ROYALENFILD BULLET 500 รถใหม่ในร่างเก่ามุ่งสู่อดีตเขตเหมืองแร่เก่าเรื่องราวใหม่”ปิล็อก”

ROYALENFILD BULLET 500 รถใหม่ในร่างเก่ามุ่งสู่อดีตเขตเหมืองแร่เก่าเรื่องราวใหม่”ปิล็อก”

.

ถ้ามีสถานที่สักหนึ่งสถานที่ ที่เราอยากจะไปซ้ำแล้วซ้ำอีก

ที่แห่งนั้นมันควรจะเป็นแบบไหน

หรือจริงๆแล้วมันอาจเป็นเพียงสถานที่ ที่ไม่มีอะไรเลยก็ได้

แต่ก็นั่นแหล่ะครับ ในแต่ละสถานที่ล้วนมีเสน่ห์ ในแบบของมันเอง

สถานที่ในเบื้องต้น เมื่อเปรียบแล้วก็คงคล้ายรถที่จะนำมาทำบทความในวันนี้

ROYALENFILD BULLET 500

รถที่เหมือนจะธรรมดาแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่า และมีเสน่ห์ในแบบของมันเอง

รถอีกหนึ่งยี่ห้อ ที่ยังคงอยู่ในห้วงแห่งชีวีและวิถีแห่งคลาสสิค

มีทั้งความชิค มีทั้งความคูล และมีอีกหลายเรื่องที่อยากให้รู้กันไว้ด้วยครับ

กระทู้นี้จะเป็นกระทู้เคลื่อนตัวช้า สวนกับวันเวลาที่ผ่านเข้ามาหาเราอย่างว่องไว

อย่าแปลกใจที่บางช่วงหายไปบ้างนะครับ ^^ งานชุกชุมจริงๆ T__T

.

จุดเริ่มต้นของทริปนี้เกิดจากสัญญาใจที่มีให้สถานที่แห่งนึง ว่าในแต่ละปีเราจะกลับมา

จนกว่ามันจะเปลี่ยนแปลงจากเจตนาแห่งการมาของเรา

สถานที่แห่งนึงที่ว่านี้คือ ปิล็อก บ้านอิต่อง เหมืองผีหลอก หรือสุดแท้แต่ใครจะเรียก

แผนการเดินทางถูกวางไว้จากแผนเดิมของทุกๆปีที่ผ่านมา เปลี่ยนเพียงแค่สถานที่แวะระหว่างทาง และเวลาตามความเหมาะสม

การเดินทางรอบนี้ได้ข้อสรุปคือวันที่ 2-3 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาครับ

ทันทีที่แผนเดินทางคลอดออกมา ก็เป็นเวลาข้อความในไลน์เด้งเตือนมาว่า เฮ้ยยย!!! ข้ามีรถให้ไปลองขับไปปิล็กด้วยนะ

บอกกันตามตรงว่ารถแนวนี้ กับสภาพผมผู้มีความสูง 158เซ็นติเมตรจากระดับน้ำทะเลมันดูย้อนแย้งกันพิลึก

แต่จอมยุทธไม่เลือกกระบี่ฉันใด lotteidolก็ไม่เลือกมอเตอร์ไซค์ฉันนั้น

ทันทีที่ได้ทดสอบสั้นๆครั้งแรกตอนไปรับกลับมาเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางนั้น

ตับๆๆๆๆๆ เสียงนี้ดังกึกก้องมาตลอดระยะทาง

เสียงกินตับในรอบสูงมันแผดก้องตามสไตล์รถ 500CC สูบเดียวก็เสียวได้

และเสียงตับๆๆๆๆ เดียวกันนั้นกลับอ่อนโยนเหมือนไม่ใช่วันนั้นเลยค่ะในรอบต่ำ

แรงยื้อยุดฉุดกระชากประหนึ่งตัวร้ายหนังไทย ดิ้นต่อยท้อง ร้องต่อยปาก แล้วกระชากเสื้อผ้า แต่ไม่มีเวลาข่มขืน

เมื่อเร่งเร้าถึงจุดไคลแม็ก ความสั่นสะท้านจะตามมาเยือนเป็นแม่นมั่น

มีความเป็นผู้ร้ายหน้าคมตามสมัยนิยม ที่คงความเก๋าในด้านหน้าตาไว้อย่างหาตัวเปรียบได้ยาก

แต่ก็แอบยัดความทันสมัยด้วยระบบหัวฉีดปิ๊ดๆๆ

ไม่มีรถคันไหนที่คุมยาก มีแค่ตัวเราเองนี่แหล่ะที่ยากจะควบคุม

ครั้งนี้เตรียมตัวเหมือนเดิมๆครับ แค่รถที่ใช้ขับขี่เปลี่ยนไป

ก็ต้องใช้เวลาหรือระยะทางสักระยะ กว่าจะพอเข้าถึงอารมณ์ของเครื่องยนต์หรือลักษณะการขับขี่ได้

แต่จะเป็นยังไงนั้นเดี๋ยวมาเล่าให้ฟังเป็นช่วงๆไปครับสลับกับการเดินทางไปพร้อมๆกัน

มาดูเลขไมล์ก่อนออกเดินทางกันก่อนครับ ^^

เส้นทางที่ใช้ก็ 323 เช่นเดิมครับ

เพิ่มเติมคือจุดแวะระหว่างทาง

เรามีปลายทางที่ชัดเจน เราก็ควรจะมีจุดแวะพักที่ชัดเจนในแต่ละครั้งเช่นกัน

เหตุผลอีกหนึ่งอย่างที่เลือกใช้เส้นหลักๆแบบนี้คือ เราจะหาที่จอดได้ ติดต่อด้วยสัญญาณมือถือง่าย เผื่อกรณีฉุกเฉินต่างๆ

.

การเดินทางครั้งนี้ มีเพื่อนร่วมทางเป็นรถเก๋งหนึ่งคัน บรรจุมนุษย์เพื่อน มนุษย์พี่ และมนุษย์แม่ ไปด้วย

เรานัดกันที่ ปตท นครชัยศรีครับ ก่อนจะเริ่มออกเดินทางไปพร้อมกัน

มิติของรถเมื่อจอดขนาบกับสุดหล่อไซส์ 158 เซ็นติเมตร รถไม่ได้คันใหญ่นะครับ ตัวผมเล็กเอง T T

จาก ปตท นครชัยศรีมา ใช้เส้นทางหมายเลข 323 ตามทางมาเรื่อยๆจุดพักจุดแรก ก็ไม่พ้นร้านเดิมๆครับ แฮ่ๆ

เพราะเพื่อนที่ขับรถเก๋งมาด้วยจะต้อองแวะไปรับพี่ชายอีกคนก่อน

จุดนัดหมายและจุดพักเลยเลือกสถานที่ ที่ต่างคนต่างรู้จักกันดี และมีสถานที่กว้างพอให้จอดรถได้แบบสบายๆ สถานที่ที่ว่านี้คือ

ร้านแม่บัวคำ ครับ มีห้องน้ำสะอาด กับข้าวไม่ถึงกับอร่อยมากแต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรนัก (เรื่องรสชาดอยู่ที่ปากเราเอง)

หยุดพัก ณ จุดนนี้ไม่นานมากครับ พอเพื่อนมา ก็พากันออก

.

โดยจุดนัดหมายต่อไปคือ อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์

.ประวัติ ปราสาทเมืองสิงห์
ปราสาทเมืองสิงห์ มีจุดมุ่งหมายสร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธศาสนสถานในพุทธศาสนา นิกายมหายาน จากการขุดตกแต่งของกรมศิลปากรที่ค่อยทำค่อยไปตั้งแต่ พ.ศ. 2478 แต่มาเริ่มบุกเบิกกันจริงจังเมื่อ พ.ศ. 2517 แล้วเสร็จเป็นอุทยานประวัติศาสตร์เมื่อ พ.ศ. 2530 จึงสวยงามดังที่เห็นอยู่ในวันนี้ ปราสาทเมืองสิงห์นี้กล่าวว่าสถาปัตยกรรมและปฏิมากรรม คล้ายคลึงกับของสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1720 – 1780) กษัตริย์นักสร้างปราสาทแห่งขอม จากการขุดแต่งของกรมศิลปากร พบศิลปกรรมที่สำคัญยิ่งคือพระพุทธรูปนาคปรก พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และ นางปรัชญาปารมิตา และยังพบรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมีอีกองค์หนึ่ง รูปลักษณ์คล้ายกับที่พบในประเทศกัมพูชา ปัจจุบันกรมศิลปากรได้นำไปเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร แล้ว คงเหลือแต่องค์จำลองไว้

จากศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ เมืองพระนคร ประเทศกัมพูชา ซึ่งจารึกโดย พระวีรกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7ชจารึกชื่อเมือง 23 เมือง ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงสร้างไว้ มีเมืองชื่อ ศรีชัยสิงห์บุรี ซึ่งสันนิษฐานกันว่าคือเมือง ปราสาทเมืองสิงห์ นี่เอง
และยังมีชื่อของเมือง ละโวธยปุระ หรือ ละโว้ หรือลพบุรี ที่มีพระปรางค์สามยอด เป็นโบราณวัตถุร่วมสมัย

แต่ในเรื่องดังกล่าวรองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม เห็นว่าการที่นำเอาชื่อเมืองที่คล้ายคลึงกันในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาไปเปรียบเทียบกับบรรดาเมืองในเส้นทางคมนาคมในจารึกปราสาทพระขรรค์อย่างง่ายๆ โดยไม่คำนึงถึงหลักภูมิศาสตร์ เท่ากับเป็นการบิดเบือนความจริงอย่างมักง่าย เพราะบรรดาปราสาทขอมที่เรียกว่าอโรคยาศาลนั้นมักพบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (มีพบบ้างในบางส่วนของจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งปัจจุบันได้แยกเป็นจังหวัดสระแก้ว) และมีรูปแบบแตกต่างจากปราสาทขอมที่พบในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างสิ้นเชิง ตรงข้ามกับบรรดาปราสาทของที่พบบนเส้นทางคมนาคมจากละโว้ถึงเพชรบุรีและปราสาทเมืองสิงห์ แต่ละแห่งก็มีรูปแบบที่แตกต่างออกไป จะมีความคล้ายคลึงกันแต่รูปเคารพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และนางปรัชญาปารมิตาที่บ่งชี้ว่าน่าจะแพร่หลายมาจากเมืองละโว้ และพระโพธิสัตว์บางองค์นำมาจากเมืองพระนครก็มีแต่หลักฐานทั้งหมดก็มิได้ปฏิเสธความสัมพันธ์ทั้งสังคมและวัฒนธรรมระหว่างละโว้กับเมืองพระนครในกัมพูชา

ในสมัย รัชกาลที่ 1 เมืองสิงห์ได้มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่าน ในสมัยรัชกาลที่ 4 โปรดให้เจ้าเมืองสิงห์เป็น พระสมิงสิงห์บุรินทร์ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล ดังนั้นจึงยุบเมืองสิงห์ให้เหลือเป็นฐานะเพียงตำบลหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี

ข้อมูลเบื้องต้นจากวิกิพีเดียครับ

เรามาชมสถานที่ด้านในเพิ่มเติมกันบ้าง ในวันที่ไปโชคดีที่ไม่มีแดดร้อนๆมาต้อนรับ มีเพียงแดดเอื่อยๆที่มีเมฆมาบังร่มเงาให้

ช่วงนี้เราสามารถเข้าไปชมได้ฟรีนะครับ เสียค่าใช้จ่ายแค่ในส่วนของการนำรถเข้าเพียงเท่านั้น









เราใช้เวลาเดินรอบๆอยู่สักระยะ เวลาที่เราอยู่ที่ไหนสักที่แล้วเราชอบ เวลามันมักกลั่นแกล้งเราเสมอ

เอาไว้มีโอกาสแล้วเรามาเจอกันใหม่นะ ปราสาทเมืองสิงห์ ^^

ตอนถ่ายรถอย่างเดียวก็ดูดีนะ พอมีผมเข้าเฟรมด้วย รถยิ่งดูดีเข้าไปใหญ่ -*-

จากการเดินทางในช่วงต้นตั้งแต่บางแค

เรายังทำความเร็วกันไม่มากครับ

ขับชิลขนาดที่ว่าคนซ้อนพร้อมหลับตลอดเวลาฮ่าๆ

ใช้เวลาที่มีอย่างจำกัดให้ช้าลงบ้าง เพราะระหว่างทางมีอะไรอีกเยอะแยะ

ถนนที่จะมุ่งหน้าสู่ปิล็อก ตอนนี้ถ้าเทียบกับปีก่อนๆที่เคยมา
ถือว่าดีขึ้นมากพอสมควรครับ แม้จะไม่ดีขึ้นขนาดร้อยเปอร์เซ็น แต่นี่แหล่ะมันเป็นเสน่ห์อย่างนึงของเส้นทางเส้นนี้

ซึ่งเจ้า RE ก็ไม่มีการทำให้ผิดหวัง จริงอยู่ในช่วงความเร็วสูงมันมีสะท้านสะเทือนบ้าง

แต่เมื่อเจอทางแบบนี้ ใช้ความเร็วเท่านี้ มันก็กลั่นพลังงานแฝงออกมาได้อย่างน่าประทับใจ

คันเร่งที่ถูกบิดเพื่อส่งกำลังในย่านต่ำ ทำให้มันไปของมันได้แบบสบายๆ


กว่าจะถึงปลายทาง คนเราต้องผ่านอะไรมามากมาย ก็คล้ายกับมอเตอร์ไซค์หนึ่งคันนี่แหล่ะครับ

ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องไปขวนขวายหาความหมายของปลายทางมากนัก ให้ความสำคัญกับระหว่างทางบ้าง

ให้ความสำคัญกับเพื่อนร่วมทางบ้าง

ความดั้งเดิมของรถ ที่ถูกเพิ่มเติมด้วยเทคโนโลยีที่ใหม่ตามสมัยนิยม
ระบบหัวฉีดที่ช่วยในหลายๆด้าน ข้อดีต้นๆที่รับรู้ได้คือมันประหยัด มันเม่นยำ และมันมีแรง
โครงสร้างที่สวยงามภายนอก บวกกับเทคโนโลยีที่ฝังอยู่ภายใน ทำให้รถรุ่นนี้ สวยทั้งรูปและจูบหอม
แต่กระนั้น ดอกกุหลาบที่สวยงามย่อมมีหนามที่แหลมคมฉันใด มอเตอร์ไซค์ก็ฉันนั้น

จนถึงบรรทัดนี้ จะบอกว่ามันเป็นรถที่เลิศเลอเพอร์เฟคก็คงไม่ใช่ครับ

ข้อติติงก็มีอยู่บ้าง ซึ่งมันอาจจะมาก หรืออาจจะน้อย สำหรับบางคน

แต่ความชอบมักก้าวผ่านสิ่งเหล่านี้ได้เสมอแหล่ะ ^^


จำไม่ได้ว่าใช้เวลาไปเท่าไหร่ กว่าจะมาถึงบ้านปิล็อก หมู่บ้านเล็กๆ ที่คนน้ำใจใหญ่โตกันทั้งหมู่บ้าน

จะมีสักกี่หมู่บ้าน ที่แม้เวลาผ่านไปคนก็ยังไม่ค่อยจะเปลี่ยน

นี่คือหนึ่งสาเหตุที่ผมทำสัญญาใจไว้ว่า ถ้ามีเวลาจะหาโอกาสมาหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ทุกๆปี

หลายๆสถานที่ที่เคยไป บางที่ก็เปลี่ยนไปจนน่าตกใจ ทั้งยุคสมัย ความเจริญ และผู้คน

แต่ ณ ที่แห่งนี้ มีเพียงสิ่งปลูกสร้างที่เปลี่ยน แต่ไมตรีของคนในหมู่บ้านไม่เคยเปลี่ยน

แม้แต่เจ้ากะปิขวัญใจนักท่องเที่ยวประจำหมู่บ้าน ก็ไม่เคยเปลี่ยน แฮ่ๆ

ทันทีที่มาถึงหมู่บ้านก็เดินตะลอนหาห้องพักกัน ไม่ใช่ว่าที่พักเต็มอะไรนะครับ

วันธรรมดา มันหาได้ง่ายๆและเยอะแยะไปหมด

ครั้งนี้เลยเลือกพักที่ อาร์มโฮมสเตย์ ที่พักอันนี้จะอยู่ตรงไปรษณีย์ของหมู่บ้านพอดีครับ

พอได้ที่กบดาน ก็โยนข้าวของต่างๆวางไว้ พักผ่อนหย่อนใจอีกแป๊บนึง

การมาถึงในครั้งนี้เราเลือกูเวลาจากแสงของพระอาทิตย์ มากกว่าดูนาฬิกาของตัวเอง

ให้ธรรมชาติสายลมและแสงแดดอ่อน เป็นตัวบ่งบอกซึ่งเวลา

ที่นึงที่หลายๆคนต้องมาเมื่อมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ ก็ไม่พ้นเนินช้างศึกครับ

เนินที่มีลมพัดผ่านร่างกายให้ทรงผมที่จัดทรงมามลายสิ้นได้ในทุกวัน

และเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าที่สวยงามมากๆที่นึง

ในวันที่ฟ้าเปิด เราสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ลาลับเส้นขอบของทะเลอันดามันได้ด้วย

เนินช้างศึก เป็นฐานปฏิบัติการของตำรวจตระเวนชายแดนที่ 135 (ฐานช้างศึก) บางคนก็เรียก ยอดดอยปิล๊อก หรือ ต่องปะแล เป็นฐาน ตชด ที่.ตั้งอยู่ในเส้นพรมแดนไทย-พม่า อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,053 เมตร มีบ้านพักเจ้าหน้าที่ ลาน ฮ. และจุดชมวิวในมุมสูง เห็นวิวทั้งฝั่งไทยและพม่า ฝั่งไทยจะเห็นจุดชมวิวเนินเสาธง และหมู่บ้านอีต่อง อยู่ในหุบเขาด้านล่าง ส่วนฝั่งพม่าจะเห็นเทือกเขาและแนวป่าที่เป็นแนวเขาสลับซับซ้อน และผืนป่าเดียวกันกับไทยไกลออกไปสุดสายตา มีสถานีส่งก๊าซในฝั่งพม่าอยู่ไม่ไกลจากเขตชายแดน

ปกติเราจะเห็นภาพถ่ายมุมประจำสำหรับคนเดินทางไปด้วยมอเตอร์ไซค์คือบริเวณด้านใน
ณ ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาติให้นำเข้าไปจอดถ่ายรูปได้นะครับ ในวันที่ผมไปรับแจ้งมาแบบนี้
ซึ่งก็ทำตามกฎที่เค้าวางไว้แหล่ะ อยากให้มีที่ชมวิวสวยๆงามๆก็อย่าลืมทำตามกฎปฎิบัติที่เค้าตั้งไว้นะครับ

เมื่อเพื่อนอยากถ่ายสตอปแอ็คชั่นเท่ห์คอนเซปวัยรุ่นย้อยแสง

สิ่งที่เพื่อนคิด

สิ่งที่ผมถ่ายให้
ลักษณะคล้ายว่ากำลังจะนั่งยองๆเพื่อปลดปล่อยพลังงานบางอย่าง ฮ่าๆ

เจ้าถิ่นประจำเนินก็ยังอยู่นะครับ มีรุ่นใหม่มาหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปเป็นกะ

รถคลาสสิคกะวิวคลาสสิคแบบนี้นี่มันช่างกลมกล่อมดีจริงๆ ^^


อยู่กันบนเนินช้างศึกเย็นย่ำจนหนำใจ เวลาแห่งแสงพระอาทิตย์ก็แจ้งเตือนให้พวกเราพาร่างกลับสู่ที่พัก ก่อนมันจะมืดค่ำไปกว่านี้

หมู่บ้านในช่วงกลางคืน เสียงลมที่พัดกระทบสังกะสีบ้าง กระเบื้องบ้าง มันช่างสบายใจอย่างบอกไม่ถูกจริงๆสิน่า

มีบอดี้การ์ดเฝ้าที่หน้าที่พักด้วยนะครับ ดุมากๆ เจอคนแปลกหน้าเข้าใกล้นี่กระโดดพุ่งกระดิกหางใส่เลย

บรรยกาศรอบๆหมูบ้านหลังตะวันลาลับขอบฟ้าไปแล้ว มันสงบระดับที่ได้ยินเสียงบ้านหลังอื่นๆคุยกันได้ ในระยะลิบๆ

เราหนีความวุ่นวายมาหามุมสงบ ก็อย่าทำลายความสงบด้วยความวุ่นวายที่เราหนีมาเลยครับ ^^


สำหรับช่วงกลางคืน ร้านค้าจะจำหน่ายสินค้าถึงสองทุ่มกว่าๆนะครับ ถ้าใครติดกินข้าวกินหนมตอนดึกๆ อย่าลืมซื้อสะเเบียงตุนไว้ก่อนร้านค้าเค้าจะปิดล่ะ

ว่าแล้วเราก็ต้องไปเตรียมสเบียงของเราบ้าง


จริงๆตอนเช้าเรามีแปลนที่จะไปดูหมอกบางๆที่เนินช้างศึก

พอสิ้นเสียงนาฬิกาดัง แว่วเสียงดังมาว่าวันนี้ลมแรง ไม่มีหมอกนะจ๊ะ

เลยคุยกับเพื่อนที่มาด้วยกันว่าเอาไงดี เพราะหมอกจะมีไม่มีเราตื่นขึ้นมาก็สามารถมองเห็นได้ที่ในตัวหมู่บ้านอยู่แล้ว

แต่นี่ แง้มผ้าม่านออกไป ไร้ซึ่งหมอกใดๆให้เห็น T_T

จากที่คุยกัยอยู่สักระยะ ทางเลือกใหม่ของเราคือนอนเอาแรงต่ออีกซักงีบครับ

แล้วเราจะไปเดินชมดมกลิ่นหมู่บ้านด้านล่างกัน

จริงๆหมู่บ้านแห่งนี้ ผมมาปีละครั้ง แต่ผมยังเดินไม่เคยหมด นี่แหล่ะข้ออ้างที่ทำให้กลับมาได้เรื่อยๆ ฮี่ๆ

อันนี้เพื่อนที่ขับรถเก๋งติดตามกันมาครับ ^^

ผมกับเพื่อนคนนี้สนิทกันผ่านตัวอักษรที่เราเฝ้าอ่านระหว่างกันและกันมาเสมอ

เป็นคนที่พักอยู่ไม่ไกลกัน แต่ก็กลับไม่ค่อยมีโอกาสได้กันบ่อยนัก  เอ้ยยย ได้เจอกันบ่อยนัก

ดันเจอกันเวลาออกเดินทางได้ง่ายกว่า

หลังจากนอนหลับคนละงีบสองงีบจนสบายตัวกันแล้วเราก็มาสำรวจซ้ำในหมู่บ้านกันอีกครั้งครับ

“ปิล๊อก” เมื่อหลาย 10 ปีก่อน มีผู้พบเห็นชาวพม่าเข้ามาลักลอบขุดแร่ในพื้นที่ตำบลปิล๊อกไปขายให้ ทหารอังกฤษ คำเล่าลือนี้ทำให้ กรมทรัพยากรธรณีสมัยนั้นนำคณะนายช่างมาสำรวจก็ถึงกับตะลึง เมื่อพบว่าพื้นที่แถบนี้ี่มีแร่ดีบุกและวุลแฟรมอยู่มากมายรองลงมาและมักอยู่ปะปนกัน คือ แร่ทังสะเตน และยังมีสายแร่ทองคำ ปะปนอยู่กับ สายแร่ดีบุกต่อมา ปี พ.ศ. 2483 องค์การเหมืองแร่ กรมโลหะกิจ ได้เปิด“เหมืองปิล๊อก”ขึ้นเป็น แห่งแรกที่บ้านอีต่อง ต.ปิล๊อก จากการเปิดเหมืองในครั้งนั้นได้เกิดการปะทะกันระหว่างตำรวจกับกรรมกรพม่า เพราะฝ่ายไทยห้ามกรรมกรพม่านำแร่ ไปขายให้อังกฤษ แต่กรรมกรพม่าฝ่าฝืน จึงเกิดการปะทะกันทำให้มีผู้บาด เจ็บและล้มตายจำนวนมาก ในอดีตชาวบ้านเรียกว่า “เหมืองผีหลอก” ต่อมาเพี้ยนเป็น “ปิล๊อก” ซึ่งกลายเป็นชื่อ เหมืองแร่และตำบลในเวลาต่อมา หลังจากนั้นก็ได้มีเหมืองแร่อื่นๆทยอยเปิดตามกันมาอีกมากมายทั้ง เหมืองเล็ก เหมืองใหญ่ ราว 50-60 เหมือง โดยผู้คนพากันเรียกบรรดาเหมืองทั้งหลายในพื้นที่แถบนี้แบบเหมารวมว่า “เหมืองปิล๊อก” ดินแดนแห่งนี้ เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ของ บรรดานายเมืองทั้งหลายที่ต่างหลั่งไหลเข้ามาผู้แสวง โชคมีทั้งคนไทย พม่า และที่มาจากแถบอินเดีย เหมืองแร่จึง สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ชุมชนโดยรอบเป็นอย่างมาก


เหมืองแร่แห่งปิล๊อกดำเนินเรื่องราวแห่งความรุ่งเรืองอยู่หลายสิบปี ก่อนประสบภาวะราคาแร่โลกตกต่ำในปี พ.ศ. 2528 บรรดาเหมืองแร่ทยอยปิดตัวลง ไม่เว้น แม้แต่เหมืองปิล๊อก ทิ้งไว้เพียงตำนานเมืองเหมืองอันรุ่งโรจน์และ มนต์เสน่ห์ แห่งปัจจุบันอันเรียบง่ายสงบงามให้ผู้สนใจ ออกดั้นด้นเดินทางไปค้นหา




เนินเสาธง
เนินที่ทุกคนคงมาเหมือนๆกัน เส้นกันบางๆระหว่างรอยต่อที่เราสามารถข้ามแดนไปได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า
แต่ก็เดินข้ามเข้าไปได้เพียงเล็กน้อยนะครับ เดินได้ถึงจุดๆนึงเพียงเท่านั้น



บางครั้งการปล่อยแฮนด์มอเตอร์ไซค์มาจับแขนใครใครสักคนมันก็อบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากเนินเสาธงก็กลับมาลงสู่หมู่บ้านช่วงล่างกันครับ
วิถีชีวิตที่ยังเคลื่อนตัวในแบบของตัวเองมีให้พบเห็นกันได้อยู่และน่าจะคงอยู่คู่กับสถานที่แห่งนี้ไปอีกนาน


รถสายซิ่งที่วิ่งด้วยความเร็วมุ้งมิ้ง


ปากทางมุ่งสู่เขาช้างเผือก ได้แต่มองเส้นทางแล้วนึกในใจ ว่าสักครั้งต้องไปถึงยอดเขาตรงนั้นให้ได้


ชาวบ้านอุ้มลูกขึ้นจากหมู่บ้านที่อยู่ด้านล่างอีกทีครับ
หลายๆคนแม้จะมาหลายครั้งก็ยังไม่ค่อยได้เดินลงไป
ทั้งๆที่มันมีอะไรๆอีกมากมาย









เมื่อมีการมาย่อมมีการจากลาเสมอ

เราใช้วันเวลาในช่วงวันธรรมดาอันน้อยนิดจนใกล้จะหมดแล้วครับ เตรียมเดินทางกลับไปทำงานทำหน้าที่ของแต่ละคนต่อไป

ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา มีเพียงคำสัญญาว่าปีหน้าก็จะมาอีก

ขากลับก็แวะน้ำตกจ๊อกกระดิ่นสักนิดครับ

ทางลงเทปูนจนจะหมดแล้ว ลงง่ายกว่าเดิมมาก สำหรับทางนี้มีความชันพอประมาณนะครับ

ถ้าเป็นรถกำลังต่ำๆหน่อยอาจมีปัญหาบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับขึ้นลงไม่ได้

ส่วนเจ้า RE นี่ชิลครับกำลังในรอบต่ำก็เหลือเฟือในการไต่ขึ้นเนินชัน ไม่ต้องคั้นรอบมากมาย






หลังจากออกจากน้ำตกก็ยิงกันยาวๆเพื่อกลับละครับ

ดูสถานที่พักผ่อนกันมาเยอะแล้ว

ถึงตอนนี้มาดูมวลรวมของรถที่ใช้ในการเดินทางครั้งนี้กันบ้าง

Royal Enfield Bullet500

น้อยคนที่ไม่รู้จักและ น้อยคนที่รู้จัก

คนที่สนใจรถรุ่นนี้ได้คงมีเหตุผลส่วนตัวมีเหตุผลทางอารมณ์แตกต่างกันไป

ที่เหมือนๆกันคงจะเป็นความหลงไหลรถสไตล์คลาสสิค

วันนี้จะมาเผยแง่มุมของคนใช้รถมอเตอร์ไซค์ธรรมดา ไม่มีสเป็คใดๆมาฝากนะครับ

เพราะมันมีมากมายเหลือเกินแล้ว


ความสั่นสะท้าน
สิ่งแรกที่จะขาดไม่ได้ในการกล่าวถึงเลยก็ไม่ได้ คือความสะท้านในรอบสูง และความเร็วที่สูง
อันนี้น่าจะเป็นเอกลักษณ์ของรภสายคลาสสิคเกือบๆทุกๆรุ่นเท่าที่เคยทดสอบมานะครับ
เจ้าRoyal Enfieldก็หลีกเลี่ยงเรื่องนี้ไม่พ้น แต่คำว่าคลาสสิคถ้าใช้ความเร็วแค่ชิคๆก็สบายๆและมีกำลังเหลือเผื่อแซงได้อย่างสบายๆเช่นกัน

และการสั่นสะท้านก็ถูกชดเชยด้วยเบาะที่ดูทรงแล้วไม่น่าสบาย แต่พอได้ลองขับกลับสบายกว่าที่คาดคิดไว้เยอะมากมายนัก คือแม้ทรงมันจะดูทื่อๆแต่ในการใช้งานจริงๆมันน่มพอที่จะซับแรงสะท้านได้มากโขเลยทีเดียว

เครื่องยนต์
เครื่องที่ตอบสนองการทำงานได้อย่างต่อเนื่องและเพียงพอต่อการใช้งาน
ด้วยซีซีขนาดห้าร้อยซีซี ที่มีสูบเดียว มันจึงไม่แปลกนักเรื่องของความสั่นสะท้านครับ
อันนี้ก็รู้ๆกัน ซึ่งมันได้กำลังทอร์คหนักๆตั้งแต่ออกตัวและตอนที่ใช้เร่งแซง
และประหยัดด้วยหัวฉีดเรียกได้ว่าจับเทคโนโลยี่ใหม่ใส่ความเก๋าได้ลงตัวโดยไม่ทิ้งนิสัยเดิมของเครื่องยนต์ตอนที่ยังเป็นคาร์บูอยู่ อีกข้อที่ได้เปรียบคือมันสตาร์ทง่ายๆในทุกสภาพอากาศ ถ้าเป็นคาร์บูร์เจออากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยๆก็สตาร์ทยากเอาเรื่อง
ส่วนความประหยัดที่ทำได้เฉลี่ยที่30กิโลลิตร ที่ความเร็วเฉลี่ย 120 และท็อปสปีดที่ทำได้คือ 140หน่อยๆครับ
เมื่อใช้ความเร็วที่ลดลงตามการจราจรปกติจะอยู่ราวๆ 35กิโลเมตรต่อลิตรครับถือว่าในระดับซีซีแบบนี้ กำลังแบบนี้ ประหยัดใช้ได้เลย อันนี้เฉลี่ยรวมๆจากสภาพเส้นทางทั้งหมดนะครับ

จากรูปไมล์ในครั้งแรกจนถึงไมล์เมื่อสิ้นสุดทริป
ใช้ระยะทางไปทั้งสิ้น 789 กิโล ผมเติมน้ำมันไปทั้งหมด 555 บาทและน้ำมันในถังยังคงเหลืออยู่

ช่วงล่าง
ที่ติดมากับตัวรถ ทำหน้าที่ของมันได้ถือว่าดีนะครับ แม้โช็คหลังจะนุ่มนิ่มไปบ้างแต่เป็นประโยชน์สำหรับการเดินทางมากเช่นกัน อันนี้ยกประโยชน์ให้เป็นข้อดีไป

ที่ขัดใจที่สุดในรถผมยกให้เป็นเจ้านี่ครับ +_+
คนที่ใช้อยู่คงเข้าใจ ^^

ระบบเบรค
ที่ได้มามันเหลือเฟือครับทั้งหน้าและหลัง แต่ต้องปรับความตื้นลึกของเบรคหลังใหม่สักนิดเน้อ เท้าแต่ละคนแรงกดไม่เหมือนกันเพราะเบรคหลังยังเป็นดรัมเบรคอยู่

ข้อสรุปโดยรวมๆ

“สวย ทรงคุณค่าในความรู้สึก”

ข้อสรุปรวมๆมีแค่นี้เลยครับ

จะให้บอกว่าเหมาะกับใคร ไม่เหมาะกับใครก็ไม่ได้จริงๆ สำหรับรถที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่นนี้

อย่างที่บอกตั้งแต่แรกๆ ของแบบนี้ ความชอบบวกกับอารมณ์ล้วนๆ

และผมว่าหลายๆคนเห็น RE รุ่นนี้มักมีอารมณ์เหมือนกับที่ผมมีแน่นอน

ขากลับ

แวะเข้ามาดูพื้นที่ที่ตั้งใจว่าจะแวะตั้งแต่ขามา

เมืองมัลลิกา

อยู่ปากทางเข้าปราสาทเมืองสิงห์ที่เราเข้าไปมาแล้วนี่เองครับ

มองจากด้านนอกเพราะเวลาไม่พอแหล่ววว เดี๋ยวไว้รอบหน้ามีเวลามีโอกาสจิแวะมาเน้อ
มาร์คสถานที่ไว้ก่อนนนนน




หลังจากแวะเสร็จก็เดินทางกลับกันจริงจังละครับใช้เส้นทางเดิมที่มานั่นแหล่ะ

ชีวิต

บางครั้งมันก็แค่นี้แหล่ะครับ

เหมือนเราขับมอเอตร์ไซค์สักคัน เราไม่มีทางบิดมันหมดปลอกได้ตลอดเวลา

ต้องรู้จักเรียนรู้และยอมรับในตัวตน ยอมรับในเครื่องยนต์ แล้วชีวิตเราก็จะสุขขึ้น

บ่อยครั้งที่อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล และหลายครั้ง ที่เหตุผลเหนือกว่าอารมณ์

royal enfield bullet 500 ก็คงเช่นกัน

ขอบคุณทุกๆท่านที่อ่านกันมาจนถึงบรรทัดนี้นะครับ
เราพาท่านผู้อ่านไปถึงปลายทางและกลับผ่านตัวอักษรแล้ว
เหลือแค่ผู้อ่านออกไปเห็นด้วยสายตาของตัวท่านเอง

ขอบคุณ รอยัล เอนฟิลด์ ทองหล่อ https://royalenfield.com/thai/thonglor/ที่มอบ royal enfield bullet 500 สุดหล่อมาทดสอบ
JUST-RIDE-IT https://www.just-ride-it.com/ ในการติดต่อประสานงานต่างๆให้

ขอบคุณทุกโหวต ทุกอมยิ้ม ที่แวะเวียนผ่านเข้ามาครับ ^^

บทความโดย lotteidol

Linkต้นฉบับ http://pantip.com/topic/35913213