RIDE NOW – กาลครั้งหนึ่ง ຫນອງຄາຍ – ວັງວຽງ – ຫລວງພະບາງ 

กาลครั้งหนึ่ง ຫນອງຄາຍ – ວັງວຽງ – ຫລວງພະບາງ

กราบสวัสดี พี่ๆน้องๆลุง ป้า น้า อา ทุกท่านครับ
กลับมาเขียนแชร์ประสปการณ์อีกครั้งหลังหลังจากมีโอกาสไป ท่องเที่ยว ในสถานที่ใหม่
<ใหม่สำหรับผู้เขียน อาจจะธรรมดาสำหรับพี่ๆนักเดินทางมือเก๋า>
ก็ขออนุญาตแบ่งปัน เรื่องราวการเดินทางของผู้เขียนเองถ่ายทอดไว้เป็นตัวอักษร
อาจจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย…


ทริปนี้ผู้เขียนได้เดินทางไปกับคาราวานของทาง Honda BigBike จัดทริปพาไปขี่รถเที่ยวประเทศ ลาว
ในคอนเซป Asian Xperience The Privilege Travel #Road To LuangPraBang


ข้อดีของการออกทริปนอกประเทศกับทีมงานใหญ่ พร้อมสรรพไปด้วยทีมงานก็จะสะดวกสบาย
หน่อยเรื่องขั้นตอนในการยื่นเอกสารผ่านแดน ไม่ต้องปวดหัวเรื่องเอกสารหรือไปลุ้นหน้าด่าน
ว่าจะผ่านได้หรือผ่านไม่ได้………
<จากประสปการณ์ของผู้เขียนเอง ก็มีหลายคราที่ต้องหันหัวกลับ แบบอกหัก ฝันสลายจากดุลยพินิจของแต่ล่ะด่านนั้นๆ>

ข้อด้อยก็ อารมณ์เดียวกับกรุ๊ปทัวร์ที่จะต้องรักษาเวลา ล้อหมุนกี่โมงตามตารางที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
ก็จะเอาแต่ใจตัวเองไม่ได้ เหมือนเราไปคนเดียวหรือไปกับกลุ่มเพื่อน
เดินทางไปแบบคาราวานก็สนุกไปอีกแบบนึง……จะรูปแบบไหน ไม่เกี่ยง ขอให้ได้ขี่รถเที่ยวเถอะ อิอิ

………………. เม่าบัลเล่ต์

DAY 1 ອຸດອນທານີ – ຫນອງຄາຍ – ວັງວຽງ

ทริปนี้นั่งเครื่องบินมาตั้งหลักกันที่ อุดรธานี เพื่อรับรถที่ทางทีมงานจัดการขนส่งมาให้ก่อนแล้ว


รถมาจอดรออยู่ที่ศูนย์บิ๊กวิงอุดรเรียบร้อย CB500X เล็กไปเลยพอไปจอดข้างๆพี่ใหญ่ CRF1000


การเดินทางรอบนี้มีสมาชิกรวมๆกันประมาณ80ลำ <เยอะมาก>
ในการเดินทางเพื่อไม่ให้ขบวนยาวเกินไป ทั้งหมดจะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย 4-5กลุ่ม
เพราะจากจำนวนรถที่เยอะมาก แล้วก็ใหญ่ๆทุกคัน ถ้าขี่เป็นขบวนกันยาวๆน่าจะยาวเป็นร้อยเมตร


เส้นทางในวันแรกเราก็จะออกสตาร์ทจากอุดรธานีมุ่งหน่าสู้หนองคายเพื่อไปผ่านด่านชายแดนจังหวัดหนองคายเข้าสู่ลาว


อากาศดีครับ แดดเปรี้ยงไม่มีวี่แววของเมฆฝนแต่อย่างใด
มาถึงด่านก็ขอแชะภาพเป็นหลักฐาน ไว้เช็คอินหน่อยว่ามาถึงแล้วนะ อิอิ


จากนั้นทีมงานก็จัดการเรื่องเอกสาร ทั้งคนทั้งรถ ในการข้ามแดนให้เรียบร้อยก็จะได้ใบนี้มา
เอกสารสำแดงรถไว้ตอนเราขี่ข้ามด่าน อ่านไม่ออกแต่ลงรายละเอียดทะเบียนรถอะไรไว้หมด
ทั้งเลขเครื่อง ทะเบียนและสีรถ มีค่าใช้จ่าย in bound fee 25000กีบ ส่วนคนขับขี่ก็ใช้พาสสปอร์ตครับ


เอกสารที่ต้องเตรียมในการข้ามด่าน

– พาสสปอร์ต
– คู่มือการจดทะเบียนรถ <เล่มเขียว>
– ใบชับขี่ <แบบสมาร์ทการ์ด>
ส่วนขั้นตอนในการ ยื่นเอกสารผ่านแดนก็อย่างที่ผู้เขียนบอกไว้ ทีมงานจัดการให้ทั้งหมด…แฮ่
เอกสารพร้อม รถพร้อม คนพร้อม….เรียบร้อยก็เดินทางกันต่อจ้า
อ้อ….ต้องตั้งสติเมื่อข้ามมาฝั่งลาวนิดหน่อยเพราะสลับช่องทางในการเดินรถมาอยู่ทางขวา


ข้ามมาแล้วทีนี้มอเตอร์ไซค์…อย่างเราๆท่านๆ
ก็วิ่งขวาสุดขอบทางได้แบบสบายใจเต็มร้อยไม่มีตำรวจจับวิ่งขวาแน่นอน
ไปกันเถอะร้อนแล้ว เท่เท่เท่


พอพ้นออกจากด่านเข้ามาฝั่งลาวแล้วถนนหนทางในฝั่งลาวก็จะเป็น ถนนราดยาง2เลนวิ่งสวนกัน
สภาพถนนถือว่าโอเคเลย ดีกว่าที่เคยไปเจอที่เวียดนามมาพอสมควรเลยล่ะ แต่ก็เล็กและแคบพอๆกัน
รถลาในฝั่งลาวค่อนข้างน้อยกว่า แต่ก็จำกัดความเร็ววิ่งกันอยู่ประมาณ 60-70-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ครับ


ป้ายบอกต่างๆก็จะแปลกตาหน่อยอย่างที่เห็นในภาพคือ ข้างหน้าโค้งซ้ายเป็นเส้นโค้งไม่มีหัวลูกศรแบบบ้านเรา
<ภาพในตอนขับขี่มุมมองอาจจะขัดหูขัดตาผู้อ่านหน่อยเพราะถ่ายจากกล้องแอคชั่นแคมที่ติดอยู่ตรงอก>
การเดินทางในวันแรกแรกก็ไม่มีอะไรมากครับ อากาศไม่ร้อนมากไม่มีฝนตกมาให้รถเลอะ


เพื่อไม่เป็นการยืดเยื้อ วาร์ปมาที่จุดเช็คพ๊อยท์จุดแรกกันเลยล่ะดีกว่า “บลูลากูน”


อาจจะเป็นช่วงโลวหรือเปล่าไม่แน่ใจ นักเที่ยวบางตา



บลูลากูน ตามชื่อแล้วมันต้องสีน้ำเงิน หรือ สีฟ้า แต่….เดี๋ยวก่อนทำไมดูขาวๆ
สาเหตุคือจะหนักไปทาง นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีซะเยอะ มันก็เลยจะดูขาวๆหน่อยนึง…..แฮ่
หัวเราะหัวเราะหัวเราะ


พอๆเรื่อมออกทะเล กลับเข้ามาเรื่องการเดินทางของเราต่อ…..ยิ้มยิ้มยิ้ม
แวะพักเหนื่อย เล่นน้ำ เช็คอิน ดูสาวเกาหลีกันพอเพลินๆแล้วก็จัดแถวตั้งขบวนเดินทางไปวังเวียงกันต่อดีกว่า


วิวสองข้างทางมันช่างแจ่มเหลือเกิน ขอแตกแถวแวะถ่ายรูปเป็นที่ระทึกหน่อยนึง


สังเกตุดูว่าธรรมชาติทางฝั่งลาวยังมีความสมบูรณ์อยู่มาก ตลอดสองข้างทางก็จะมีหมู่บ้านประปราย
รายล้อมไปด้วยเรือกสวนไร่นา สลับกับป่าข้างทาง เดาว่าถ้ามาขี่รถเที่ยวตอนหน้าหนาว น่าจะฟินกว่าเดิมหลายเท่าตัว


ทริปนี้มีเจ้า X ADV มาด้วย1ลำเป็นรถของทาง บิ๊กวิงกรุงเทพ ผู้เขียนเองมีโอกาสได้ขี่ในตอนท้ายๆที่จะกล่าวถึง


หลังจากเข้าที่พักเก็บของอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัว กินข้าวเย็นเรียบร้อยก็ออกไปหาขนมกินกันอีกนิดหน่อย

ร้านโรตีเยอะมาก เปิดติดๆกันเป็นสิบๆ


เดินไปเดินมาหลายรอบก็ไปจบที่



กับ ลาเต้เย็นๆซักแก้วก่อนนอนอีกเล็กน้อย


จบวันแรกในการเดินทางมาถึงประเทศลาวไปแบบ ชิล ชิล
วันนี้ทั้งคณะก็จะพักค้างแรมกันที่ วังเวียง1คืนเพื่อเดินทางต่อไป หลวงพระบางในวันรุ่งขึ้น

DAY 2 ວັງວຽງ – ຫລວງພະບາງ


วันที่สองของการเดินทาง เช้านี้ฟ้าขมุกขมัวไม่ใสเหมือนเมื่อวานก็แอบคิดในใจว่าฝนอย่าตกเลย
เพราะที่ผ่านมา ถนนค่อนข้างลื่นนิดๆอยู่แล้วถ้าฝนตกลงมาเสริมอีกคงจะบันเทิงน่าดู
แถมวันนี้ระยะทางจะสั้นกว่าวันแรก แต่ต้องผ่านภูเขาทางค่อนข้างชันพอสมควรซะด้วย


เราจะใช้เส้นทางทางหลวงหมายเลข13 มุ่งหน้าสู่ เมืองกาสี แล้วเลี้ยวซ้ายขึ้น ภูเก้าโล<ถามจากชาวบ้านมาเค้าเรียกกันแบบนี้>
ในแผนที่ก็ยังไม่มี หมายเลขทางหลวง บอกไว้ด้วยก็จะขอเรียกตาม ข้อมูลที่ได้มาครับ
เราไม่วิ่งเส้น 13 ภูคูน ที่เป็นสายเก่า….แต่หลายท่านที่เคยมาบอกว่าสายเก่ามันส์กว่า ช่างท้าทายยิ่งนัก
เพราะทางจะโค้งเยอะและถนนแคบขึ้นเขาตลอด….เอาไว้รอบหน้าจะลองหาโอกาสเล็ดลอดไปขี่รถเล่นคันเดียวดูบ้าง


หลังจากเลี้ยวซ้ายจาก กาสี มุ่งหน้าสู่ภูเก้าโล ระหว่างทางที่ขี่ผ่านมีหมู่บ้านตามเส้นทางเป็นระยะๆ
ก็จะเจอสารพัดสัตว์ อาทิ หมา วัว แพะ หมู ไก่ เป็ด สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่พร้อมจะวิ่งตัดหน้าหรือเดินขวางถนนอยู่ตลอดเส้นทาง
อันนี้นักเดินทางสองล้อ คงต้องระวังไว้ให้หนักเพราะถ้าเกิดเฉี่ยวชนทริปมันจะหมดสนุก แถมเจ็บตัว เสียเบี้ยเสียอัฐกันไปเปล่าๆ


สังเกตเห็นรอยดำเป็นปื้นๆในโค้งมั้ยครับ เกิดจากน้ำที่รถสิบล้อรถขนส่งเค้าใช้น้ำหล่อเย็นเบรคตอนลงเขามา
แล้วก็จะเป็นแบบนี้ในแทบจะทุกๆโค้งตลอดเส้นทางบน ภูเก้าโลจริงๆ….<หลอนนึกว่าคราบน้ำมันตลอดทาง>


เส้นทางเริ่มชั้นขึ้นเรื่อยๆตามระดับความสูงของภูเขา ยิ่งสูงยิ่งหนาวดังว่า…..
จากสองข้างทางรายล้อมไปด้วยป่าไม้เขียวๆก็จะเริ่มเปลี่ยนทิวทัศน์เริ่มขมุกขมัวขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ….จนกระทั่ง



แทบจะมองทางไม่เห็นนึกว่ากำลังวิ่งไปใน Silent Hills ถนนพังมีการซ่อมแซมแบบประมาณว่าบดๆทิ้งไว้ก่อนเป็นช่วงๆ
อากาศเริ่มเย็นลง จนหนาวทั้งๆที่เมื่อตะกี๊ ก่อนจะขี่ขึ้นมายังร้อนได้ใจอยู่เลย…….ขี่จนขึ้นมาถึงจุดชมวิวก็จะหนาวๆหน่อย


หมอกหนามาก มากจนไม่เห็นวิวอะไรเลย สอบถามจากไกด์สาวได้ความว่า
ถ้าในวันที่แดดดีๆเราจะเห็นถนนข้างล่างที่เราวิ่งขึ้นมาได้จากบนนี้


คณะทั้งหมดก็จะแวะกันที่นี่เพิ่อรอขบวนหลังตามมาสมทบกันครบ
พักเหนื่อยมานั่งสูดอากาศเย็นๆให้ชุ่มปอดกันหน่อย
หนาวๆแบบนี้ต้องหาอะไรอุ่นๆมากระตุ้น การทำงานของร่างกายกันซักเล็กน้อย


ของกินอุ่นๆ ที่หาง่ายที่สุดในเวลานี้ก็………..ในราคา 10000Kp ประมาณ 40บาท
ก็อุดหนุนกันไปนิดหน่อยๆจัดว่าเป็นมาม่ามื้ออีก1มื้อที่ฟินไปกับบรรยากาศมาก


เสียดายว่าหมอกลงจัดมากจนระยะมองเห็นย่ำแย่ ไม่งั้นวิวคงสวยกว่านี้แน่ๆ


หลักจากพักเหนื่อยรับโอโซนจากอากาศเย็นๆ ค่อนไปทางหนาวกันจนหนำใจแล้ว
ทั้งคณะก็พร้อมที่จะเดินทางต่อกันแล้ว

วาร์ปมาถึง ຫລວງພະບາງ ประมาณ16:30 กำลังดีเข้าที่พักเก็บของอาบน้ำล้างตัวเปลี่ยนชุด
ไปเดินเล่นวัดถ้ำพูสี ดูพระอาทิตย์ตกกับทิวทัศน์เมือง ຫລວງພະບາງ ยามเย็น…..ทางเดินขึ้นวัดนั้น
ต้องใช้กำลังขากันพอสมควร เดินขึ้นไปถึงก็เล่นเอาลิ้นห้อย 555+




แต่ภาพที่ได้มาก็ถือว่าคุ้มค่าเหนื่อยที่ตะกายขึ้นมาจนถึงได้ ภาพนี้ถ่ายจากจุดชมวิวบนวัดถ้ำพูสี


เกร็ดเล็กน้อย: ประเทศลาวไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวนำ โดรน หรือ อะไรก็ตามที่บินขึ้นไปถ่ายรูปจากมุมสูงได้ขึ้นบินเด็ดขาด
หากต้องการถ่ายทำจริงๆต้องทำหนังสือขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร ไปขอนุญาตผู้ว่าหัวเมืองต่างๆยุ่งยากน่าดู
งานนี้โดรน Phamtom 4 Pro ของทีมงานเลยมีอันต้องระเห็ดไปนอนเงียบๆตลอดทริปซะงั้น


ลงจากวัดถ้ำภูสีมาอีกฝั่งก็จะเจอกับตลาดกลางคืนขายสินค้าพื้นเมืองต่างๆคึกคักใช้ได้ทีเดียวล่ะ





Cr: ขอยืมภาพมาจากกล้องกลางของทางทีมงานครับ

หลังจากเดินเล่นกินข้าวกันจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ต้องท่องราตรี ຫລວງພະບາງ กันหน่อย
มาถึงลาวต้องไป บาสะโล๊ฟ หือออออออออออมันคืออะไรชื่อแปลก

ไม่รู้อะไรหอบมายืนอยู่หน้าร้านอะไรซักอย่าง บรรยากาศคล้ายๆคาราโอเกะบ้านเรา
แต่ที่ป้ายมีเขียนว่าไนท์คลับ คิดในใจเอาล่ะสิคืนนี้จะถึง ຫລວງພະບາງ มั้ย555+


ถามจากทีมงานที่พาพวกเราไปก็ได้ความว่า เป็นไนท์คลับที่ชาวลาวเค้าจะมาดื่มกินแล้วก็เต้นรำแบบ บาสะโล๊ฟกันที่นี่
ไม่รู้จะพิมอธิบายอย่างไรให้เห็นภาพ เอาว่าอัพเป็นคลิปที่ผู้เขียนถ่ายไว้ให้ดูบรรยากาศการเต้น บาสะโล๊ฟ เลยล่ะกัน

เกร็ดเล็กน้อย:  “บั๊ดสลบ” หรือ “บาสะโล๊ฟ” คือการเต้นรำหมู่ของประเทศลาว
วิธีเต้นเต้นเป็นแถวหลายๆคนทั้งชายทั้งหญิง ส่วนมากจะเต้นกันในงานมงคล หรืองานรื่นเริง
หากใครได้ดูหนังเรื่อง”สะบายดีหลวงพระบาง” จะมีฉากนี้ทั้งสองภาค ตอนที่นางเอกชวนพระเอก(อนันดา)
ไปงานแต่งงานเพื่อนนางเอก และมีฉากการเต้นรำที่เต้นเดินหน้า ถอยหลัง ไปซ้ายไปขวา สลับขาไปมา
นั่นแหล่ะครับที่เรียกว่า”บัดสลบ” ดูแล้วเต้นบัดสลบเรียบร้อยดีมาก สมกับที่ประเทศลาวยังคงรักษาประเพณีวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี
ที่มา: https://www.gotoknow.org/posts/551910

ชอบมากพยายามเต้นแล้วแต่ยังเต้นไม่ได้พึ่งเคยเห็นเป็นอะไรที่ดูเรียบร้อยน่ารักมากกกกกกก
ตอนแรกที่เข้ามานั่งในไนท์คลับกัน นอกจากกลุ่มของผู้เขียนแล้ว ลูกค้าอื่นๆก็เริ่มทยอยเข้ามา
มีเด็กเล็ก ลูกเด็กเล็กแดง ลุงป้า เข้ามาเราก็งงไนท์คลับมันต้องเป็นสถานที่ อโคจร นี่นา
พอทุกคนเริ่มลุกมาเต้นก็ถึงบางอ้อ กันเลย

หลังจากสนุกสนานเฮฮาอย่างมากกับ บาสะโล๊ฟ ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนพรุ่งนี้ต้องไปสำรวจเมือง ຫລວງພະບາງ กัน

DAY 3 กาลครั้งหนึ่ง ຫລວງພະບາງ 


นี่เป็นครั้งแรกของผมที่ได้มาเยี่ยมเยือน ຫລວງພະບາງ เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นมรดกโลกขึ้นชื่อเรื่องความชิล
วันนี้ทั้งคณะค่อนข้างชิลหลังจากที่เราขี่รถมาสองวันเต็ม ขอชิลๆสบายๆกันบ้างเล็กน้อย


เน็ต 4G เจ้ากรรมที่ซื้อซิมลาวใส่ไว้ก็หมดเลยต้องขอไปร่อนหาซื้อขัตรเติมเงินก่อน


วนหาอยู่ซักพัก ก็เหลือเห็นร้านค้าข้างทางมีป้ายบอกว่าขายบัตรเติมเงิน เราก็งงๆ<ทำเป็นงง>
ให้แม่ค้าคนงามช่วยเติมให้หน่อย……อิอิ
วันนี้ชาวคณะ ก็มีโปรแกรมไปท่องเที่ยวกัน แต่ผู้เขียนไม่ได้ไปด้วย
ขออนุญาตแยกตัวออกมาร่อนสำรวจ ຫລວງພະບາງ กับเจ้านี่สองต่อสอง


เจ้า X ADV คันนี้ขอยืมมาจากทีมงานบิ๊กวิงครับ ต้องขอขอบคุณทีมงานไว้ ณ.ที่นี้ด้วยครับ


X ADV ไดัรับการพีฒนามาจากแนวคิด Go Everywhere with Excited feeling
ซึ่งทำให้เป็นสกู๊ตเตอร์ กึ่งลุยที่สามารถตอบสนองการใช้งานทั้งในเมืองและนอกเมืองไปจนถึงรูปแบบออนโร้ดหรือออฟโร้ด


ชิลด์กันลมด้านหน้าสามารถปรับได้ 5 ระดับ หน้าตาเรือนไมล์ แดชบอร์ดก็จะอวกาศๆหน่อย
ระบบกุญแจแบบ Keyless ไม่มีรูเสียบกุญแจ มีรีโมตอันเล็กมาให้1อัน
ซึ่งผู้เขียนเดาว่าในอนาคต มอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ๆจะนำระบบนี้มาใช้กันแทบทั้งหมด
จะว่าสะดวกก็สะดวกนะครับ แต่โอกาสลืมรีโมตก็ค่อนข้างเป็นไปได้สูง


X ADV สกู๊ตเตอร์เครื่องยนต์ 4 จังหวะ 2 สูบ ขนาด 745 ซี.ซี.
ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ DCT ย่อมาจาก Dual Clutch Transmission
สามารถเลือกการขับขี่ได้ทั้งเกียร์ Auto และเกียร์ Manual
ซึ่งระบบเกียร์ Auto สามารถเลือกการขับขี่ได้ 2 โหมดคือโหมด D ในการขับขี่ทั่วไปเหมือนในรถยนต์
และโหมด S คือ โหมดสปอร์ตก็จะลากรอบสูงขึ้นมาอีกหน่อย


สุดท้ายคือ โหมด Manual กดปุ่ม +/- เปลี่ยนเกียร์กันเองเลยจ้า
เข้าใจง่ายๆก็เกียร์ Paddle Shift แบบในรถยนต์นั่นแหละครับ บอกเลยว่าถ้าได้สัมผัสจะหลงรักระบบนี้
จะขี่สบายไปไหน…คิดในใจว่าถ้าฮอนด้ายัดระบบ ครูซคอนโทรลมาให้พร้อมเกียร์ DCT
ตั้งความเร็วไว้ซัก 60Km/h แล้วแกะข้าวกล่องมากินกันบนรถได้เลย….ฮา


ออฟชั่นอื่นก็ แทรคชั่นคอนโทรล ระบบเบรคABS มาครบจบที่คันเดียว
เริ่มสายอากาศเริ่มจะร้อนแวะจิบลาเต้เย็นๆแกล้มกับขนมปังฝรั่งเศษ รองท้องกันหน่อย….



ตอนบ่ายก็ต้องเตรียมตัวชิปรถกลับบ้านเรากันล่ะ….
ทีมงานจัดการขนส่งรถ 70-80 คัน กลับจากหลวงพะบางถึงกรุงเทพกันเลยจ้า
ส่วนคนขี่ก็นั่งๆนอนๆรอเวลาขึ้นเครื่องกลับ


ทริปนี้เป็นการเดินทาง ในอีกรูปแบบนึงที่ผู้เขียนได้สัมผัส ปกติคือไปไหนมาไหนก็จะขี่ไปขี่กลับ
งานนี้ส่งรถไปรอที่อุดรธานี แล้ว บินไปรับรถเพื่อขี่เที่ยวเมืองลาว แถมขากลับส่งรถขึ้นรถกลับบ้าน
ส่วนคนขึ้นเครื่องบินกลับ…..ก็สบายไปอีกแบบนึง

ในการเดินทางไม่ว่าจะรูปแบบไหน…สำหรับเราๆท่านๆที่รักการขับขี่ท่องเที่ยวมันคือการชาร์ตแบต
เติมพลังให้กับชีวิต ได้ไปเห็นสถานที่ใหม่ๆที่ยังไม่เคยไป….เพื่อเติมพลังให้มีแรงใช้ชีวิตกันต่อไป
<เอาจริงๆคือยังมีแรงขี่มอเตอร์ไซค์ไหวก็ต้องตักตวงไว้ก่อน อิอิ>


วันนี้ต้องขอตัวลาไปก่อน…ถ้ามีโอกาสไปทริปอีกจะเก็บเรื่องราว และ ภาพถ่ายมาเล่าสู่กันฟัง<อ่าน> ต่อๆไปครับ

– ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ
– ขอบคุณพี่ๆน้องๆที่ร่วมเดินทางด้วยกันในทริปนี้
– ขอบคุณทีมงาน และมาแชล รวมไปถึงไกด์ทุกท่าน
– ขอบคุณ HondaBigBike ที่เปิดโอกาสให้ทีมเล็กๆอย่าง Just Ride it ได้ไปร่วมเปิดประสปการณ์ในครั้งนี้

ขอบคุณอีกครั้งจากเรา Just Ride it

เก็บตกจากร้านข้างทาง…….

นี่คือปู…น่าจะปูน้ำจืด จากแหล่งน้ำบนภูเขานะครับเพราะแถวที่แวะมีแต่ภูเขา


เวลามีลูกค้ามาซื้อ แม่ค้าก็จะจับๆยัดใส่ชะลอมแล้วชั่งกิโลขายแบบนี้



ส่วนไอ้เจ้านี่….ตัวอ้น ญาติสนิทของหนู หน้าตาน่ารักเห็นอย่างนี้น่าจะอร่อยนะ….





อาจจะขัดกับความรู้สึกกันซักเล็กน้อย….แต่ก็เป็นเรื่องจริงในวิถีชีวิตที่ปฎิเสธไม่ได้
เป็นอาหารพื้นถิ่น เป็นโปรตีนที่ ชาวบ้านจะหาได้จากสภาพแวดล้อมที่เป็นภูเขาสูงตามธรรมชาติแบบนี้

ปล. ผมไม่ได้กินนะ แค่เก็บรูปกับถามข้อมูลจากแม่ค้ามาเฉยๆ อมยิ้ม02อมยิ้ม02อมยิ้ม02