::ตามรอยพ่อ ด้วยสองล้อที่มี @ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน by GPX DEMON DARK EDITION 2016::

::ตามรอยพ่อ ด้วยสองล้อที่มี @ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน by GPX DEMON DARK EDITION 2016::

หากพูดถึงการเที่ยวทะเลสวยๆซักที่ “จันทบุรี” มักเป็นเมืองที่คนส่วนใหญ่มองข้าม ด้วยหลายปัจจัยทั้งการเดินทางที่ไกล
แหล่งท่องเที่ยวหรือสิ่งบันเทิงเริงใจก็ยังไม่ค่อยมีเหมือนจังหวัดอื่นๆในละแวกเดียวกัน แต่ทว่า…อัจฉริยะบุคคลท่านหนึ่ง
มองเห็นความสวยงามของ “จันทบุรี” ในมุมที่ต่างออกไป ใช่แล้วค่ะ สก๊อยกำลังกล่าวถึง “พ่อหลวงของเรา” พระองค์ท่าน
ทรงมีสายพระเนตรที่ยาวไกลและเล็งเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปมองข้าม ก่อให้เกิดโครงการตามแนวพระราชดำริมากมาย
และเป้าหมายของเราในครั้งนี้ จะเป็นการตามรอยพ่อไปยัง “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ”
ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดจันทบุรีนั่นเองค่ะ มากระโดดซ้อนท้าย ออกเดินทางไปพร้อมๆกับสก๊อยกันนะคะ
เราออกเดินทางกันวันเสาร์ตั้งแต่เช้ามืดเช่นเคย ครั้งนี้มากับเจ้าปีศาจน้อยเฉดสีใหม่สองคัน
วิ่งตรงยาวโดยใช้เส้นทางออกจากกรุงเทพผ่านมีนบุรีมุ่งหน้าสู่จังหวัดฉะเชิงเทรา
เช้านี้อากาศค่อนข้างเย็นค่ะ เมฆหมอกมาครึ้มให้ได้ลุ้นกันอยู่เรื่อยๆ พยากรณ์อากาศวันนี้เค้าว่ามีโอกาสเจอฝนสูงเลยทีเดียว
รถเล็กถึงแม้จะมีข้อจำกัดตรงที่ทำความเร็วได้ไม่มาก แต่เพราะเหตุนั้น…มันกลับทำให้เราเห็นบางอย่างได้ชัดขึ้น
บางอย่างที่สำคัญอย่างเช่น น้ำใจของเพื่อน 5555 อันนี้ฮากันมากเพราะมันเมื่อยกว่าที่คิด จอดแวะพักกันบ่อยมากก
ทั้งสลับกันขี่ ผลัดกันแบกของ แลดูวุ่นวาย สุดท้ายเราก็มาถึงสามแยกอ.แกลงประมาณสิบโมง เติมพลังงานกันด้วยเกี๊ยวปลาร้อนๆ
ร้านนี้เป็นร้านประจำที่ต้องแวะมาโดนทุกครั้งที่ผ่านเลยค่ะ
ออกจากอ.แกลงมาแดดจ้าเลย ไม่ต้องคอยลุ้นฝนกันแล้ว วิ่งมาซักพักเราก็เลี้ยวเข้าสู่ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต
ถนนที่ถูกจัดอันดับว่ามีทิวทัศน์สวยที่สุดติดอันดับต้นๆของประเทศ เพราะมุมนี้จริงๆที่ทำให้ “จันทบุรี” เป็นทริปแรกๆที่คุณ Rider
ชวนสก๊อยมาด้วย แล้วก็ติดใจจนยอมซ้อนไปทุกที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ขี่กินลมกันเพลินๆ ก็ขอเปลี่ยนโหมดเป็นเดินชมวิวบ้าง ในที่สุดก็มาถึงกันจนได้ “ศูนย์ศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน”นั่นเองค่ะ
การจะเข้าไปยังสถานที่ใด เราก็ควรที่จะปฎิบัติตามกฎระเบียบพื้นฐานของสถานที่นั้น สละเวลาแวะอ่านป้ายกันซักนิด
และที่สำคัญอย่าลืมที่จะเคารพสิทธิของผู้อื่นด้วยนะคะ
มาทำความรู้จักกับ”ศูนย์ศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน”กันก่อนค่ะ ที่นี่เป็นสะพานไม้ที่จะพาเราลัดเลาะเข้าไป
ชมระบบนิเวศอันซับซ้อนของป่าชายเลน บอกเล่าเรื่องราวต่างๆตั้งแต่จุดกำเนิดของอ่าวคุ้งกระเบนผ่านศาลาธรรมชาติทั้ง 13จุด
ที่ทอดตัวเรียงรายอยู่ตลอดความยาว 1,793 เมตรของทางเดินศึกษาธรรมชาติแห่งนี้
เริ่มเดินเลยดีกว่าเนอะ เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุด มีผู้คนมาเที่ยวกันมากพอสมควรจนหาจังหวะถ่ายรูปค่อนข้างยาก
รูปแรกตรงซุ้มประตูทางเข้าก็แอบติดน้องนักศึกษามาด้วยซะแล้ว เง้ออ..ว่าแล้วก็ตามน้องเค้าไปเลยละกัน
ในช่วงแรกของเส้นทางศึกษาธรรมชาติจะเป็นส่วนของ “ไม้เบิกนำ” หรือเรียกอีกอย่างว่า “ทัพหน้าป่าชายเลน”
พืชเหล่านี้ช่วยดักจับดินเลน ทำให้มีพื้นที่งอกเงยออกไปจากชายฝั่ง เป็นการเตรียมสภาพทางธรรมชาติให้เหมาะสมกับไม้จำพวกโกงกาง
ซึ่งเป็นไม้ที่มีลำต้นและระบบรากที่แข็งแรงกว่า หากไม่มีไม้ทัพหน้าเหล่านี้ ป่าชายเลนก็จะไม่สามารถขยายพื้นที่ออกไปได้เลย
เมื่อผ่านทัพหน้า ก็ขอเชิญมาพบกับทหารราบ ไม้ตระกูลโกงกางที่เราเห็นคุ้นตาในป่าชายเลน เชื่อมั๊ยคะว่า ป่าชายเลน
ในบ้านเรานั้นถูกบุกรุกและทำลายลงไปมาก เพราะไม้โกงกางเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการนำมาแปรรูปเป็นถ่าน แต่ด้วยน้ำพระทัย
ของพ่อหลวง ที่ทรงมีดำริให้อนุรักษ์และขยายพันธุ์ไม้โกงกาง ทำให้ป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน ยังคงเป็นป่าชายเลนที่สมบูรณ์ที่สุด
และมีความสำคัญอย่างมากต่อระบบนิเวศชายฝั่งอ่าวไทยในทุกวันนี้
ระหว่างทาง ก็มีเพื่อนโผล่มาทักทายตลอด แอบได้ยินคุณ Rider บ่นพึมพำว่าโตเร็วๆนะเจ้าปู ในใจคงคิดไปถึงปูเผาแล้วแน่เลย 555
มาเจอกับทางแยกให้ตัดสินใจว่าจะไปทางไหนก่อนดี บางครั้งชีวิตก็เจอจุดพลิกผันที่ทำให้ต้องเลือก…ว่าจะออกเดินตามฝัน
หรือตั้งมั่นอยู่กับความจริง แต่สำหรับที่นี่ไม่ว่าจะเลือกทางไหน สุดท้ายก็วนกลับมาที่จุดนี้อยู่ดี ไม่ต้องคิดมากเนอะ
เดินตามเส้นทางมาสู่ศาลาชมวิว บริเวณนี้จะมองเห็นวิวของตัวอ่าวได้เกือบทั้งหมด ลมทะเลพัดมาเบาๆ วิวสบายตาจนนั่งแช่กันอยู่พักใหญ่
ใกล้ๆกันนี้ยังมี อนุสรณ์พะยูน หรือที่ชาวบ้านละแวกนี้เรียกกันว่า “หมูดุด” ในอดีตบริเวณนี้เคยเป็นแหล่งอาศัยของพะยูนจำนวนมาก
แต่ ณ ตอนนี้ก็ไม่พบพะยูนมาเกือบสิบปีแล้ว เราก็ได้แต่หวังว่าความพยายามของเจ้าหน้าที่ในการฟื้นฟูหญ้าทะเล
ซึ่งเป็นอาหารหลักของพะยูน จะสำเร็จและส่งผลให้พะยูนกลับมาอาศัยที่อ่าวคุ้งกระเบนได้ในที่สุด
ไฮไลท์ที่สำคัญอีกจุดก็คงหนีไม่พ้น “หอดูเรือนยอดไม้” ความสูง 15เมตร กว่าจะขึ้นไปถึงข้างบนได้นี่เล่นเอาหอบเลยทีเดียว
มองลงมา คนเหลือตัวนิดเดียวเอง
ในช่วงท้ายของทางเดินทางแอบมี Adventure เล็กๆ สะพานแขวนก็มากะเค้าด้วย
ยังไม่จบค่า วันนี้ทั้งวันจะจบมั๊ย.. แอบทำงานไปด้วย ไม่แน่ใจแล้วว่าตอนนี้อันไหนคืองานหลักกันแน่ 555
ในช่วงท้ายของทางเดินศึกษาธรรมชาติ เป็นส่วนของการบำบัดน้ำเสียด้วยกังหันน้ำชัยพัฒนา สิ่งประดิษฐ์ของพ่อ
ทุกสิ่งที่พ่อสอนจะเป็นมรดกให้ลูกหลานได้เดินตามรอยต่อไปอีกแสนนาน
แม้จะมีอุปสรรคขวางอยู่ข้างหน้าก็ไม่ย่อท้อ เพราะลูกมีคำสอนของพ่อเป็นแนวทาง
ออกจากป่า เราก็มุ่งหน้าสู่หาด หาที่พักผ่อนสำหรับคืนนี้ เนื่องจากทริปนี้ใช้วางแผนล่วงหน้าน้อยมาก เอาจริงๆก็เมื่อคืนนี้เลยแหละ 555
เลยต้องมาตายเอาดาบหน้า แวะถามอยู่หลายที่ สุดท้ายก็เจอที่ถูกใจ (และเป็นมิตรกับกระเป๋าตัง อันนี้เรื่องใหญ่ อิอิ)
บ้านหลังเล็กหันหน้าออกสู่ทะเลติดกับสะพานปลาบริเวณหาดเจ้าหลาว พักได้ 4-5คนในราคา 1,500-บาท
แต่บรรยากาศเกินราคาไปมากทีเดียว เอาแค่มุมปิ้งย่างที่คุณป้าเค้าจัดไว้ให้คืนนี้ก็ฟินล้าววว
หนีออกทะเลกันตลอด มันจะชิลล์กันเกินไปมั๊ย…
มาถึงทะเลทั้งที ก็ต้องมีซีฟู้ดกันหน่อย พิกัดวงเวียนปลาพะยูน ช่วงเย็นจะมีชาวบ้านเอาของทะเลสดๆมาขาย ราคาก็น่าคบหา
คุณ Rider นี่เค้าเล็งปูทะเลไว้ตั้งแต่ตอนเดินอยู่ในป่ายชายเลนแล้วค่ะ 555
แปรรูปกันอย่างว่องไว คุยไปกินไป ฟังเพลงเบาๆเคล้าเสียงคลื่น นี่แหละนิยามของคำว่า “สุข” (เอ๊ะ..หรือว่า จุก 555)
หลับสบายไปพร้อมกับสายฝน มารู้สึกตัวอีกทีก็เกือบหกโมงเช้า แปลกใจตัวเองที่วันหยุดไม่เคยต้องใช้นาฬิกาปลุกเลย แต่ดันตื่นได้
เช้ากว่าวันทำงานซะอีก ออกเดินสูดอากาศมาเรื่อยจนสุดที่ปลายสะพานปลา นั่งห้อยขาหามุมถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย เอ๊ะ…หางตาเห็นอะไรแว่บๆ
โผล่ขึ้นมาจากทะเล มือก็กดถ่ายรูปไปก่อนที่สมองจะประมวลผลซะอีก พอก้มลงไปมองใกล้ๆ สก๊อยถึงกับแอบกรี๊ด นี่มันเต่าทะเลนี่นา
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตสก๊อยเลยค่ะ ที่ได้เห็นเต่าทะเลในแบบธรรมชาติจริงๆ ปลื้มมากมาย พี่เค้าโผล่ขึ้นมาให้เห็นประมาณสิบวิก่อนจะจากไป
ทิ้งไว้แค่ความทรงจำและภาพถ่าย พี่คนเรือบอกช่วงนี้เริ่มมาให้เห็นบ่อย การฟื้นฟูป่าชายเลนน่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ระบบกลับมาสมดุลอีกครั้ง
ตื่นเต้นมากไปก็เริ่มจะหิว 55 พากันออกมาหาอะไรใส่ท้อง มื้อนี้ปูเสื่อกิน แต่ความฟินระดับห้าดาวเลยทีเดียว
อิ่มแล้วก็เดินข้ามถนน เข้ามาในส่วนของ “สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน
ที่นี่จะเป็น Aquarium ซึ่งรวบรวมสัตว์น้ำในบริเวณนี้ จัดแสดงเพื่อให้เป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้และเป็นสถานที่พักผ่อนของประชาชน
ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีนะคะ วันหยุดแบบนี้ มีครอบครัวพาเด็กๆมาเยี่ยมชมเยอะเลยทีเดียว
นอกจากจะมีตู้เล็กๆแบ่งแยกสัตว์น้ำตามสายพันธ์ุกว่า 30ตู้แล้ว ที่นี่ก็ยังมีอุโมงค์สัตว์น้ำอีกด้วยนะคะ
แต่จุดที่สก๊อยชอบที่สุดคือตู้นี้ค่ะ ดูมีชีวิตชีวา เกาะกระจกยืนมองกันเพลินเลย ใต้ทะเลนี่ช่างมหัศจรรย์จริงๆ
พบกับสัตว์น้ำในส่วนที่จัดแสดงแล้ว พากันไปชมในส่วนที่อยู่ในสภาวะใกล้เคียงกับธรรมชาติกันบ้าง เราไปกันต่อที่ “หน่วยสาธิตการเลี้ยงสัตว์น้ำ”
จุดนี้จะอยู่ห่างออกไปอีกประมาณ 800เมตร ลองดูแผนที่ประกอบนะคะ
ขี่เข้ามาแบบงงๆ เพราะมันเริ่มจะเป็นพวกร้านอาหารหรือรีสอร์ทมากกว่า ไม่มีวี่แววว่าจะมีสถานที่ราชการเลย หลงอีกแล้วมั้งนี่
จนมาถึงสามแยก มีป้ายบอกทางอยู่ว่า ให้เลี้ยวเข้าไปอีกหนึ่งกิโลเมตร (เอ้า..หลอกกันนี่ ไหนม่ะกี๊บอก 800เมตร T T)
ถึงแล้วค่าา “หน่วยสาธิตการเลี้ยงสัตว์น้ำ” บริเวณนี้จริงๆแล้วก็ถือว่าเล็กมาก เป็นแค่อาคารหลังหนึ่งยื่นออกไปในทะเล
แล้วก็มีกระชังเพาะเลี้ยง แต่ส่วนที่เป็นไฮไลท์คือ เราสามารถให้อาหารสัตว์น้ำในกระชังได้ ยิ่งมาช่วงเช้าๆ เค้ายังหิวกันอยู่
ถ้าโยนคุณ Rider ลงไปนี่สงสัยอิ่มกันไปหลายวันเลยนะเนี่ย 555
แต่ละกระชังก็จะมีป้ายบอกชนิดของสัตว์น้ำ เลือกได้เลยค่ะว่าอยากให้อาหารตัวไหน เด็กๆน่าจะสนุกกับที่นี่กันมากเลยทีเดียว
ตัวที่ได้รับความสนใจมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นฉลาม ที่นี่มีทั้งฉลามครีบดำ ฉลามหัวบาตร รวมทั้งฉลามเสือดาว แต่สก๊อยสนใจเจ้านี่มากกว่าค่ะ
ที่ได้เจอกันไปเมื่อเช้า ใช่ลูกหลานของแกมั๊ยน้าา
สำหรับอาหารที่นำมาเลี้ยงสัตว์น้ำ ก็คือเจ้าปลาหลังเขียวนี่เองค่ะ ด้านหน้าของหน่วยสาธิตฯ จะมีจำหน่าย ราคาอยู่ที่ 35บาทต่อกระป๋อง
ดูดตังคุณ Rider ไปได้เยอะเลยนะเนี่ย
ที่นี่ยังมีธนาคารปูม้า โดยการติดตั้งระบบถังฟักไข่ปู ซึ่งเป็นการเลียนแบบสภาวะทางธรรมชาติ ช่วยให้ปูม้าสามารถขยายพันธุ์ได้เร็วยิ่งขึ้น
ป้องกันการเสียสมดุล จากการที่เราใช้ทรัพยากรทางทะเลกันมากเกินไปนั่นเองค่ะ
“ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ของพ่อหลวง ก่อให้เกิดจิตสำนึกในการหวงแหนป่าชายเลน
สมบัติอันล้ำค่าที่จะสร้างความสมดุลของระบบนิเวศทางทะเล การมาตามรอยพ่อในครั้งนี้ ทำให้เรารู้สึกปลื้มปีติที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินไทย
ภายใต้ร่มพระบารมีของพ่อหลวง กษัตริย์ผู้ทรงงานหนักเพื่อให้ประชาชนของพระองค์อยู่ดีกินดี และสามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน
ขากลับออกมา พยากรณ์อากาศก็เริ่มเห็นผลค่ะ ได้เปียกกันพอเป็นพิธี แล้วก็คิดได้ว่า ไหนๆก็เปียกแล้ว แวะไปลงน้ำตกกันซักหน่อยดีกว่า
เราตั้งเป้าหมายใหม่ไปที่น้ำตกพลิ้ว ระหว่างทางก็มีเมฆฝนโผล่มาทักทายกันเป็นระยะ คงเห็นว่าเราเปียกกันอยู่แล้ว ทีนี้ตกมารัวๆเลยค่ะ
อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว เสียค่าเข้าคนละ 40บาทค่ะ ปัจจุบันนี้ห้ามนักท่องเที่ยวนำถั่วฝักยาวเข้าไปให้อาหารปลาพลวงแล้วนะคะ
เจ้าหน้าที่ที่นี่ค่อนข้างเข้มงวด และให้คำแนะนำกับเราดีมาก ไว้มีโอกาสจะกลับมากางเตนท์นอนฟังเสียงน้ำตกซักคืน
(อย่าไปโฟกัสไก่ย่าง ส้มตำที่อยู่ในตะกร้าของคุณ Rider เค้าเลยค่ะ เค้าบอกว่าเอาไปวางเป็นพร็อปเฉยๆ ถถถ)
เราตั้งใจจะแวะที่นี่เป็นจุดสุดท้าย ก่อนจะวิ่งตรงยาวกลับบ้าน ไม่มีเหตุผลใดที่เราจะไม่หลงรักจันทบุรี จังหวัดนี้ก็ยังคงเป็นที่หนึ่งในใจของสก๊อย
ถ้ากล่าวถึงชายฝั่งในภาคตะวันออก กับระยะทาง 260km. จากกรุงเทพฯ ที่นี่เรายังได้พบวิถีชีวิตที่พึ่งพากับธรรมชาติ ผู้คนน่ารัก อาหารอร่อย
วันหยุดครั้งหน้าของคุณ หากต้องการสถานที่ที่สามารถพักผ่อนทั้งกายและใจอย่างแท้จริงแล้ว ลองมาเดินตามรอยพ่อที่จันทบุรีดูซักครั้งนะคะ
บทความโดย Skoy!Turnpro
Linkต้นฉบับ http://pantip.com/topic/35719293