกคืนนึงสบายๆ
ตื่นมาเช้าวันอาทิตย์ก็ขี่รถมาเรื่อยๆ แวะเวียงจันทร์ถ่ายรูปกับประตูชัย วัดธาตุหลวง แวะริมโขงฝั่งลาว บ่ายแก่ๆก็ทำเรื่องขี่ข้ามสะพานกลับมา ห้าโมงยกรถขึ้นรถไฟกลับ นอนกลับมาชิวๆ
เช้าวันจันทร์มาถึงกรุงเทพสักหกโมงแวะอาบน้ำที่หัวลำโพงสักครึ่งชั่วโมง แต่งตัวขี่รถไปทำงานต่อได้เลย พอทำงานไหวเพราะไม่เหนื่อยมากเท่าขี่กลับเอง
ค่าใช้จ่ายต่างกันกับขี่รถไปเองประมาณไม่เกินพันนึง
ฝากไว้ให้เป็นทางเลือกจ้า
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมกระทู้ครับ
บทความโดย : สมัญตาชีวบุตร_omega_13
ที่มา : http://pantip.com/topic/35138212
เอาเป็นว่า มาถึงแล้วจ้าหนองคาย