Ride Now Kawasaki Vulcan S 650 สบายๆวันหยุดกับโซฟาวิ่งได้ ไปกินเกล็ดหิมะแก้ร้อนกัน

ผมเชื่อว่าหลายๆท่านคงเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ตายแล้วไปไหน”
แต่คราวนี้ผมขอตั้งคำถามกับตัวเองใหม่ว่า “ขี่แล้วไปไหน”

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
เพลงและบทความไม่เกี่ยวกันนะฮะ

สวัสดีครับมิตรรักนักขี่นักเที่ยวทุกท่าน กลับมาพบกับนายหัวฟูคนนี้อีกแล้วครับ

คำเตือน
รูปมีเยอะมาก สำหรับท่านที่เน็ตไม่แข็งแรง แนะนำว่าโหลดทิ้งไว้ก่อน แล้วไปชงกาแฟซักแก้ว ซดเข้าไปใจเย็นๆนะครับ

 

วันนี้ผมได้รับโอกาส เอารถเค้ามาขี่เที่ยวอีกแล้วครับ  แต่จะขี่เปล่าๆ เฉยๆ แก้คันอย่างเดียวก็ดูจะใช่ที่ ขอเก็บทั้งภาพ ทั้งคหสต. ยสตน.

เอ้า เราไปเที่ยวกันก่อนนะครับ เอาใจสายท่องเที่ยวก่อน สายแว๊น สายเก็บรายละเอียด ฉันจะซื้อดีมั้ย ฉันสูงเท่านั้นเท่านี้จะขี่ได้มั้ย
รอก่อนนะครับ

ทริปนี้เป็นทริปไม่สั้นไม่ยาวนะครับ ใช้เวลาช่วงเสาร์อาทิตย์วันหยุดก็พอจะแร่ดได้หลายสถานีอยู่ครับ

แวะเช็ครถ กินกาแฟมื้อเช้าในปั๊มยอดฮิต และร้านกาแฟที่ชาวขับ ชาวขี่ นักเที่ยว คนเดินทางรู้จักกันดี จีบไว้ขนาดนี้เผื่อผู้บริหารร้านเค้ามาอ่านเจอ อาจจะได้กินกาแฟฟรีไปทั้งชาติ

เลขไมล์ตอนออกเดินทาง น้ำมันเต็มถัง ลุยโลดดดด

เติมน้ำมันลงไปเท่านี้นะ ช่วยกันจำด้วย มาดูว่ามันจะวิ่งไปได้ซักกี่โล

เริ่มต้นเดินทางจากที่พักย่านบางโพ ไปตามถนนพิบูลย์สงคราม เลี้ยวซ้ายขึ้นสะพานพระราม5 วิ่งเล่นที่ถนนนครอินทร์ แล้วเวียนวงลงไปที่ถนนกาญจนาภิเษกมุ่งหน้า บางบัวทอง ย่องๆจนมาโผล่ที่ถนน 340  บางบัวทอง สุพรรณบุรี ถนนเส้นนี้สวยดีครับ ช่วงเช้าๆประมาณ 6โมง รถรายังไม่ขวักไขว่มากมายนัก  ตุรัดตุเหร่ไปแบบเรื่อยๆ แป๊บเดียวก็มาโผล่ที่จุดแลนด์ม๊ากใหญ่โต มโหรทึก แห่งสุพรรณบุรีครับ


ที่มาตั้งต้นจุดนี้เพราะจะแวะมาหาโลเคชั่นถ่ายภาพครับ 555+

ถือโอกาสไหว้ขอพรศาลหลักเมืองสุพรรณฯให้อำนวยพร ให้ทริปนี้ปลอดภัย ปลอดฝน ให้คนอ่านกระทู้นี้ได้ยิ้มเยอะๆ บลาๆ ขอเสร็จก็หยอดตังลงตู้ ช่วยค่าน้ำค่าไฟสถานที่เค้า ตามกำลังครับ


ค่าใช้จ่ายและรอบในการเข้าชมพิพิธภัณฑ์มังกรนะครับ เผื่อใครจะจองล่วงหน้า
ทว่าผมไม่ได้เข้าชมครับ เดินเล่นรอบๆแทน







อา… บรรยากาศยังกะเดินอยู่ต่างประเทศ จริงๆไม่ใช่อะไรหรอกฮะ ขี้เกียจถอดเสื้อหนะครับ วิถีแห่งไบค์เกอร์ช่างตับแตกยิ่งนัก

 

ภาพนี้ลูกพรี่ผมกำลังจะชวนลิงน้อยทะเลาะ -0-

เดินๆร้อนๆ เหนื่อยๆ ในหมู่บ้านมังกรสวรรค์มีร้านค้า ร้านข้าว รวมถึงร้านสะดวกซื้อไว้บริการครับ


ราคาอาหาร เครื่องดื่ม ไม่แพงครับ ปริมาณ มาตรฐาน ผมถูกใจใช่เลย สองจานนี้ข้าวมันไก่พิเศษ สองจาน 70 บาท (ขออภัยที่ตากล้องดันถ่ายติดผมเข้าไปด้วย อาจทำให้ข้าวไม่น่ากินได้)

กินอิ่ม หายเหนื่อย หายร้อนแล้ว ไปลุยกันต่อนะครับ
เลี้ยวซ้ายออกจากมังกรยักษ์ ขับตามทางมาเรื่อยๆ ไม่ไกลมาก สังเกตซ้ายมือนะครับจะเจอป้ายนี้ อย่ากระนั้นเลย ระยะไม่กี่กิโลเมตร มีให้ชม 9 วัด เลี้ยวโลดดดดดด

แต่ถ้าหากนำภาพทั้ง 9 วัดมาลงตรงนี้ ท่านผู้อ่านที่รักของผม คงปิดกระทู้เสียเป็นแน่ กระนั้นแล้ว ผมขอยกหนึ่งในจำนวน 9 วัดที่ผมแวะและใช้เวลาอยู่ที่นี่นานที่สุดก็แล้วกันนะครับ

นั่นก็คือวัดแค ซึ่งมี หลวงปู่คง คุ้มขุนแผน และ ต้นมะขามยักษ์ 1000 ปี นั่นเองครับ
ภายในก็จะมีเรือนโบราณ จำลองวิถีชีวิตแบบของคนภาคกลาง ในยุคราวสมัยอยุธยาไว้ให้เราเยี่ยมชมด้วยครับ






เจ้าเรือน ยืนรอต้อนรับ _/l\_

ไหว้พระ 9 วัดเสร็จ ถึงตอนนี้ก็เพลาประมาณล่วงเพลแล้ว จุดหมายต่อไปของผมก็คือ อำเภอ วิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทองครับ

ใช้ถนนสายหลัก สายใหญ่ ของสุพรรณ มุ่งหน้า ชัยนาท หากขับผ่านศูนย์ราชการประจำจังหวัดมาแล้ว ให้สังเกตป้ายบอกทางไปจังหวัดอ่างทองนะครับ เราต้องออกจากถนนสายหลัก ชิดซ้ายไปแล้วจะเจอ สี่แยก โพธิ์พระยา เลี้ยวขวาเพื่อที่จะตรงตามทางไปอำเภอวิเศษชัยชาญ ระยะทางจากแยกโพธิ์พระยาถึงตัวอำเภอวิเศษฯประมาณ 30 กิโลเมตรครับ
จุดมุ่งหมายของปลายทางนี้หาได้เป็น วัดม่วง ไม่ครับ มิใช่ ผมกำลังจะพาท่านไปเที่ยวตลาดเก่าแห่งนึงในอำเภอวิเศษฯ นั่นก็คืออออออ~~~

ที่นี่ครับ ตลาดศาลเจ้าโรงทอง อยู่หลังวัดนางในครับ ถ้ามุ่งหน้าวัดม่วง อำเภอเมืองอ่างทอง ตลาดจะอยู่ทางขวามือครับ

บรรยากาศภายในตลาดแห่งนี้ก็จะเป็นบ้านไม้เก่า ผสมกับบ้านแบบใหม่ครับ ผสมกันอย่างค่อนข้างลงตัว ของขายก็จะมีขนมพื้นบ้านแปลกๆ ที่หากินได้ยากครับ ลองไปเดินเล่นกันดู


ส่วนผมเจอป้าคนนี้นั่งยิ้มอยู่ข้างทาง เห็นดำๆในกระด้ง ผมคิดถึงวัยเด็กที่เคยปีนเจ้าต้นนี้เพื่อเก็บลูกมันมากินแบบไม่กลัวคอหักตายมาแล้วก็เลยขอจัดมาซัก 20 บาท
อา…. วันเวลาช่างทำร้ายกันได้ลงคอ เพราะถึงวันนี้ผมคงหมดปัญญาปีนเก็บ “ลูกหว้า” มากินเองแล้วละครับ

 

ขับขี่กันมาจนถึงตอนนี้ก็นับระยะได้เป็นร้อยกิโลแล้วละ ร้อนด้วย ไปหาอะไรเย็นๆกินกันดีกว่าครับ

ร้านนี้ตั้งอยู่หลังการประปาอำเภอวิเศษฯนะครับ จะมีแท้งค์น้ำสูงๆเป็นจุดสังเกตอยู่ทางขวามือ มีคลองประปา จากถนนใหญ่วิ่งเข้าไปประมาณ 500เมตร ร้านจะอยู่ซ้ายมือนะครับ


บรรยากาศข้างๆร้านนะครับ เหมาะกับการชักภาพและเช็คอินเนาะ

อากาศมันร้อนนน เข้าไปตากแอร์ สั่งไอติม สั่งกาแฟในร้านกินดีกว่าครับ

อาส์… ชื่นใจ เย็นจัง


ราคากาแฟสด แก้ง่วงกันซักแก้วนะครับ



คุณพ่อเจ้าของร้าน กับ น้องใหม่ เจ้าของร้านสุดสวย ขอถ่ายภาพคู่กับ Vulcan หน่อย

คืนนี้ผมก็นอนพักซะที่นี่ละครับ อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย มานอนบ้านเค้าแล้ว ผมก็ขอทำกับข้าวให้เจ้าบ้านชิมซะหน่อย
มีเครื่องแกงอิมพอร์ตมาจาก นครศรีธรรมราชแล้ว นึกเมนูอะไรไม่ออกก็นี่เลยครับ แกงคั่วเผ็ดกระดูกหมู ปลาทอด ไก่ต้มตะไคร้ใส่ขมิ้น ไข่เจียว เท่านี้ก็อิ่มพุงแตกแล้วครับ





ใครหิวๆมาเปิดเจอตอนนี้ ผมกราบขออภัยจากใจดวงน้อยๆเลยนะฮะ 5555+
(ทำภาพประกอบกระทู้เองก็พุงลั่นไปด้วยเลย)

ก่อนเข้านอนคืนนี้ผมปรึกษากับคุณพ่อ คุณแม่ และน้องใหม่ ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนต่อดี แถบสุพรรณฯ แบบว่าขากลับพรุ่งนี้ไม่อยากกลับมืด พ่อกับแม่ให้โจทย์มาแค่คีย์เวิร์ดสั้นๆว่า “บ้านควาย”

 

การเดินทางมาที่นี่ ไม่ยากอีกแล้วครับ ออกจากวิเศษฯย้อนกลับทางเดิมมาแยกโพธิ์พระยา แล้วเลี้ยวขวาครับ ไปเรื่อยๆ จนถึงอำเภอ ศรีประจันต์ ครับ จากนั้นมองขวามือดีดี จะมี ควาย กระบือ ตัวใหญ่โตยืนรอต้อนรับเราอยู่


ทางเข้าและค่าเยี่ยมชมสถานที่

ฟายเอ๊ยยยยยยยย

เกวียนสวยๆแบบต่างๆ

อ้ะ เดินมาเจอของเล่น ยังงี้สวยแน่

เจอสายหมอบหน่อยดิ้

เอ่อ เดี๋ยวนะเดี๋ยว มาบ้านควายนะ ทำไมมีแต่ไอ้ฟายนี่  เอาควายตัวเป็นๆมาเดี๋ยวนี้นะ เอามาไวไว

 





มีหญ้า มีน้ำให้ควายกินได้ตลอด มีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำดูแลให้ความรู้แก่ผู้มาเยี่ยมชมตลอดนะครับ ควายบางตัว เจ้าหน้าที่อนุญาตให้จับ ให้ลูบ รวมถึง ขึ้นไปขี่หลัง ถ่ายภาพเล่นได้ครับ
**(ควรสอบถามเจ้าหน้าที่ก่อนนะฮะ ว่าตัวไหน ขึ้นได้ หรือไม่ได้)**

เสร็จจากบ้านควายไทยนี้ ผมก็ยิงยาวรวดเดียว กลับกรุงเทพเลยครับ

 

เอาละครับ ทีนี้มาถึงรายละเอียดเกี่ยวกับตัวรถกันบ้างนะครับ

ราคา 285.000 บาท มาในรูปทรง ครุยเซอร์ พิกัด 650 cc. (649 cc.) ให้พลัง 61 แรงม้า ราคาไม่โหดร้ายจนเกินไปนัก
ณ ตอนนี้ มี 2 สีให้เลือกคือ ดำ และ ขาว เครื่องยนต์ 2 สูบ บลอคที่เราคุ้นเคยกันดีนั่นละครับ ใช้การจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย หัวฉีด ระบายความร้อนด้วยน้ำ


กุญแจหน้าตาที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว


มุมมองจาก ค๊อกพิท แฮนด์บาร์กว้างใหญ่ มุมมองไม่มีอะไรขวางกั้นสายตา และ สายลมก็เช่นกัน มาเต็ม


แผงหน้าปัด แบบสมัยใหม่ มีทั้ง อนาลอก และ ดิจิตอล สนธิกำลังร่วมกันทำงาน มองง่าย สะดวกต่อการทำความเข้าใจ


ถังน้ำมันขนาด 14 ลิตร เท่าที่ผมใช้ชีวิตด้วยเนี่ย เข็มวัดน้ำมันจะชี้ขีดสุดท้ายจนกระพริบก็ต่อเมื่อ น้ำมันใช้หมดไปแล้วประมาณ 10 ลิตร จะเหลือในถังประมาณ 4 ลิตรนะครับ ไฟกระพริบแล้วหายห่วง ไปได้อีกเป็น 100 กิโลเมตรเลยละครับ


หลอดไฟ H4 สว่างแน่นอน เหลือเฟือ


ประกับด้านขวา คุ้นเนาะ กระปุกน้ำมันเบรคก็คุ๊นน คุ้น ที่ต่างออกไปก็คือ กระจกมองข้าง มุมมองพอใช้ได้


ประกันด้านซ้าย คุ้นอีกแล้ว


มือคลัชท์ และมือเบรคปรับระดับได้ ลองหมุนดูนะครับ ชอบใครชอบมัน ไม่เหมือนกัน


ปั้มเบรคหน้าขนาดใหญ่โต พร้อมจานเบรค มีรูเซ็นเซอร์ระบบ ABS ขนาดล้อและยางหน้า 120/70 R18 จานเบรคขนาด 300 มม.


ชุดล้อหลังขนาดยอดฮิต 160/60 R17 จานเบรคขนาด 250 มม. ยางทั้งหน้าและหลัง เป็นแบบ Tubless


ช๊อคอัพหลัง การวางรูปแบบที่เราคุ้นชินกันอยู่แล้ว ปรับพรีโหลดได้ 7 ระดับ
ช๊อคอัพหน้า เทเลสโคปิคขนาดแกน 41มม.



เปิดฝาถังแล้วไม่ต้องเอามาถือ มีบานพับมาให้ ระบบล๊อคปิดฝาถังแบบปกติ




สภาพยางหน้าหลังเดิมๆ ชุดช่วงล่างเดิมๆ และสภาพพักเท้า ขอบอกเลยครับว่า “เอาอยุ่”

ระบบเบรคหน้า เหลือจานเบรคด้านเดียว ลองกดหนักๆดูแล้ว ให้ความรู้สึก ดื้อ อยู่สักนิด อาจจะเป็นเพราะเหลือจานดิสหน้าเพียงข้างเดียว
ด้านหลังไม่รู้สึกถึงความแตกต่างจากเพื่อนร่วมรุ่น ร่วมค่าย อีกสามโมเดล

พละกำลังในมือมีมาให้เหลือเฟือครับ สำหรับการเดินทางแบบปกติ ทางราบๆ หรือมีโค้งที่ไม่โหดร้ายจนเกินไปนัก แต่หากจะเอาไปลุยทางเถื่อน คงไม่เหมาะสักเท่าไหร่


อัตราสิ้นเปลือง ตามนี้นะครับ 9.8 ลิตร วิ่งได้ 258 กิโลเมตร ทำได้ 26.3 กิโลเมตร ต่อ ลิตรเลยทีเดียว
คงเป็นเหตุเพราะทริปนี้ผมไม่ได้บินเดี่ยวนะครับ มีสก๊อยติดท้ายมาด้วย หนึ่งคน ทำให้ต้องใช้ความเร็ว เฉลี่ยประมาณ 90-120 กิโลเมตร ต่อชั่วโมงตลอดเส้นทาง แต่ก็มีบางขณะที่ถนนโล่งมากๆ ผมลองเปิดคันเร่งขึ้นไปเริ่อยๆ จนความเร็วไต่ระดับไปถึง 140 – 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แบบไม่ยากเย็นนัก และยังเหลือคันเร่งในมือ กับรอบเครื่องอีกเพียบครับ

ตำแหน่งท่านั่ง นายแบบสูง 173 เซนติเมตร น้ำหนัก ไม่บอก สัดส่วน ความลับ








จะเข็นเดินหน้า ถอยหลัง ไม่มีปัญหาครับ

 

มาสรุปกันดีกว่า

กับครุยเซอร์สายพันธุ์ญี่ปุ่นแท้ๆคันนี้  น้ำหนักรวมๆ  225 กิโลกรัม เบาะสูงไม่มาก แต่ฐานล้อยาว
ในเมืองคงดูไม่ถูกที่ถูกเวลาสักเท่าไหร่
แต่กับการเดินทางไกล แล้วนั้นสำหรับตัวผู้ขับขี่แล้วต้องถือว่า สบายมากๆ เรี่ยวแรงพละกำลัง มีให้ใช้เหลือเฟือ (แต่ต้องวางบรรทัดฐานของสปอร์ตแท้ๆ ตัวแรงไว้บ้านก่อนนะครับ)

สุ้มเสียงจากท่อเดิมๆ สบายหู ทั้งต่อตัวเอง และเพื่อนร่วมทางแน่ๆครับ ที่ความเร็ว 140-160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ยินเสียงท่อไม่มากเลย เสียงลมดังกว่ามาก

ผู้ขี่สามารถใช้เข่าบีบเข้าหาถังน้ำมันได้อยู่บ้างครับ ทั้งตอนขี่และตอนเข้าโค้ง ไม่มีความร้อนให้ได้สัมผัสมากนัก
มันประเสริฐมากๆเลยจ๊อด อยู่ด้วยกันสองวัน พัดลมไม่หมุนเลยแหละ

ส่วนคอมเม้นท์จากทางคนซ้อน ซึ่งผมเคยหลอกพาไปนั่งรถรุ่นนึง ซิ่งไปไกลถึง สังขละบุรี ก็ยังไม่บ่นอะไรให้ได้ยิน ฝากบอกมาว่า “เมื่อยค่ะ เบาะหลังแข็งม๊ากกก หากมีพนักพิงหลังแข็งๆ ทนๆ มาให้พิงสักอัน น่าจะกิ๊บเก๋ยูเรก้า อาบาบีบี เจ้าค่ะ”

ขอลากันไปด้วยภาพนี้ครับ เห็นพี่พมีถ่ายที่เชียงใหม่แล้วเท่ห์ดี ก๊อปปี้ซะเลย

เวลาผมทำกระทู้ทุกกระทู้ให้เป็นกระทู้แรกทุกครั้งแหละ เพราะตื่นเต้นทุกๆครั้งที่นั่งลงตรงหน้าคอม พร้อมพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ด
เอ.. เค้าจะชอบกระทู้เรามั้ย จะมีคนเห็น คนอ่านกระทู้เราบ้างหรือไม่ เอาเถอะ ไม่มีใครอ่านก็เก็บไว้อ่านเอง 555+

ขอขอบคุณ
ผู้ใหญ่ใจดี ที่ให้รถทดสอบ และทีมงานราชพฤกษ์ที่น่ารัก เพราะตอนแรกรถไม่ได้เตรียมเบาะซ้อนท้ายไว้ให้ แต่ทีมงานก็จัดการหามาใส่ให้จนเรียบร้อยครับ https://www.facebook.com/motoaholicshop
ทีมงานJust Ride it ที่ติดต่อ หาของเล่น และประสานงานความสะดวก การรับรถทดสอบ และระดมความคิดสร้างงานออกสู่ชาวเราเสมอมา

ร้าน I-Smile ไอศครีมเกล็ดหิมะ – วิเศษชัยชาญ  ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็พร้อมต้อนรับผมเสมอ ทั้งที่นอน ที่กิน

และผู้อ่านทุกๆท่าน ที่หลงกล เข้ามาและอ่านจนจบบทความ

ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ