[RIDE NOW] Ride with the Legend สองชาย สองวัย สองคัน ตะลอนไปในกัมพูชา by Stallions Motorcycle

 

บนเส้นพรมแดนสมมติที่มนุษย์ตัวดี ตีแบ่งกั้นเขตแดนแห่งชาติพันธุ์

นักเดินทางหลากวัย หลายสไตล์ มากเชื้อชาติ ต่างเดินทางข้ามไปมาหาสู่กันด้วยวิธีการต่างๆนาๆ

หนึ่งในวิถีของการเดินทางเหล่านั้น….คือการขี่มอเตอร์ไซค์ข้ามแดนไปเท่าที่กฎ ระเบียบ ที่ต่างกันในแต่ละคราจะเอื้อให้ข้ามผ่านไปได้

ในอดีตเคยข้ามไปได้ ใช่ว่าวันนี้จะข้ามไปได้ และไม่แน่เช่นกันว่าในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนเพียงไร

ร้อยคำกล่าวขาน …..บ้างก็ว่าตอนนี้เขาไม่ให้ข้ามไปแล้วนะ /// พันเสียงเล่าลือ….. บ้างก็ว่าน่าจะเข้าได้นะเมื่อก่อนยังไปได้เลย

ต่างประสบการณ์ ต่างกรรม ต่างวาระ หากยังลังเลสงสัย …..ก็คงไม่ได้ไปหาคำตอบที่ควรรู้กันเสียที

ด้วยข้อกังขาเหล่านั้น จึงผลักดันให้สองชาย สองวัย สองคัน เดินทางไปพิสูจน์ในความไม่แน่นอนที่เป็นธรรมดาและธรรมชาติที่สุด

ยิ้ม เดินทางไปกับเรา Pantip Reviews @รัชดา & Just ride it ที่จะพาท่าน RIDE NOW ไปกับพวกเราในทุกเส้นทาง ยิ้ม
Day 1…

กรุงเทพมหานคร —–> จันทรบุรี

เช้าวันออกเดินทาง ด้วยทิศทางของการเดินทางครั้งนี้มุ่งหน้าสู่ตะวันออก นานๆครั้งจะมีโอกาสเริ่มได้ออกเดินทางจากจุดนัดพบที่อยู่ปากซอยที่ซุกหัวนอนสักที (แถวมีนบุรี)

ยามเช้าที่การจราจรเริ่มวุ่นวาย พระอาทิตย์แห่งฤดูร้อนเพิ่มองศาไต่จากขอบฟ้าทิศตะวันออกขึ้นมาทักทาย จังหวะที่ Stallions CT400 ที่เป็นอาชาพาตะลุยจอดหันหน้าไปถูกทาง ภาพที่ปกติไม่ค่อยจะได้ถ่ายจึงหล่นใส่มือมาหนึ่งใบพอดิบพอดี

จอดรอได้สักพัก ปรมาจาร์ยนักบิดสมญา “วิชิต บางซ่อน” ไรเดอร์ผู้เป็นทั้งอาจารย์ผู้ถ่ายทอดทั้งประสบการณ์และสรรพวิชาเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์ให้ผู้เขียนก็เดินทางมาถึงจุดนัดพบ เราทั้งสองเลี้ยวเข้าปั้มเพื่ออัดน้ำมันให้เต็มถัง แล้วเดินทางออกจากกรุงเทพมหานครด้วยถนนสุวินทวงศ์ แน่นอนว่าเส้นนี้หลังจากมีนบุรีไปก็เป็นโครงการระดับชาติ (สร้างชาตินี้เสร็จชาติหน้า) แต่เราไม่คิดจะรีบร้อนแต่อย่างใด จะหลบ จะเบี่ยง จะบีบเลน เราก็ไปกันเรื่อยๆ ผ่านตัวเมืองฉะเชิงเทรา และแวะทานมื้อเช้ากันที่พนัสนิคม ร้านนี้แวะประจำ รสชาดใช้ได้ พิกัดแถวๆหน้าสนามกีฬาพนัสนิคม

ติดกับร้านโกตง…มีเจ้าถิ่นหน้าตาเก๋ามาก ดูเหมือนพร้อมจะมีเรื่องตลอดเวลา…น่าโยนปลาทูให้สักตัวน้ออออ
อิ่มหนำดีแล้ว เดินทางต่อไปทางอำเภอบ้านบึงแล้วเลี้ยวซ้ายยิงยาวไปอำเภอแกลง ถึงสามแยกแกลงเลี้ยวซ้ายมาได้สิบกว่ากิโลเมตรจึงเกิดอภินิหารให้ต้องหยุดการเดินทางไว้ชั่วคราว โทรแจ้งให้โรงงานส่งช่างพร้อมอะไหล่มาซ่อม

สภาพอากาศเวลาเที่ยงวันกลางเดือนมีนาคม หากจะนั่งรอช่างอยู่ตรงนี้อีกหลายชั่วโมงย่อมจะไม่เข้าที จากที่ตามแผนปกติจะมุ่งหน้าไปด่านตรวจคนเข้าเมืองบ้านผักกาด แผนเปลี่ยนดูแล้วคงต้องซ่อมรถให้เสร็จซึ่งคงไปที่ด่านฯไม่ทันแน่ จึงชวนพระอาจารย์ซ้อนไปหาที่พักชานเมืองจันทรบุรี ที่พักค่อนข้างถูกใจ ร่มรื่นปลอดโปร่ง มีระเบียงหน้าห้อง และระเบียงหลังห้อง(ชอบเลยล่ะ เอาไว้ผึ่งรองเท้าได้ดี) กว่าทีมช่างจะมาถึงก็บ่ายๆเย็นๆ หลังจากแก้ไขแล้วทั้งเราและทีมช่างก็ต้องนอนพักที่เดียวกันไปเสียเลย

ช่วงเย็นขี่รถออกมาซื้อข้าวผัดไปประเคนพระอาจารย์ แอบแว้บออกมารับลมทะเลที่สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน บรรยากาศยามเย็นที่นี่ ชาวเมืองจันฯเขาชอบมาวิ่งบ้าง ปั่นจักรยานบ้าง นั่งปิคนิคกับเพื่อนฝูงหรือครอบครัวบ้าง ถ้ามีโอกาสมาเที่ยวเมืองจันทรบุรี เย็นๆไม่รู้จะไปไหน พาสาวมานั่งโรแมนติคตรงนี้ก็เข้าทีดีนะ





Day 2…

จันทบุรี –> ด่านตรวจคนเข้าเมืองบ้านผักกาด —> ด่านตรวจคนเข้าเมืองบ้านแหลม —>

ด่านตรวจคนเข้าเมืองอรัญประเทศ —> ด่านตรวจคนเข้าเมืองกาบเชิง(ช่องจอม) —> เสียมเรียบ

คืนแรกที่ผิดแผนผ่านพ้นไป เราชวนทีมช่างขับตามเราไปที่ด่านฯบ้านผักกาดด้วยกัน แวะทานเติมพลังมื้อเข้ากันที่อำเภอโป่งน้ำร้อน ร้านข้าวแกงธรรมดาๆประสาเรา กินง่ายอยู่ง่าย

ความสนุกบังเกิดอีกครั้ง เมื่อ ตม. และ ศุลกากร ฝั่งเราให้ผ่านออกไปได้ แต่ศุลกากรฝั่งกัมพูชายืนยันไม่ให้เรานำรถมอเตอร์ไซค์ที่จดทะเบียนในไทยผ่านแดนเข้าไป….ด้วยเหตุผลว่า เกรงจะมีการลักลอบขโมยเข้าไปจำหน่าย ตึ่งโป๊ะ!!! งานเข้าล่ะสิทีนี้

ปรึกษากันแล้ว ขี่ไปอีก 20 กิโลเมตร จะเป็นด่านฯบ้านแหลม ไปลองดูกันอีกสักด่าน เหมือนเดิมจ้า ฝั่งไทยไร้ปัญหา แต่ฝั่งกัมพูชาไม่ให้เข้าอีกแหล่ววววววว จากตรงนี้ เราตัดสินใจจะลองไปเสี่ยงดวงที่ด่านใหญ่อย่างอรัญประเทศอีกสักที!!! จากตรงนี้ เราคิดว่ารถคงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว จึงแจ้งให้ทีมช่างแยกกลับไปก่อน ขอบคุณในความช่วยเหลือจากทุกฝ่ายนะครับ ^^

ถึงด่านฯอรัญประเทศแล้ว เราก็บุกเข้าไปอีกที แน่นอนว่าฝั่งไทยอำนวยความสะดวกให้เต็มที่ (แต่ก็บอกมาเหมือนเดิมว่า ฝั่งนู้นไม่ให้เข้านะ) แต่เราก็ยังถ่อขี่ข้ามเข้าไปคุยกับศุลกากรฝั่งนู้นกันเลย…คำตอบเหมือนเดิม ให้เข้าไม่ได้จ้า T-T

ถ่อเข้ามาคุยถึงตรงนี้เลย เจ้าหน้าที่ศุลกากรฝั่งกัมพูชาก็อัธยาศัยดีนะ ให้คำตอบอย่างสุภาพและเป็นมิตร
เวลายังพอมีเหลือ จากสายข่าววงในแจ้งว่า ถ้าเป็นด่านกาบเชิง(่ช่องจอม) ฝั่งกัมพูชาให้เข้าไปได้ ฮี่ย!! ลุยกันอีกสักตั้ง!!
ผ่านโนนดินแดง เราแวะพักผ่อนคลายสักหน่อย





อนุเสาวรีย์เราสู้

เกือบถึงช่องจอมแล้ว คันเกียร์เจ้ากรรมหลุดเสียอย่างนั้น ในคราวซวยยังมีเคราะห์ดี หลุดหน้าร้านที่พอมีเครื่องมือแก้ไขได้พอดี เวลามีน้อย พระอาจารย์เลยต้องไปเป่ามนต์กำกับงานด้วยตัวเอง แปบเดียวก็เสร็จ เอ้า!!ไปต่อๆ อีกนิดเดียว (ตอนนั้นบ่ายสามแล้วจ้า)


ใกล้ๆตลาดการค้าชายแดน เราแวะอัดน้ำมันให้เต็มถังอีกรอบ กะว่าถ้าได้เข้าก็ลากยาวๆกันไปเล้ย ถึงตรงนี้เริ่มมีภาษากัมพูชาปรากฎให้เห็นรอบตัว
แน่นอนว่าทั้ง ตม. และ ศุลกากร ฝั่งเราไม่มีปัญหา….

ต.ม. กัมพูชา ก็ผ่านสบายๆ

มาลุ้นตรงนี้แหละ ศุลกากรกัมพูชาประจำด่านฯ ตู้ซ้ายสุดเลยเน้อ

เอ้าววววววว ผ่านจ้า คุณได้ไปต่อแล้วจ้า สรุปว่า ณ เพลานี้ การจะขี่มอเตอร์ไซค์ป้ายทะเบียนไทยเข้าไปเที่ยวกัมพูชา โดยไม่ผ่านการจัดการของบริษัททัวร์ สามารถนำรถขี่เข้าไปได้ที่ด่านฯช่องจอมจ้าาาาาาาา โอ้ยยยยย ลุ้นมาทั้งวัน เข้าไม่ได้สามด่านก็ไม่ยอมแพ้ (โคตะระตื้อเลย) บิดกันตาเหลือก เข้าไปแล้วววววว ว๊ะ ฮ่าฮ่า


ดีใจแล้วก็อย่าลืมมายื่นเอกสารที่ตรงซุ้มประตูใหญ่นี่ด้วยเน้อ อยู่ใกล้ๆกันนั่นแหละ เดินเลยมานิดนึง
หลังจากหลุดเข้ามาได้ก็เป็นเวลาสี๋โมงเย็นแล้ว เรายังเหลือระยะทางอีกกว่า 180 กิโลเมตร ที่ควรจะต้องไปให้ถึงเสียมเรียบก่อนที่ท้องฟ้าจะมืดลง เอ้าาาาาา ลากยาวๆกันอีกรอบครับท่านผู้ชม ถึงตรงนี้ก็อย่าลืมนะ เราต้องเปลี่ยนมาใช้ช่องจราจรทางขวาแล้วล่ะ


บิดมาได้สักพัก แวะชักสักภาพ หลักกิโลเมตรในถนนบางเส้นของกัมพูชาก็คล้ายๆฝั่งลาว คือจะไล่จังหวัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ต้องคอยสังเกตให้ดี
รูดกันมาชนิดที่ว่าแทบไม่ได้หายใจ ในที่สุดเราก็เข้ามาถึงตัวเมืองเสียมเรียบก่อนมืดจนได้ เฮ้ออออ รอดไปอีกวัน…

มาจอดตรงนี้ก็มีบอง(พี่ชาย)ชาวกัมพูชาท่านหนึ่งเดินมาทักมาถามเรื่องรถเรา ที่คุยกันรู้เรื่องเพราะพี่เขาเป็นไกด์ภาษาไทยจ้า นอกจากเรื่องรถก็เลยได้ถามทาง ถามข้อมูลที่พักและการเดินทางเพิ่มเติมซะเลย

คืนนั้นเราตระเวนหาที่พักในตัวเมืองเสียมเรียบ โซนที่ไม่ไกลจาก OLD MARKET มากนัก ก็มาได้ที่นี่ในราคา 18 เหรียญ มาถึงตรงนี้แนะนำให้แลกเงินไทยเป็นอเมริกันดอลลาร์นะ ใช้สะดวกที่สุด ถ้าราคาไม่ถึงจะได้แบงค์เรียลทอนเป็นเศษกลับมาเอง อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้ก็อยู่ที่ประมาณ 35 บาท ต่อ  1 ดอลลาร์ (ตีไปแบบบวกขึ้นเผื่อไว้เลย) แลกจากฝั่งไทยไปเลยจะดีกว่าจ้า




แวะซื้อซิมกัมพูชา เลือกของ metphone ราคา 1 ดอลลาร์ แล้วก็เติมเงินเข้าไปอีก 1 ดอลลาร์ ก็พอใช้ได้อีกหลายวัน

ก่อนนอนคืนนั้น เล่นแบบง่ายๆก็ข้าวแกงนี่แหละ รสชาติบางอย่างใกล้เคียงบ้านเรา แต่โดยรวมแล้วอร่อยอยู่นะ
Day 3….

เสียมเรียบ —> พนมเปญ

หลังจาก Day 2 ที่แสนวุ่นวายและค่อนข้างยาวไกล ก่อนนอนเราเล่นชาบูดกัมพูชาไปหลายกระป๋อง หลับสบายตื่นมาอย่างสดชื่น เมื่อพร้อมแล้วก็จัดแจงมัดสัมภาระให้แน่นหนา เกือบจะลืมบอกไปว่าอาชาม้างานของพระอาจารย์รอบนี้เบิก Stallions CENTAUR 250 MAX มาซิ่งจ้า

ส่วนของผมเลือกที่จะมัดแบบนี้ มัดกระเป๋าติดกับเบาะหลังให้แน่นหนาพอที่จะเป็นพนักพิงหลังอนาถา เวลานั่งขี่จะได้เอาช่วงก้นกบไปดันกระเป๋าไว้แล้วจะนั่งสบายพอดี แล้วเป้ที่สะพายไปก็วางลงบนกระเป๋าที่มัดไว้ที่เบาะหลังอีกที เท่ากับว่าแทบจะไม่มีน้ำหนักลงที่ไหล่ทั้งสองข้างเลย รักจะไปก็ต้องหาวิธีผ่อนแรงให้ดี ถนอมร่างกายเอาไว้เที่ยวอีกนานๆ

มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ สำหรับผมถ้ามื้อเช้ากินได้แน่นๆ ถ้าวันนั้นต้องหวดยาวๆทั้งวัน บางทีมื้อกลางวันแทบไม่ต้องกินเลย หรือกว่าจะกินก็ต้องมองหาร้านที่ดูแล้วน่าแวะลองชิมจริงๆ เพราะระหว่างทางจะกินน้ำไปเยอะมาก ซึ่งตรงนี้บางทีผมก็พลาดพาเพื่อนร่วมทางหิ้วท้องไปด้วยพักใหญ่ๆเหมือนกันเพี้ยนเพลีย เผลอไปบ้างบางทีต้องขออภัยพระอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วย (ดูไอ่ศิษย์เนรคุณมันลากพระอาจารย์ไปท้องกิ่วแหนะอมยิ้ม17)

มื้อเช้าของวันที่สามในการเดินทาง และเป็นวันที่สองในกัมพูชา เลยจากที่พักไม่ไกลนัก (ประมาณว่าเดินถึง) เราขี่หาร้านก๋วยเตี๋ยวกัน ถ้าใครเคยอ่านซีรีย์ Ride with the Legend คงจะพอทราบว่าก๋วยเตี๋ยวคืออาหารโปรดของพระอาจารย์ ท่านบอกว่ากินแล้วมันสบายท้องดีไม่อึดอัด บางทีเวลาหาร้านจะแวะกินอาหารกัน เวลาไปกับพระอาจารย์ผมก็เลยติดนิสัยมองหาแต่ร้านก๋วยเตี๋ยวนี่แหละ แต่เช้านี้ไม่รู้มองหาท่าไหน พระอาจารย์ขี่อยู่ข้างหลังแต่เห็นร้านก่อนเสียนี่ ผมขี่เลยร้านไปเฉยเลย ๕๕๕ วกกลับมากินร้านนี้ ไม่ผิดหวังจ้า

ก๋วยเตี๋ยวในกัมพูชาดูเผินๆก็หน้าตาคล้ายบ้านเรา แต่ดูจะพิถีพิถันเรื่องเครื่องมากกว่า เครื่องเคียงก็หน้าตาแปลกจากเรานิดหน่อย แต่โดยรวมแล้วบอกเลยว่า อร่อยเลยล่ะ (ติดหวานมากไปนิด)

อยากลองตามไปชิม จิ้มหาพิกัดโรงแรมนี้เลยจ้า ร้านอยู่ตรงข้ามโรงแรมเลยฮะ

เจ้าถิ่นมาร้องบอกว่าหิว เลยเซ่นไปหนึ่งเม็ด
คนขี่อิ่มท้องแล้ว อาชาก็ต้องอิ่มด้วยเช่นกัน จากการส่องดูหลายๆปั้ม เราเลือกใช้บริการปั้มยี่ห้อนี้ เพราะดูแล้วตู้หัวจ่ายดูดีมีมาตรฐาน สาขาก็มีมากพอๆกับ ปตท. บ้านเรานี่แหละ ขี่ไปไหนก็เจอะยี่ห้อนี้เพียบไปหมดทั้งปั้มเล็ก กลาง ใหญ่ เลยคิดเอาเองว่าน้ำมันเขาน่าจะมีมาตรฐานกลางๆใช้ได้

ในกัมพูชา จะมีให้เลือกเติมทั้งเบนซิน 95 เพียวๆ แก๊สโซฮอล์ 91, 95, 97 ชอบแบบไหนเลือกตามอัธยาศัย มาตรวัดปริมาณที่จ่ายก็คือเป็นดอลลาร์แบบนี้เลย สะดวกไปอีกแบบ แต่ปัญหาคือเท่าที่ลองจะจ่ายเป็นเงินไทย เด็กไม่รับแหะ เพราะบอกว่าคิดเป็นเงินไทยไม่ถูก เอาเป็นว่าจ่ายเป็นดอลลาร์นั่นแหละอุ่นใจที่สุด

เป้าหมายของเราช่วงเช้าจะเป็นที่ไหนไปเสียไม่ได้ นอกจาก “นครวัด”หรือ “อังกอร์วัด” หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกนั่นเอง อยู่ห่างจากตัวเมืองเสียมเรียบไปประมาณห้ากิโลเมตร แต่เดี๋ยวก่อน….ไม่ใช่จู่ๆจะเดินเข้าไปชมได้เลยนะ ต้องไปซื้อบัตรผ่านมาจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก่อนนะจ๊ะ ในบัตรก็จะมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษและภาพถ่ายหน้าเราปรินท์ติดมาด้วยเลย (กันมั่ว) เรามีเวลาไม่มาก ดังนั้นจึงเลือกซื้อบัตร one day กันมาคนละใบ ใบละ 27 ดอลลาร์จ้า อะเหื้อออออออ


ถ้าไม่ได้ซื้อมา เขาไม่ให้เข้าเขตพื้นที่นครวัดนะจ๊ะ ถ้าซื้อมาแล้วก็ผ่านด่านไปโลด
ถนนจากเสียมเรียบไปนครวัด ร่มรื่นคลาสสิค เห็นแล้วนึกถึงถนนเส้นเชียงใหม่-สารภี-ลำพูน จริงๆ

การเดินทางมาก็หลากหลาย ทั้งรถบัสนำเที่ยว รถมอเตอร์ไซค์พ่วงหลัง จักรยาน


เข้ามาได้แล้วก็ต้องแอคชั่นกันสักหน่อย ข้างหลังเราคือ “นครวัด” หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ศาสนาสถานโบราณที่สร้างมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 17 เป็นปราสาทในความเชื่อของศาสนาฮินดูตามลัทธิไวษณพนิกาย ที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระวิษณุ หรือ ที่คนไทยมักเรียกว่าพระนารายณ์ หลักการในการสัณนิฐานเบื้องต้นว่าสร้างขึ้นตามลัทธิไหน บูชาเทพองค์ใดนี่ไม่ยาก ถ้าสร้างปราสาทมีน้ำล้อมรอบ…เดาไว้ก่อนเลยว่าเป็นไวษณพนิกาย เพราะตามความเชื่อของศาสนาฮินดู พระนารายณ์ประทับอยู่กลางเกษียนสมุทคร แต่ถ้าสร้างบนภูเขา….เดาไว้ก่อนเลยว่าเป็นไศวนิกาย  เพราะตามความเชื่อ พระศิวะ ประทับอยู่บนเขาไกรลาส


คราวนี้เวลาจำกัด เลยได้แต่ชะเง้อมองจากข้างนอก ไว้โอกาสหน้าจะมาแบบเก็บละเอียดสักสามวัน จะกางตำราเดินให้ทั่วเลยเชียว
หลังจากยืนมองอังกอร์วัดแล้ว…นึกเสียดายถ้าจะจอดถ่ายรูปเพียงเท่านั้น ในหัวแว้บภาพของซุ้มประตูที่มีรถวิ่งรอดได้ กับปราสาทที่มีพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรมองไปทุกทิศทาง….เปลี่ยนใจใช้เวลากับที่นี่อีกสักหน่อยดีกว่า ขี่ออกมาได้หน่อยนึงก็เจอะเข้ากับสิ่งแรกที่หวังไว้…สะพานนาคราช ที่สองฝั่งจะแยกเทวดา กับอสูรยุดนาคเอาไว้ตามตำนานกวนเกษียรสมุทร ปรากฎเบื้องหน้าเราในที่สุด

สุดสะพานนาคราช จะเป็นซุ้มประตูทิศใต้ของกำแพงที่ล้อมรอบเขตปราสาทนครธม ที่นับเป็นมหานครแห่งสุดท้ายของอาณาจักรแขมร์ สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กินเนื้อที่กว้างขวางถึงประมาณ 9 ตารางกิโลเมตร สร้างทับลงไปบนยโศธรปุระที่เป็นเมืองเก่าอีกทีหนึ่ง ภายในนครธมจึงเต็มไปด้วยศาสนาสถานเก่าแก่ หนึ่งในนั้นคือ ปราสาทบายน ที่เป็นปราสาทหลักที่มีไฮไลท์ที่เป็นมนต์ขลังมากที่สุด และเป็นศาสนาสถานประจำรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่เป็นเป้าหมายของเราในช่วงเช้านี้ก็อยู่ในขอบขันธ์ของมหานครแห่งนี้อีกทีนั่นแล

ภาพที่คิดไว้ในจินตนาการ…สำเร็จแล้ว

จากซุ้มประตูทิศใต้ไปอีกประมาณ 1.5 กิโลเมตร ก็จะถึงปราสาทบายน สองข้างทางร่มรื่นสะอาดตา แวะจอดข้างๆก็มีทางช้างผ่าน นั่งดูแล้วพาให้จินตนาการไปถึงยุคสมัยเมื่อพันกว่าปีมาแล้ว หากได้ลองไปนั่งบนกูบเพื่อทัศนานครธม…คงได้บรรยากาศดีพิลึก

มาถึงปราสาทบายน ขี่วนแบบอุตรทักษิณาวัตรไปหนึ่งรอบแล้วมาจอดตรงนี้พอดีโดยไม่ทันคิด มาดูอีกที เอ๊ะนี่ทิศตะวันออกแท้ที่เป็นด้านหน้าของปราสาทบายนเลยนี่นะ สรุปให้สั้นก็คือเป็นองศาที่พระอาทิตย์ขึ้นทำมุมในวันที่กลางวันกับกลางคืนเท่ากัน หรือที่เรียกว่า “วันวสันตวิษุวัต” (equinox) นั่นเอง

เราขออนุญาตเจ้าหน้าที่จอดถ่ายรูปด้านหน้าเสร็จแล้ว ก็ขออนุญาตเจ้าหน้าที่เข็นไปจอดไว้ข้างๆอีกที ได้ที่จอดหล่อๆเลย

ดูท่าต้องใช้เวลาสักนิดในการเดินชม….แค่จากมุมนี้ก็อลังการงานสร้างแล้วครับท่านผู้ชม
จากตรงนี้ ถ้าจะคุยกันถึงทุกภาพที่อยากถ่ายแล้วอยากโม้ สามวันก็คงไม่จบสิ้น เอาเป็นพอหอมปากหอมคอก็แล้วกัน เปิดโรงกับด้วยภาพของหนึ่งใน 216 พระพักตร์ที่อยู่บนปรางค์ต่างๆทั้ง 54 ปรางค์ของปราสาทบายนเลยก็แล้วกัน

ภาพสลักของ “อัปสร” กำลังร่ายรำ และอัปสรในกิริยาต่างๆ มากมายที่ปรากฎอยู่ตามเสาและผนังของปราสาทหินแทบทุกแห่ง สรุปโดยย่อ…การจำลองภาพอัปสรมากมายไว้เรียงรายรอบปราสาทนี้ ประหนึ่งนัยยะว่าสถานที่แห่งนี้คือสรวงสวรรค์นั่นเอง






บนกำแพงปราสาทบางจุด ปรากฎภาพสลักเล่าขานถึงพระเกียรติยศของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้รังสรรปราสาทบายนแห่งนี้ ซึ่งมักจะหนีไม่พ้นเรื่องราวของการสงครามซึ่งแสดงถึงพระบารมีและแสนยานุภาพกองทัพของพระองค์ที่กรีฑาทัพไปยึดอาณาจักรจามเอาไว้ได้ น่าแปลกที่ตัวผู้เขียนเกิดกิเลสว่าอยากมีประสบการณ์มาเยือนปราสาทแห่งนี้เพียงในยามวิกาลแล้วจุดเทียนไขส่องภาพเหล่านี้อีกสักครั้ง แต่หากในเวลานั้นได้ยินเสียงการเคลื่อนพหลพลพยุหโยธา….อิตาโอเมก้าจะใส่ตีนหมาไปทางไหนดีหว่า


บางส่วนแม้จะถูกนำขึ้นประกอบเป็นองค์ปราสาทตามกระบวนการอนัสโตซีส แต่ก็ยังคงพบกองหินทรายหลากหลายขนาดที่ยังไม่ได้ประกอบขึ้นใหม่วางกระจายอยู่โดยรอบบริเวณ ถ้าประกอบขึ้นได้ทั้งหมด…เราจะค้นพบสิ่งใดจากปราสาทบายนแห่งนี้อีกบ้าง

ปราสาทบายนแห่งนี้ นักโบราณคดีหลายท่านพยายามถอดรหัสแล้วพบว่า ตัวเลขต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการสร้างปราสาท เช่นความเกี่ยวพันถึงเรื่องเล่าตามตำนานกลียุคจากดวงตาทั้งทั้ง 432 ดวงที่นับจากดวงตาพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์ของปราสาทบายนแห่งนี้ ก็กินนัยไปถึงตัวเลขต่างๆที่ตรงกับตำนานบางอย่างในอารยธรรมที่เคยเจริญรุ่งเรืองในอดีตในแหล่งอื่นบนโลกใบนี้ คล้ายว่าองค์ความรู้บางสิ่งมีการเชื่อมโยงกันเป็นสากลโดยบังเอิญ หรือแท้แล้วรากเหง่าของชนชั้นปกครองและศาสนาในโบรานกาลหลายแห่ง จะเชื่อมโยงถึงกันผ่านยุคผ่านสมัย วนเวียนสืบทอดกันผ่านการล่มสลายของแต่ละอาณาจักร ผ่านการเดินทางรอนแรมของมนุษย์ที่ไปบุกเบิกแปลงบ้านสร้างเมืองตามที่ต่างๆ แล้วพกพาเอาศาสตร์เหล่านั้นติดไปเผยแพร่ด้วย ผู้เขียนเชื่อโดยส่วนตัวว่า ยังมีหลักฐานโบราณคดีอีกมากมายที่จะถูกปิดผนึกไว้ในสถานที่บางแห่ง และข้อมูลเหล่านั้นอาจปรากฎศาสตร์ที่ช่วยตอบคำถามบางอย่างบนโลกใบนี้ให้สิ้นสงสัย….ก็เป็นได้…..งงเด้ งงเด้ เอาเป็นว่าผู้เขียนเองยิ่งเขียนยังงงเองเลย อิอิ

โม้มาโม้ไปเริ่มจากออกแกรนด์ไลน์ จะเหลาเรื่องปราสาทมากกว่านี้ ประเดี๋ยววันนี้กระทู้นี้ก็จะไม่จบเสียที เอาเป็นว่าอีกนิดหน่อยพอหอมปากหอมคอให้จบในท่อนสองท่อนนี้ก็แล้วกันเนอะ

ภาพแกะสลักต่างๆที่หลายภาพยังคงรายละเอียดค่อนข้างจะครบถ้วน ความหมายของภาพ ไอ่คนที่ไม่ได้เรียนโบรานคดีมาอย่างผู้เขียนก็ทำได้แต่เดาไปต่างๆนาๆตามที่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ แหม่ รับสมัครนักโบรานคดีไฟแรงซ้อนฟรีมาเที่ยวเสียมเรียบด้วยกันอีกสักทีได้ไหม


ที่แน่ๆคุณพี่มาดเข้มติ้วตระบองโตๆแบบนี้….ภาพนี้เป็นทวารบาลชัวร์ๆ เชื่ออิโอเมก้าเต๊อะ
เอาเข้าจริงๆแล้ว หลายสิ่งในปราสาทบายนแห่งนี้ค่อนข้างจะผสมผสาน เนื่องจากเป็นปราสาทหลักที่ผ่านการใช้งานมาหลายยุคหลายสมัย คนเก่าสร้างไว้ คนใหม่มาครองเมืองไม่ชอบก็สั่งยกสั่งย้าย ถ้าย้ายไม่ได้ก็สกัดออกดื้อๆก็มี จะบอกว่าเสียดายก็คงไม่ดีนัก เพราะทั้งหมดมันก็เป็นธรรมชาติของคนนี่แหละ วันนี้ชอบ หลายๆวันผ่านไปอาจจะไม่ชอบ อันนี้มะรึงสร้าง กูไม่เอา จะเอาที่กรูสร้าง ไม่ชอบหน้าคนเก่าจะปล่อยของที่สื่อถึงบารมีคนเก่าทิ้งไว้เป็นเสี้ยนตำตาเพื่อประโยชน์อันใด…มันก็จริงในเหตุผลของเขานะ ว่ากันมิได้ดอก เอาเป็นว่าปราสาทแห่งนี้ผ่านการดัดแปลงให้เป็นทั้งศาสนสถานในศาสนาพุทธมหายานมาบ้างแล้ว แล้วบางทีก็วนกลับเป็นฮินดูอีก ตามแต่ความเชื่อของกษัตริย์องค์อื่นในยุคต่อๆมา ยุ่งเหยิงรุ่งริ่งเป็นลิงแก้แหกันแบบนี้แล

ในส่วนของปรางค์ประธาน ปัจุบันมีพระพุทธรูปมาประดิษฐานไว้ แต่ดูจากร่องรอยของบางสิ่ง ก่อนจะเป็นพระพุทธรูป ก็อาจเป็นเทวรูป หรือ สัญลักษณ์แห่งผู้สร้างอย่างเช่นศิวลึงค์ก็เป็นได้

เดินกลับมา พระอาจารย์ก็คอยประทับอยู่แถวๆรถ แต่ดูแล้วคงไม่เหงา เพราะบองมาชวนเหลาเพียบเลย

มาเพ่งให้ดีๆ เจ้ามอเตอร์ไซค์มีพ่วงท้ายนี่เอาสร้างจุดยึดไว้ตรงนั้นเอง คาดว่าคงเชื่อมยึดกับจุดยึดกันตกเป็นแน่
ดับกระหายคลายองศาเดือดด้วยน้ำอ้อยคั้นสดๆใส่เต็กกอ(น้ำแข็ง) สนนราคาค่าเสียหาย 1 ดอลลาร์

คุณยายมาขายกล้วย เมื่อพระเจ้าตาเห็น…เอ้ย พระอาจารย์เห็น…จึงซื้อไว้หนึ่งหวี แล้วก็ยกให้ยายเอาไปกินเองนั่นแหละ มาแบบนี้จะหอบกล้วยไปอย่างไรจ๊ะยาย [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

อีกมุมที่จอดถ่ายกับปราสาทบายนได้สวยเต็มใบ ไว้จะกลับมาใหม่มาแก้มือสักสามวัน

มุมใกล้ๆกันก็เป็นมุมยอดนิยมพรีเวดดิ้งเช่นกัน
ความรู้สึกเมื่อครั้งขี่มอเตอร์ไซค์ลอดซุ้มประตูในเขตปราสาทนครธม คล้ายดั่งภาพในนิมิตที่เราเคลือนผ่านระหว่างอดีตอันแสนไกล ถึงปัจจุบันที่หายใจ ไปสู่อนาคตกาลที่หฤหรรษ์ หากกล่าวว่าหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดแห่งบนโลกใบนี้ที่คุณควรไปยลด้วยสองตาของตนเอง… มีอยู่หนึ่งแห่งและหนึ่งประตูที่ชาวสองล้อควรแสวงโอกาสไปจาริกผ่าน ย่อมต้องเป็นประตูแห่งนี้อย่างไม่ควรสงสัย จงหาโอกาสไปสักครั้งเถิด

มาดูรูปอีกที…อุ่ย ตอนขี่เข้าไปไม่เห็นเลยนะเนี่ย
จากมหานครในอดีตกาล ช่วงบ่ายเรามุ่งหน้าสู่มหานครแห่งปัจจุบันกาลของชาวกัมพูชา ยึดเส้นทาง National Highway หมายเลข 6 ไว้ ไม่น่าจะหลง ถนนจากเสียมเรียบไปพนมเปญอยู่ในสภาพค่อนข้างดี ช่วงสุดท้ายสัก 50 กิโลเมตรก่อนถึงพนมเปญเป็นถนนสี่เลนมีเกาะกลางแล้วนะเออ ช่วงนอกเมืองเราจะไม่ค่อนพบเห็นสามแยกหรือสี่แยกซื่อๆ แต่จะทำเป็นลักษณะทางเบี่ยงตัว Y และวงเวียนแบบนี้มากกว่า สังเกตป้ายให้ดีว่าเมืองที่จะไปต้องเบี่ยงไปทางไหน หรือออกจากวงเวียนทางไหน



ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละเก้าสิบ สองข้างทางในกัมพูชาจะดูเวิ้งว้างแลไกลโพ้นเช่นนี้แล แต่ถ้าเข้าเขตชุมชนเมื่อไรจงเปิดประสาทสัมผัสให้รอบด้าน ทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์พร้อมจะโผล่มาตัดหน้าคุณอย่างไม่แยแสต่อเสียงแตรที่กดเตือน จะให้ดีอย่าขี่ไวในเขตเมืองทุกที่ทั้งในไทยและต่างประเทศนั่นแหละประเสิรฐที่สุดแล้วจ่ะโยม


ลักษณะบ้านของชาวกัมพูชาในชนบท จะยกพื้นสูง ตามธรรมเนียมของชุมชนที่ปลูกสร้างในที่ราบแม่น้ำขนาดใหญ่ที่พร้อมจะรับมือน้ำหลากน้ำท่วมได้ตลอดเวลา

และแล้วในเวลาประมาณเกือบๆหกโมง เราก็บรรลุถึงเป้าหมายที่สองในการเดินทาง นั่นคือการมาเยี่ยมดีลเลอร์ของสตาเลี่ยนในกรุงพนมเปญนั่นเอง นี่ไง แบรนด์ไทยออกไปขายเพื่อนบ้านแล้วนะเออ แว่วๆว่าจะมีเปิดที่เวียดนามด้วยนะ (ต้องขี่อีกไหมเนี่ย) ตำแหน่งที่ตั้งของโชว์รูมนี่ถ้าเทียบในกรุงเทพก็อยู่แถวๆสีลมเลยนะเนี่ย








จอดรวมๆกับโมโตกุชชี่ ดูผ่านๆก็ดูไม่รู้หรอก ๕๕๕

ชักภาพร่วมกับพนักงานสตาเลี่ยนสาขาพนมเปญ เป็นอันปิดจ๊อบ วู้ววววฮ่า
ตกเย็น เราก็หาที่พักแถวๆ Central Market ที่อยู่ใกล้ๆโชว์รูมสตาเลี่ยนนั่นแหละ ถามไปถามมาได้ที่นี่ในราคา 14 เหรียญ…เทียบกับไทยแล้ว…บรรยากาศแถวๆที่พักอารมณ์ประมาณแถวๆข้างหัวลำโพงที่จะไปวงเวียน 22 เลยฮะ อิอิ

ภาพด้านบน….มุมล่างซ้าย ดูคล้ายคราบ…อืม ไม่เอาน่า ไม่คิด

เรื่องเล่าห้อง 201 L.S.Guset house phnom penh

หลังจากที่เห็นคราบอันมีพิรุธ ผมหันไปคุยกับพระอาจารย์ว่า ถ้าพี่เขาโผล่มานี่จะเอายังไงดี พระอาจารย์จอมขมังเวทย์หัวเราะเอิ๊กๆ ไม่มีอะไรหรอกน่า….

คุยเสร็จผมก็เดินเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ ตอนที่กำลังสระผมอย่างเมามัน…ไฟดับจ้า

เปิดประตูออกมา เอ้า ดับทั้งตึก ดับทั้งถนน เลยบอกให้พระอาจารย์ช่วยหยิบไฟฉายที่ชาร์จไว้ที่หัวเตียงมาปิดให้แสงสว่างหน่อย

พระอาจารย์จึงท่องว่า แอ๊กซีโอ้ ไฟฉาย!!!….ไม่ใช่ละ!!

พระอาจารย์คลำหาสักแปบ ก็ได้แสงสว่างที่พอใช้มา….

ผมก็อาบน้ำต่อจนเสร็จ ไฟก็ยังไม่มา มองไปนอกหน้าต่าง อ้าววว ชาวบ้านเขาไฟมากันหมดแล้วนี่หว่า

เดินลงไปแจ้งเคาท์เตอร์ให้มาดูไฟให้หน่อย สักแปบไฟที่ห้อง 201 ก็กลับมาสว่าง

แหม่….ทักหน่อยไม่ได้เลยนะ ทักกลับทันทีเชียว ซัวสะไดโว้ยยยยย

Day…4

พนมเปญ —> อรัญประเทศ

วันที่สี่ของการเดินทาง หลังจากทำธุระส่วนตัวและมัดสัมภาระให้แน่นหนาเสร็จสิ้น เมื่อดูในแผนที่ เราพบว่าบริเวณหน้าวังของเจ้าสีหนุ อยู่ไม่ไกลจากย่านที่เราพักเท่าไรนัก ว่าแล้วก็ไปเก็บภาพเป็นหลักฐานสักหน่อยว่ามาถึงพนมเปญแล้วจ้า

นักท่องเที่ยวยังนิยมนั่งสามล้อถีบที่เบาะผู้โดยสารอยู่ข้างหน้า ก็เหมือนๆกับทีถ้านักท่องเที่ยวมาไทยแล้วชอบนั่งตุ๊กๆนั่นแหละ
มื้อเช้าตามสูตรของเรา หนีไม่พ้นอาหารโปรดของพระอาจารย์ จอดมั่วๆเจอร้านอร่อยอีกแล้ว ร้านนี้ขี่ออกมาจากใจกลางเมืองสักห้ากิโลเมตรเห็นจะได้

จากนั้น เราก็รูดต่อมาสักพักมาแวะเติมน้ำมันอีกที ตอนเติมลองคุยกับน้องนิดหน่อย พอเรายกกล้องขึ้นถ่าย น้องยังทำหน้านิ่งๆ เลยบอกน้องไปว่า you can smile ^^

ตลอดทาง National Highway หมายเลข 5 สภาพถนนเป็นลาดยางที่ไม่ค่อยเรียบดีสักนัก แต่ก็พอถูไถไปได้เรื่อยๆ  ป้ายบอกทางชัดเจน ดูแล้วไม่น่าจะหลง มองหาคำว่าปอยเปตหรือบันเตียเมยเจยเข้าไว้ เดี๋ยวก็ถึง ยิงกันยาวๆผ่านจังหวัดโพธิสัตว์และพระตระบองตามลำดับ

มาถึงบันเตยเมยเจย ขี่ต่อมาอีกไม่กี่สิบกิโลเมตร เราก็มาถึงด่านอรัญประเทศในที่สุด แวะปั้มพาสปอร์ตออกจากกัมพูชา พอเข้าด่านไทยก็ทำตาลำดับขั้นตอน ผ่านสบายไร้ปัญหาจ้า

มาถึงก็บ่ายแก่ๆแล้ว แถมฝนยังตกอีกต่างหาก พระอาจารย์เลยเสนอว่าเห็นควรนอนที่อรัญอีกสักคืน
Day…5

อรัญประเทศ —> บางกอก

เช้าวันสุดท้ายของการเดินทาง อากาศสดชื่นจากฝนเมื่อคืน ที่พักที่เราเลือกบรรยากาศก็ค่อนข้างโปร่งสบาย ตื่นสายๆแล้วไปเดินตลาดโรงเกลือสักหน่อยค่อยเผ่นกัน

รอบนี้เราค้นพบเมนูเด็ด ข้าวหมูย่าง ซอยหน้าเทศบาลอรัญประเทศ หมูย่างเตาถ่านแสนหอมหั่นชิ้นพอดีคำมากับข้าวสวยอุ่นๆ อร่อยจนต้องเบิ้ลกันเลยล่ะ


จากนั้นก็ลากยาวกลับบางกอกโดยสวัสดิภาพ สิ้นสุดการเดินทางแต่เพียงเท่านี้ ขอตัวหม่ำข้าวสักแปบจะมาสรุปอีกทีเนอะ
บทสรุปการเดินทาง….

ช่วงนี้นักเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ที่ชอบเข้าออกชายแดนไปขี่เล่นประเทศเพื่อนบ้าน ดูจะอึดอัดใจสักหน่อย เนื่องจากหลายๆด่านของฝั่ง สปป.ลาว ยอมให้ผ่านไปเฉพาะมอเตอร์ไซค์ที่ขนาดเครื่องยนต์เกินกว่า 250cc ขึ้นไปเท่านั้น (ล่าสุดด่านเชียงของก็ใช้กฎนี้แล้ว)

เมื่อลองค้นหาข้อมูลการเดินทางด้วยการขี่มอเตอร์ไซค์ป้ายทะเบียนไทยเข้าไปเที่ยวในกัมพูชาในpantip พบว่ามีปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับ สปป.ลาว อาจเป็นเพราะกัมพูชามีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ ไม่ค่อยมีเทือกเขาสลับซับซ้อนห้ได้วิวสวยๆเหมือนฝั่ง สปป.ลาว และเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้ทราบว่าฝั่งกัมพูชา ถ้าไม่ดำเนินการผ่านทัวร์ก็ไม่ให้เข้าเช่นกัน

จึงเป็นที่มาของการเดินทางในครั้งนี้ เพื่อเสาะแสวงหาเบาะแสในการเดินทางข้ามด่านชายแดนไปด้วยมอเตอร์ไซค์อย่างถูกกฎหมาย และสามารถเอามอเตอร์ไซค์ที่ขี่ข้ามไปเอาเข้าไปขี่เที่ยวในกัมพูชาได้อย่างถูกกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีในหมู่นักเดินทางข้ามแดนด้วยมอเตอร์ไซค์ว่า….วันนี้ข้ามได้ พรุ่งนี้อาจข้ามไม่ได้ ก็เป็นเรื่องปกติที่สุดที่เคยเจอๆกันมา ดังนั้น แนะนำว่า การเดินทางควรจะมีแผนสำรองว่าถ้าเข้าไม่ได้ จะไปไหนต่อดี เผื่อข้ามไม่ได้จริงๆจะได้ไม่เสียอารมณ์มากนัก

การใช้ชีวิตของนักท่องเที่ยวในกัมพูชา หากท่านเคยไปลาวมาแล้วบ้าง ก็ไม่ต้องปรับตัวอะไรไปมากกว่าภาษาท้องถิ่นที่ฟังไม่ออกอย่างสิ้นเชิง (ภาษาลาวเรายังพอฟังรู้บ้างไม่รู้บ้าง) แต่อย่าได้กังวล เพราะพี่น้องกัมพูชาที่เคยข้ามมาทำงานบ้านเราก็มีไม่น้อย ถ้าถามใครในชุมชนใหญ่ๆแล้วเขาพูดไทยไม่ได้ สักพักคนพูดไทยได้จะเดินมาหาเราเอง อัธยาศัยรายทางจัดอยู่ในขั้นดี ความปลอดภัยของทรัพย์สิน วางอะไรไว้ มัดอะไรไว้บนรถมอเตอร์ไซค์ก็ไม่มีใครมายุ่งกับเราเลย ส่วนของเจ้าหน้าที่ก็ยิ้มใส่เราเสียเป็นส่วนมาก นอกเสียจากว่าตรงไหนห้ามเข้าห้ามจอดเขาก็จะส่งสัญญาณมือบอกเราโดยสุภาพ

ทั้งชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ดูออกแน่นอนว่าเราเป็นรถมอเตอร์ไซค์ต่างถิ่น ไม่ใช่ดูจากยี่ห้อหรือรุ่นรถ แต่เพราะฝั่งกัมพูชาเขาไม่เปิดไฟหน้าในเวลากลางวันกันต่างหาก ๕๕๕ ส่วนกลางคืน ถ้าไม่มืดจริงๆนี่ก็ไม่ยอมเปิดไฟวิ่งกันนะเออ แปลกดีเหมือนกัน

การจราจรที่ไม่คุ้นชินตามระบบที่เคยเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศส ที่ทำให้เราต้องปรับตัวในการขี่ชิดขวา ก่อนออกรถก็ต้องปรับตัวหันไปมองข้างหลังทางซ้ายก่อนออก มีอยู่ทีเหมือนกัน เผลอหันมองทางขวา พอไม่มีก็ออกเลย รถวิ่งเฉียดมาทางซ้าย เอาเสียใจหายแว้บไปทีหนึ่ง ในเมืองใหญ่ๆตามแยกต่างๆนี่หาตำแหน่งของตัวเองให้เจอว่าจะไปทางไหนจะต้องไปจอดรถตรงไหน ออกไปแล้วไปเลี้ยวเข้าช่องไหน ถ้าเหม่อๆนี่มีมึน อิอิ

ความเร็วในการเดินทางควระวังให้มากพาหนะแปลกๆที่ไม่เห็นในบ้านเราอาจทำให้เราเดาทางได้ยาก ส่วนมากเป็นพาหนะทางการเกษตรที่ไปช้าๆเรื่อยๆ ส่วนมอเตอร์ไซค์แทบ 99%เลยที่ใช้ความเร็วอยู่ประมาณ40-60กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังนั้น เขาไม่คุ้นชินกับการกะระยะของมอเตอร์ไซค์ที่เดินทางด้วยความเร็วมากกว่านั้น จะแซงจะอะไรบีบแตรนำไปก่อนเป็นดีทีุ่สุด ถึงที่ชุมชนรถเยอะๆ ก็ใช้ความเร็วให้กลมกลืนกับการจราจร จะลดโอกาสเกิดอุบัตเหตุได้มาก

ลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุให้มากที่สุด เพราะฝั่งกัมพูชาไม่มีการบังคับให้ทำประกันเหมือนขี่เข้าไปเที่ยวใน สปป.ลาว เกิดเหตุอะไรขึ้นมาจะลำบาก รถฉุกเฉินดีๆดูแล้วมีแต่ตามโรงพยาบาลในเมืองใหญ่เท่านั้นครับ

การจับจ่ายใช้สอย แนะนำให้แลกเป็นดอลลาร์ไปจากฝั่งไทยให้เหลือใช้จะคุ้มค่ากว่า จ่ายดอลลาร์ซื้ออะไรไปถ้าราคาไม่ถึงคุณจะได้รับเงินทอนเป็นแบงค์เรียลกลับมาเอง แต่ไม่แนะนำให้แลกเรียลถือไว้เยอะๆ เพราะถ้าเผลอถือกลับมาฝั่งไทยต้องไปหาแลกกับแม่ค้ากัมพูชาที่ข้ามไปมาค้าขายเท่านั้น แถมแบงค์เล็กๆก็ไม่รับแลกด้วย (นี่คือโดนมาแล้ว อิอิ)

อาหารการกิน เครื่องดื่ม รวมไปถึงน้ำมันเชื้อเพลิง ราคาก็ไม่ต่างไปจากฝั่ง สปป.ลาว สักเท่าไร กะระยะทางให้ครอบคลุมแล้วตีค่าใช้จ่ายน้ำมันเป็นลิตรต่อหน่วยหนึ่งดอลลาร์ได้เลยจ้า


บทสรุปพาหนะที่ใช้ในการเดินทาง

แม้จะถูกปรามาสว่าเป็นรถจีนแบรนด์ไทย แต่จากการที่ผู้เขียนทดสอบด้วยตนเองหลายครั้ง พบว่า CT400 เป็นรถที่เชื่อใจได้ในการเดินทางไกลๆในระดับหนึ่ง ตลอดระยะทางที่เดินทาง ไม่มีปัญหาจุกจิกกวนใจแต่อย่างใด จะให้ดีก่อนออกเดินทางควรตั้งวาลว์ก่อน เพราะปัญหาเท่าที่คุยกับโรงงานก็คือรุ่นนี้ค่อนข้างจะต้องตั้งวาลว์บ่อยสักหน่อย แต่ถ้าคิดว่าเสียวาลว์นิดๆหน่อยๆไม่ใช่ปัญหา เจ้าCT400 ก็นับเป็นม้าใช้งานอเนกประสงค์ในราคาที่เทียบกับคู่เปรียบในประเภทเครื่องและพิกัดเดียวกัน ก็นับว่าถูกกว่าเป็นครึ่ง ไม่พบปัญหาเบาดับหรือกำคลัทช์ดับในช่วงเกียร์ 1-2 ตลอดการเดินทาง อัตราสิ้นเปลืองที่ความเร็วเดินทางประมาณ 100 km/hrs นั้น ไฟเตือนน้ำมันขึ้นโชว์เอาเมื่อระยะทางประมาณ 260 กิโลเมตร จากอัตราสิ้นเปลืองประมาณนี้ ถ้าขี่แบบเนียนๆก็น่าจะวิ่งได้ใกล้เคียงระยะทาง 300km ต่อน้ำมันหนึ่งถัง(13ลิตร) ซึ่งเป็นระยะทางที่จัดอยู่ในเกณฑ์ดีสำหรับรถที่จะเลือกเอามาใช้เดินทางระยะไกล จากการทดสอบตามเส้นทางนี้ระบบช่วงล่างและยางหน้าหลังไม่พบปัญหาแต่อย่างใด

ส่วนเจ้า Stallions CENTAUR 250 MAX ที่พระอาจารย์เป็นผู้ขับขี่ คงเล่าได้แต่เพียงปัญหาเรื่องลูกปืนที่พบ เมื่อกลับมาแจ้งที่โรงงานและส่งผลการทดสอบให้ผู้บริหารทราบ ในเบื้องต้น ผู้บริหารได้สั่งให้ตรวจสอบคุณภาพลูกปืนล้อหลังและหากพบว่ามีลูกปืนยี่ห้ออื่นที่เทียบขนาดแล้วตรงกัน และมีคุณภาพที่ดีกว่า ให้ฝ่ายR&D เดินเรื่องจัดซื้อแล้วส่งให้ดีลเลอร์ไปแจ้งให้ลูกค้ามาเคลมทันที (เรื่องนี้ไปนั่งเหลากับทีมR&Dของสตาเลี่ยนมาอีกหลายชั่วโมง) ส่วนของก้านเกียร์ที่หลุด ฝ่ายโรงงานได้รับทราบและกำชับให้ตรวจสอบความแน่นของน๊อตต่างๆในการประกอบก่อนส่งมอบให้ลูกค้าต่อไป ส่วนอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยแล้วก็พอๆกันกับ CT400 จัดว่าเป็นรถที่ไปด้วยกันได้ดีทั้งสองคัน

นอกนั้นก็อย่างที่เห็น ทั้งสองคันสามารถเดินทางไกลไปกลับได้อย่างสวัสดิภาพ

สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณสมาชิกทุกท่านที่ติดตามอ่านกระทู้นี้จนจบ

ขอบคุณ  Stallions Motorcycle และ Just-Ride-it ที่สนับสนุนให้เกิดการเดินทางในครั้งนี้

เรา  Pantip Reviews @รัชดา & Just ride it ยังคงยึดมั่นที่จะจัดทำบทความเพื่อนำเสนอสิ่งต่างๆอย่างเป็นกลางต่อไป

https://www.facebook.com/stallionsmotor

https://www.facebook.com/justrideitteam/

ขอบคุณครับ

อมยิ้ม17

Link ต้นฉบับ https://pantip.com/topic/36266248