อ้วนผอมจอมซน กับทริปคนอินดี้ ไปกับ Royal Enfield
………..นับเป็นระยะเวลายาวนาน กว่า 115 ปี สำหรับมอเตอร์ไซค์สัญชาติอังกฤษคันแรกของโลก นาม” Royal Enfield” ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านบททดสอบ มาทุกสภาพอากาศในโลกใบนี้ และด้วยสไตล์รถที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น สมรรถนะที่ อึด ถึก ทน จนได้ชื่อว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ระดับตำนาน และยังได้รับความนิยมในต่างประเทศอย่างต่อเนื่องยาวนาน มาจนถึงปัจจุบัน…..
วันนี้! รถในตำนานคันดังกล่าว พร้อมจะโลดแล่นในสยามประเทศเป็นที่เรียบร้อยละจ้า……. รู้สึกตื่นเต้น……
สวัสดีมิตรรักนักอ่านชาวพันทิปทุกท่าน กลับมาพบกันอีกครั้งกับ โอ๊ต Kingkong Rider อีกเช่นเคยครับ หลังจากที่ผมพาไปทานข้าวที่แก่งกระจานในทริปก่อน http://pantip.com/topic/35330383
สำหรับทริปนี้ ผมมาพร้อมกับผู้ร่วมทดสอบรถอีกหนึ่งท่าน คือ”จารย์ เปี้ยก สายฝุ่น” (ปกติจะแสวงบุญอยู่แต่ในป่า สายเอ็นดูโร่ 5555) วันนี้เลยเชิญมาควบรถในตำนานดู ว่าจะมันส์ขนาดไหนอิ้อิ้
ส่วนจุดหมายปลายทางไม่ไกลมากครับ นครนายกเรานี่เอง ซึ่งทริปนี้ ผมก็ยังพาเพื่อน ๆ ไปทานข้าวเหมือนเดิม 555 แต่ที่เพิ่มเติมคือ ผมได้ร่วมเดินทางไปกับคนกลุ่มนึง ที่ชื่นชอบมอเตอร์ไซค์แนวคลาสสิค บวกกับความอินดี้ มีสไตล์ไม่เหมือนใครของแต่ละคน ทริปนี้จะสนุก และฮาขนาดไหน เราตามพวกเขาไปเที่ยวกันดีกว่าครับ กับ Royal Enfield ทองหล่อ “One day trip” To นครนายก
เราออกเดินทางกันในวันอาทิตย์ที่ 17 ก.ค.59 ที่ผ่านมาครับ ซึ่งเป็นวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาพอดี
ตอนเช้าผมต้องเดินทางไปรับรถที่ทองหล่อ (บ้านผมอยู่ฝั่นธน) ซึ่งการขี่รถเข้าเมืองช่วงเช้า ถ้าเป็นวันทำงานปกติคงจะแบบ….. นะ…. อย่างที่ทุกท่านทราบ5555 แต่วันนี้อารมณ์เหมือนช่วงปีใหม่ คือรถโล่งมาก ชิลมาก เรียกว่าขี่รถเพลินตั้งแต่ในกทม.เลยทีเดียว
ผมมาถึงโชว์รูม Royal Enfield ทองหล่อ ก่อน 7.00 น. โดยได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีและเป็นกันเอง จาก”พี่ปก” ผู้ดูแลฝ่ายกิจกรรมในครั้งนี้ รวมถึงเป็นMarshall ในทริปนี้ด้วย ขอบคุณมากๆครับพี่
หลังจากที่ทักทาย พี่ปกเรียบร้อย ผมก็ขอเดินสำรวจรอบๆ โชว์รูมซักนิสนึง ตามผมมาเลยครับ
บริเวณหน้าโชว์รูม Royal Enfield ทองหล่อ ครับพ้ม ซึ่งตกแต่งในรูปแบบที่เรียบง่าย แต่ดูดี มีความน่าสนใจ ชวนให้อยากเดินเข้าไปข้างใน
พอเดินเข้ามาภายในโชว์รูม ส่วนตัวผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความคลาสสิค แบบเก่า ๆอารมณ์ยุคปี60 แต่ได้รวมเอาความโมเดิร์นสมัยใหม่ มารวมกันได้อย่างลงตัว
สินค้าจะมีอุปกรณ์จำเป็นในการขับขี่ เสื้อการ์ด ถุงมือ หมวกกันน้อค รวมไปถึงออพชั่นเสริมสำหรับตัวรถ ก็มีให้เลือกตามความชอบ ตามสไตล์ จัดเต็มกันเลยทีเดียว
ถัดจากในโชว์รูม บรรยากาศภายนอกก็เริ่มคึกคัก สมาชิกผู้ร่วมทริป ต่างทยอยเดินทางกันมาเรื่อย ๆ แน่นอนครับ ต่างคน ต่างสไตล์ เมื่อมา เจอกัน ก็ได้เวลาแลกเปลี่ยน พูดคุยกันตามประสา คนคอเดียวกัน….
พี่ปก (เสื้อสีเขียว) รอต้อนรับผู้ร่วมทริปอย่างเป็นกันเองครับพ้ม
สำหรับสองคันนี้ บอกได้เลยว่า แต่งได้โดนใจผมมาก คลาสสิคสุด ๆ
วันนี้ ผมและจารย์เปี๊ยก จะควบเจ้าสองคันนี้แหล่ะครับ นั่นคือรุ่น Bullet 500 (สีเขียว) และรุ่น Classic 500 (สีน้ำตาล)รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก กับการที่จะได้ขี่รถที่เคยเห็นแต่ในหนังสงครามโลก เป็นอะไรที่เริ่ดมากก
ผมเหลือบไปเห็นป้ายประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับทริปท่องเที่ยว รวมถึงกำหนดการต่าง ๆ ในภาพจะเป็นทริปครั้งแรกของบริษัทเมื่อเดือนก่อน ได้ไปเที่ยวนครปฐมกัน ส่วนทริปนี้ จัดเป็นครั้งที่สอง ไปนครนายก และผมเชื่อในใจว่า ทริปที่สาม ระยะทางน่าจะค่อย ๆ ไกลขึ้นเป็นแน่แท้ 555
เมื่อเหล่าบรรดาผู้ร่วมทริปต่างทยอยกันมาจนครบแล้ว พี่ปก ของเรา ก็ได้กล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการ รวมถึงแนะนำเส้นทางที่จะใช้ในวันนี้ ว่าต้องวิ่งเส้นไหนอย่างไรบ้าง
สำหรับ Marshall อีกท่านนึง คือ พี่กอล์ฟ ได้แนะนำสัญญาณมือแบบต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง
หลังจากทำความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางแล้วครับ พร้อมมั้ย! ……. พร้อมจะลุยมานานแล้ว!
สตาร์ทเครื่อง แล้วบิดไปกันเล้ยยยยยย
เส้นทางที่ใช้ในวันนี้ จากโชว์รูม ทองหล่อ ใช้เส้นทางถนนเพชรบุรี มุ่งหน้าแยกอโศกเพชร เลี้ยวขวาเข้ารัชดาภิเษก แล้วมุ่งหน้าไปถนน วิภาวดี (เส้นทางที่กล่าวมานี้ ถนนโล่ง ชิลล มากกกก)
วิ่งเส้นวิภาวดีมาได้ซักพัก ก็แวะจอดกันปั๊มแรก ที่ปตท. ใกล้กับ อนุสรณ์สถานดอนเมือง
จุดนี้ก็พักกันประมาณ20 นาที ดื่มน้ำดื่มท่า ตามอัธยาศัย (ปล. วันนี้แดด แรงไปป๊ะ!) 555
สมาชิกแต่ละท่าน ก็แต่งรถตามสไตล์ที่ตัวเองชอบ เพิ่มนู่นนิด ใส่นี่หน่อย ก็สวยละคับ รถแนวนี้
สบาย ๆ ครับ พูดคุย แลกเปลี่ยนฟิลลิ่งการขับขี่กันอย่างสนุกสนาน
แล้วก็ได้เวลาเดินทางกันต่อ ซึ่งเส้นทางจากถนนวิภาวดีและวนเข้าถนนลำลูกกา ผ่านคลองต่าง ๆ ใช้ความเร็วกันประมาณ 90 Km/h
วิ่งยาวววววว จนสุดเพื่อไปตัดออกถนน รังสิต- นครนายก แต่ยอมรับว่าถนนสายนี้ สวยงาม ขี่ชิลลลมาก ท่ามกลางแสงแดดช่วงสายๆที่เจิดจ้า แต่สองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งนาสีเขียวสด ประกอบกับสายลมเอื่อย ๆ ผ่านหมู่บ้านซึ่งยังคงวิถีการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ทำให้ผมลืมความร้อนไปเลย มีความสุขม๊ากกกก
พี่กอล์ฟ ดูแลขบวนเป็นอย่างดี
ระหว่างทางก่อนที่จะออกสู่ถนน รังสิต-นครนายก ได้มีสมาชิกท่านนึงเกิดอุบัติเหตุขึ้นเล็กน้อย เลยต้องจอดคอยกันแป๊บนึง
ผมประทับใจอีกอย่างคือ ทางผู้จัด ได้เตรียมรถเซอร์วิส และรถพยาบาล คอยดูแลผู้ร่วมทริปตลอดเส้นทาง สบายใจ หายห่วงครับ
ส่วนพี่คนขับไม่เป็นไรมากครับเพราะใส่ชุดเซฟตี้อย่างดี ตัวรถก็แป้นเบรกหลังเบี้ยวเล็กน้อย แต่ช่วยกันดัดได้ เพื่อน ๆ สมาชิกเอาใจช่วยเต็มที่
พี่กอล์ฟ มาช่วยดัดอีกแรง
คนละไม้คนละมือ ก็พร้อมจะไปต่อละจ้า
จุดหมายแรกที่เราจะไปคือ อ่างเก็บน้ำ ห้วยปรือ ขบวนของเราได้เดินทางต่อ มุ่งหน้าองครักษ์ วิ่งเข้าทางแยกบ้านนา แล้วก็ลัดเลาะผ่านเส้นทางตามหมู่บ้าน ผ่านทุ่งนา วิ่งเรื่อยมาจนถึงวิวนี้…
จารย์เปี๊ยก ควบเจ้า Classic 500 สี Desert storm เป็นอะไรที่เข้ากั๊น เข้ากัน
ส่วนผม ควบเจ้า Bullet 500 สีForest green
ทริปนี้ มากันทั้งสามรุ่นนะครับ เอ้า ใครอยู่แก๊งไหน ไปดูกันเลยจ้า
รวมทีม Bullet 500
แก๊งซ์สายหมอบ Continental GT
สายคลาสสิค สีแดง Classic Chrome
ช่วงนี้ สมาชิกก็ต่างถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย แต่ด้วยสภาพอากาศที่ร้อน มว๊ากกกกก แม้วิวจะสวยเพียงใด ก็ได้เวลาที่เราจะหาที่ร่มกันได้แล้วเนอะ 55555 อีกอย่างเวลาก็ใกล้จะเที่ยงละ ได้เวลาทานข้าวสิครับ จะรออัลไล อิ้อิ้
เคลื่อนขบวนกันเล้ยจ้า
ขี่ลัดเลาะ สันเขื่อนลงมาไม่นาน ก็มาถึงจุดพัก รับทานอาหารเที่ยงกัน ด้วยอากาศที่ร้อนมากในวันนี้ จะสังเกต ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการจอดรถ ทุกคนจอดไวมาก เป็นระเบียบเป๊ะ แนวเส้นไม่มีล้ำแดดออกมาเลย 5555555
มื้อเที่ยง พวกเราฝากท้องกันที่ร้านนี้แหล่ะครับ
เงาะจ้าเงาะ เงาะมาแล้วจ้า…. อ่ะม่ายช่าย พี่ปก ยังปล่อยมุขตลอดงาน ตอนนี้เรียกสมาชิกพร้อมกันที่โต๊ะอาหาร
สำหรับเมนูวันนี้ เป็น ยำผักบุ้งกรอบ ไข่เจียงทรงเครื่อง ต้มยำรวมมิตร ปลาช่อนเผา และเป็ดอบ …… ท้องร้องเลยใช่มั้ยคับ อิ้อิ้
ระหว่างรับทานอาหาร บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ เพราะไม่มีใครคุยกันเลย 555555 ว่าแต่ ใครเป็นใครบ้าง เอ้ายิ้มหน่อยคร้าบบบ
พี่กัน และพี่ต่อ สุดหล่อสายหมอบครับ อิ้อิ้
หลังจากทานอาหารกันเป็นที่เรียบร้อย เป็นธรรมชาติของมื้อกลางวันครับ พอเริ่มอิ่ม ประกอบกับลมเอื่อย ๆ ตาเริ่มปรือ ๆ คิดว่าถ้านั่งนานกว่านี้ อาจจะต้องขอเตียงเสริม 555
บางท่านก็รวมกลุ่มกันเม้ามอย ตามประสาคอเดียวกัน สังเกตพี่พงษ์ (ชุดเอี๊ยมสีน้ำตาล) คนนี้อินดี้สุด ๆ ชอบ ๆ
สำหรับจุดหมายต่อไป คือเขื่อนขุนด่านปราการชล ซึ่งตรงจุดนี้ จะเป็นการถ่ายรูปหมู่กันแบบ มาเร็วเคลมเร็ว ไม่ลงจากรถ จอดปุ๊บ ถ่ายปั๊บ แล้วไปต่อ 555
และทีมมาแชล ได้แบ่งเป็นสองกลุ่ม สำหรับกลุ่มที่จะขึ้นไปสันเขื่อนขุนด่านฯ ก็ให้ตามพี่กอล์ฟไป ส่วนใครที่ไม่ขึ้นสันเขื่อน ก็ตามพี่ปก ไปจุดล่องแก่งเลยจ้า (ส่วนผม ตามพี่กอล์ฟขึ้นสันเขื่อนขุนด่านฯ)
สำหรับทางขึ้นบริเวณสันเขื่อน ทางจะชันและมีโค้ง ประกอบกับมีรถค่อนข้างเยอะ ซึ่งต้องขี่ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ
แต่สำหรับ Royal Enfield คันนี้ บอกเลยว่า สบายบรื๋อ สามารถ ปีนไต่ทางลาดชันได้ชิลสุด ๆ ด้วยกำลังแรงบิดที่มีมาให้เหลือเฟือ รวมถึงการเข้าโค้ง ที่ตัวรถสามารถจิกโค้งได้อย่างมั่นใจ ด้วยจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ รวมถึงตัวรถที่เบา ทำให้คอนโทรลการขับขี่ได้ง่ายดายเหลือเชื่อ
แล้วเราก็มาถึงบริเวณสันเขื่อน แบบชิล ๆ
พี่นั่งคอยน้องติ๋ม อยู่ริมสันเขื่อน นานแล้วนะจ๊ะ 555
แอคชั่นเท่ห์ๆ ของจารย์เปี๊ยก ยืนถ่ายแบบธรรมดา โลกไม่จำ จ้ากก
หลังจากยืนดื่มด่ำกับวิวสันเขื่อนกันสักพัก พี่กอล์ฟ ก็นำพวกเรามาสบทบกับกลุ่มแรก ซึ่งเป็นจุดล่องแก่ง และพวกเราจะพักกันที่นี่ประมาณ สอง ช.ม. จ้า
อากาศร้อน ๆ แบบนี้ พอเห็นน้ำแล้ว อยากจะโดดเหลื้อเกิน
เอาละจ้า ทีมงานความบันเทิง เริ่มปฏิบัติการ
ส่วนท่านไหนต้องการล่องแก่ง ก็เตรียมเปลี่ยนชุดกันได้เลย (ดูแล้วเหมือนจะแค่ถอดกางเกง ก็เล่นน้ำได้เลยนะ ชุดเตรียมพร้อมมาจากบ้าน 5555)
เรือสำราญ ควีนอลิซาเบธ จอดเทียบที่ท่า อยู่สองลำ อิ้อิ้
ผมนั่งริมน้ำอยู่พักนึง ได้ยินเสียงดนตรีแว่ว ๆ โอ๊ว! มีกีตาร์ กะกลองด้วย เจ๋งง่ะ
อุปกรณ์ครบ จนลืมไปว่า มาทริปมอไซค์ป่าวคับพี่ 555 (คือพี่แบกมาตอนไหนเนี่ย)
ส่วนทีมที่จะล่องแก่ง ก็เตรียมพร้อม อยู่อีกด้านนึงของสนามนะครับอิ้อิ้
สะดวกไว้ค่อยเจอกันนะคร้าบบบ บ๊ายบาย 55
สมาชิกแต่ละท่านก็ต่างแยกย้ายพักผ่อนกันตามอัธยาศัย สายบันเทิงก็ร้องเพลงเล่นกีตาร์กันไป สายเปียกก็ลงเล่นน้ำกันไป สายนอนก็กรนกันไป 555
ส่วนผมกับจารย์เปี๊ยก ก็เลยถือโอกาส หาทางดินเพื่อลองสมรรถนะรถซักนิดนึง
เพราะตลอดทางจากกทม.มา มีแต่ทางลาดยางล้วน ๆ อยากสัมผัสไอดินบ้างอิ้อิ้ จารย์เปี๊ยกเลยจัดให้
รุ่น Classic 500 เป็นอะไรที่กลมกลืนกับภูมิประเทศมาก เหมาะมากสำหรับขาลุยสายฝุ่น
คอนโทรลง่าย มีกำลังเหลือเฟือ ช่วงขึ้นและลงทางลาดชัน
พอดีบริเวณใกล้จุดล่องแก่ง มีทางหินกรวด และทางฝุ่นอยู่ช่วงนึง จารย์เปี๊ยก เลยลองการขับขี่แบบบาลานซ์ และการสไลด์โค้ง ซึ่งตัวรถ มีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ ความสมดุลดีมาก ทำให้ผู้ขับขี่บังคับรถได้ไม่ยากเย็น
หลังจากลองขี่ในทางฝุ่นกันในช่วงสั้น ๆ ทีนี้เราก็มาพิจารณาตัวรถกันซักหน่อย ว่าเป็นยังไงบ้าง
สำหรับ Royal enfield Classic 500 คันนี้ เป็นสี Desert Strom รูปทรงเป็นเบาะสปริง ฟิลลิ่งในการขับขี่ จะนุ่มนวลกว่ารุ่น Bullet 500 เนื่องจากตัวเบาะทรงอานม้า รับน้ำหนักด้วยปริง ขี่ในทางขรุขระ ถือว่ารับแรงกระแทกได้ดี
ท่าการขับขี่จะนั่งสบาย เบาะไม่สูงเกินไป ตำแหน่งที่วางเท้าและแฮนด์ วางได้พอดี (ผมสูง 186 ขี่ได้ ไม่รู้สึกเมื่อย)
บริเวณด้านข้างฝั่งขวา จะเป็นกรองอากาศ และต้องใช้กุญแจไขเวลาเปิด ทั้งสองฝั่ง
ฝั่งซ้ายจะเป็นที่เก็บฟิวส์และระบบไฟฟ้าของรถ
เครื่องยนต์ระบบหัวฉีด EFI 499CC สูบเดี่ยว 2หัวเทียน ระบายความร้อนด้วยอากาศ ให้กำลังแรงม้า 27.2 1ที่ 5,250 รอบ แรงบิด 41.3 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ 5 Speed ด้วยแรงบิดขนาดนี้ ถือว่าเพียงพอต่อการไต่ขึ้นทางชันได้อย่างสบาย
แคร้งเครื่องยนต์จะเป็นแบบปัดเงา
ข้างๆกล่องฟิวส์ จะเป็นที่เก็บแบตเตอรี่
กล่องนี้จะเป็นตัวดักไอน้ำมันเชื้อเพลิง ให้วนไปใช้ใหม่ ทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น
เฟรมของรถเป็นเหล็กทั้งคัน แกร่งมาก แต่เบา น้ำหนักตัวรถ 187 kg
โชคหลังคู่ พร้อมซับแทงค์ จุดสังเกตอีกอย่างคือชุดสเตอร์หลัง จะอยู่ฝั่งเดียวกับท่อไอเสีย ซึ่งแต่งต่างจากมอเตอร์ไซค์ทั่วไป ที่สเตอร์จะอยู่ฝั่งซ้าย จุดนี้ถือเป็นเอกลักษณ์ของ Royal Enfield จริง ๆ
ถังน้ำมันขนาด 13.5 ลิตร ฝาถังน้ำมันเป็นแบบมือหมุน มีเฟืองล๊อค เสียงดัง แกร๊ก ๆ น้ำมัน 1 ถัง วิ่งได้ประมาณ 300 กม. ที่ความเร็วประมาณ 100 + – นะครับ
ตัวเรือนไมล์เป็นแบบอนาล็อคทรงกลม มีเข็มความเร็ว ไม่มีวัดรอบ หน่วยเป็น KM มีไฟเตือน น้ำมันเชื้อเพลิง และไฟเตือนเครื่องยนต์ เรียบ ๆ แต่ดูดี คลาสสิคสมชื่อ
แฮนด์ฝั่งซ้าย มีปุ่มการใช้งานมาตรฐาน ไฟสูงต่ำ ไฟเลี้ยว ไฟขอทาง แตร
ฝั่งขวามีปุ่มควบคุมเครื่องยนต์ ปุ่มสตาร์ท และปุ่มเปิดปิดไฟ
เปิดเป็นไฟหรี่ได้
และไฟต่ำปกติ
ทีนี่เรามาดูเจ้า Bullet 500 กันบ้าง สีนี้จะเป็น Forest Green รูปทรงดั้งเดิม ยอดนิยม เป็นเอกลักษณ์ของแบรด์นี้จริง ๆ
ตัวเครื่องยนต์ จะเป็นแบบเดียวกับรุ่นClassic 500 ส่วนที่แตกต่างคือเบาะนั่ง เป็นแบบยาวคนซ้อนนั่งสบายมาก (เบาะนิ่ม) ขนาดล้อหน้า 90/90 R19 ล้อหลังไซส์ 120/80 R18
ระบบเบรก ล้อหน้า จานดิสก์ขนาด 280 มม. มาพร้อมคาลิปเปอร์ 2 ลูกสูบ ส่วนล้อหลังใช้ดรัมเบรก ขนาด 153 มม.
ฟีลลิ่งการขับขี่ของทั้งสองรุ่น ไม่ต่างกันมาก กำลังแรงม้าช่วงเร่งแซงทำได้ดีพอๆกัน แต่ความรู้สึกผม เจ้าClassic 500 จะค่อนข้างนุ่มนวลกว่าBullet ในเรื่องของการรับแรงสะเทือน
หลังจากที่พิจารณา ทั้งสองรุ่นไปแล้ว จะขาดอีกรุ่นนึงไปไม่ได้ นั่นคือ เจ้า Continental GT 535 ทรง Café racer คันนี้ สายหมอบตัวจริงต้องห้ามพลาด
ไฟหน้าทรงกลม และมีที่ครอบแบบตูดมดมาให้ (ถอดที่ครอบออกจะเป็นเบาะยาว นั่งซ้อนได้ พร้อมด้วยแฮนด์ Clip on ซึ่งเป็นแบบจับโช๊คยึดแผงคอบน สามารถปรับระดับได้ ซึ่งบางท่านก็นำมาจับด้านล่างแผงคอ เท่ห์ไปอีกแบบ
เครื่องยนต์ระบบหัวฉีด EFI 535cc สูบเดี่ยว ระบายความร้อนด้วยอากาศ ให้แรงม้า 29.1 bhp ที่ 5,100 รอบ และแรงบิด 44 Nm ที่4,000 รอบ ระบบเกียร์ 5 Speed ถือว่าเป็นรุ่นที่เร็วและแรงที่สุด ใน 3 รุ่น น้ำหนักรถ 184 Kg.
หน้าปัดเป็นทรงกลมคู่ ฝั่งซ้ายจะบอกความเร็ว มีทั้งหน่วย kph และ mph และมีหน้าจอเป็นดิจิตอล แสดงเกจ์น้ำมัน ระยะทาง ส่วนด้านขวาจะเป็นวัดรอบ และไฟเกียร์ N ความจุถังน้ำมัน 13.5 ลิตร
ส่วนล้อจะมีขนาด 18” ทั้งหน้าและหลัง ล้อหน้า 100/90 R18 ล้อหลัง 130/70 R18
ระบบเบรก ล้อหน้า ใช้จานดิสก์ขนาด 300 มม. มาพร้อม ปั๊มเบรกของBrembo 2 ลูกสูบ และจานดิสก์หลังขนาด 240 มม. ปั๊มBrembo 1 ลูกสูบ ซึ่งถือว่าระบบเบรกที่ให้มาช่วยให้มั่นใจ และช่วยชะลอความเร็วได้ดียิ่งขึ้น (ปั้มเบรกBrembo หน้าหลัง จะมีเฉพาะในรุ่น Continental GT เท่านั้น)
ระบบกันสะเทือน โช๊คหน้า Telescopic แกนโช๊คขนาด 41 มม. ให้ระยะเคลื่อนตัว 110 มม. ส่วนโช๊คอัพหลังคู่ PAIOLI พร้อมซับแทงค์ปรับ Preload ได้ ให้ระยะเคลื่อนตัว 80 มม.
สำหรับข้อมูล สเปคต่าง ๆ ที่กล่าวไปนั้น สามารถสอบถามเพิ่มเติมที่โชว์รูมโดยตรงได้เลยนะจ๊ะ
พอเดินชมรถของพี่ ๆ แต่ละท่าน ต้องยอมรับว่าแต่งรถกันสไตล์ใครสไตล์มันส์ ชอบอะไรแบบไหนก็จับมาใส่ ดูแล้วเท่ห์ไปอีกแบบ ซักพัก ผมได้ยินเสียงหัวเราะ ฮา เฮ๊วว ดังมาจากวงดนตรี จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ครับ พี่พงษ์ คนเดิม ที่เพิ่มเติมคือท่าเต้นสุดแนว เสียดายผมวิ่งมาถ่ายไม่ทัน 555 ขอบอกว่าชุดนี้ คือชุดขี่ออกทริปของท่านพี่เค้านะคร้าบ อินดี้สุด ๆ กร้ากกก!
ระหว่างที่ผมเดินดูรถแต่ละคันไปเรื่อย ๆ ก็ไปสะดุดอยู่กับ คุณปู่คันนึง ซึ่งแฝงกายอยู่กับรุ่นหลาน ๆ ได้อย่างแนบเนียน ไม่สังเกตจะไม่รู้เลยว่า คันนี้ ซุปเปอร์คลาสสิคเลย รุ่นนี้จะเป็นรุ่น Bullet 350 (ถ้าผิดขออภัยนะครับ)
สังเกตระบบการใช้งานจะสลับกับรถมอเตอร์ไซค์ทั่วไป คือเกียร์อยู่ทางขวา (บอกตามตรงผมเพิ่งเคยเจอครั้งแรก) ส่วนเบรกหลังอยู่ด้านซ้าย คือระบบการใช้งานแปลกมาก
สอบถามจากเจ้าของรถ (ซึ่งยังหนุ่มมาก) ได้ความว่า รับมาดูแลได้ประมาณสามปีละ แต่รุ่นปีที่ผลิตคันนี้ไม่แน่ใจ ซึ่งไม่ค่อยได้ใช้ จอดนาน จนวันก่อนออกทริปถึงรื้อรถมาซ่อม 55 วันรุ่งขึ้นก็ออกทริปเลย บ้านพี่เขาอยู่ปราจีนฯ ผมนับถือจริง ๆพี่
ยังคงเอกลักษณ์ การดีไซน์ จากอดีตสู่ปัจจุบัน ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งคลาสสิคเหมือนเดิม
มาพูดถึงฟิลลิ่งการขับขี่กันครับ
ข้อดี
– รูปทรงเป็นเอกลักษณ์สะดุดตา คลาสสิค สวยงาม
– วัสดุตัวรถเป็นเหล็กทั้งคัน มีความทนทานสูง อึดสุด ๆ
– ใช้งานง่าย ระบบไม่จุกจิก ดูแลบำรุงรักษาง่าย
– การขับขี่ รุ่นนี้ถึงแม้จะมีแรงม้าไม่มาก แต่ด้วยเครื่องยนต์สูบเดี่ยวช่วงชักยาวแบบนี้ ทำให้มีแรงบิดเรียกว่าพอตัว สามารถขี่ขึ้นลงทางลาดชันได้สบาย มีแรงฉุดจากเครื่องยนต์(Engine Brake) ที่สูงมาก ทำให้เวลาวิ่งลงทางชันค่อนข้างมั่นใจ
– อัตราเร่งแซงช่วงต้น ทำได้ดีมาก เรียกกำลังมาได้ทันใจ แต่Top Speed จะอยู่ที่ประมาณ 130 – 140 ตามน้ำหนักคนขี่ ซึ่งรุ่นนี้ ไม่ได้ทำมาเพื่อเน้นความเร็วปลาย เด่นตรงแรงบิดช่วงต้น
– ประหยัดน้ำมันมาก ถ้าวิ่งความเร็ว 90-100 ถังนึงวิ่งได้ 300 กิโล แน่นอน
– ตัวรถไม่สูงมาก คนตัวเล็กตัวใหญ่สามารถขี่ได้ทุกไซส์
– จุดศูนย์ถ่วงของรถต่ำ ทำให้การเข้าโค้งด้วยความเร็ว ทำได้ดีเกินคาด ตัวรถเบาควบคุมง่าย
– แม้เครื่องยนต์จะระบายความร้อนด้วยอากาศ แต่ไม่มีความรู้สึกร้อนบริเวณห้องเครื่องเลย
ข้อติเล็กน้อย
-อาการสะท้านมือเวลาขับขี่ เนื่องด้วยกำลังเครื่องยนต์สูบเดี่ยว 500 cc แถมช่วงชักลูกสูบยาว ทำให้มีการสั่นสะเทือนสูง
– เบาะนั่ง แม้จะมีความนุ่มนวล แต่ด้วยท่าทางการขับขี่ ถ้าเป็นรุ่น GT ที่ต้องก้มตลอดเวลา จะเมื่อยมาก
– ถังน้ำมันเปิดปิดง่ายมาก ซึ่งน่าจะมีกุญแจไขเพื่อความปลอดภัย
ส่วนข้อดีข้อเสียอื่น ๆเพิ่มเติม คงต้องให้พี่ ๆ ผู้มีประสบการณ์มาเพิ่มเติมให้นะครับ
รถรุ่นนี้ ต้องใจรักและมีความอินดี้อยู่ในตัวพอสมควรครับ ถึงจะขี่ได้ 555
เอาล่ะครับ เวลาตอนนี้ก็ล่วงเลยมาประมาณ เกือบสี่โมงเย็น ซึ่งได้เวลาเคลื่อนตัว กลับสู่กทม.ซักที (จริง ๆ น่าจะค้างซักคืนเนอะ 555 )
แน่นอนป่ะล๊ะ ชุดออกทริปพี่ท่าน 555
แต่งตัวกันเรียบร้อย ก็ออกเดินทางกลับกันเลยจ้า
เส้นทางขากลับ จะทำความเร็วกันประมาณ 100-120 ตามจังหวะและสภาพถนน จะใช้เส้นทางรังสิต นครนายกเหมือนเดิม มุ่งหน้าสู่วิภาวีเพื่อปิดทริป ที่ปั๊ม ปตท.แรกช่วงฟิวเจอร์พาร์ครังสิต
ระหว่างทางแวะเติมน้ำมันกันนิสนึง ด้วยปริมาณรถที่มาใช้บริการกันเยอะ เด็กปั๊มวิ่งกันจ้าละหวั่น และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียแวลา พี่ปกของเรา ไม่รอช้า “เติมเท่าไหร่คับเพ่” 555 ช่วยดูแลสมาชิกอย่างดีเยี่ยมอิ้อิ้
และแล้วเราก็มาถึงช่วงท้ายของรายการ วันนี้เดินทางกันเพลิดเพลิน แม้อากาศจะร้อนไปบ้าง แต่ด้วยความเป็นกันเองของผู้ร่วมทริป ที่มาจากคนที่ชอบสไตล์เดียวกัน ทำให้การเดินทางมีรสชาติและสีสันขึ้น สนุก ฮา กันตลอดการเดินทาง ความรู้สึกผมประทับใจมากครับ
พี่ปก กล่าวปิดทริปและขอบคุณสมาชิกทุกท่านที่มาร่วมเดินทางกันในครั้งนี้
จบเรียบร้อย สำหรับทริปที่ 2 ของ Royal Enfield ond day trip to นครนายก ถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึกซักแชะ
สำหรับทริปต่อไป หากผมมีโอกาสได้ไปร่วมเดินทางอีก จะมาเล่าให้ฟังอีกนะคร้าบ
ขอขอบคุณ Royal Enfield ทองหล่อ เป็นอย่างสูงครับ สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้
ขอบคุณ พี่ปก พี่กอล์ฟ ผู้นำการเดินทาง รวมทั้งเป็นMarshall นักดนตรี และคอยเอนเตอร์เทนผู้ร่วมทริปตลอดการเดินทาง
ขอบคุณ พี่ๆทุกท่านที่ได้เดินทางร่วมกัน ประทับใจมากครับ
ขอบคุณ ผู้อ่านทุกท่าน ที่ติดตามอ่านกันมาจนถึงตอนนี้
ขอบคุณJust ride it
จนกว่าจะพบกันใหม่ อ้วนผอมจอมซน ขอกล่าวคำว่า ขอบคุณและสวัสดีครับ…
บทความโดย สมาชิกหมายเลข 868842 โอ๊ต Kingkong Rider