สวัสดีครับ
กลับมาพบกับบทความที่จะเรียกว่ารีวิวก็คงไม่ได้เต็มปากเต็มคำนัก
เอาเป็นว่า หยิบยกรถรุ่นนึงมาบอกเล่าในแบบชาวบ้านขับรถ เพื่อให้ท่านๆได้อ่านกันน่าจะเหมาะกว่า
ซึ่งครั้งนี้ (จริงๆทดสอบมาพักใหญ่แล้วล่ะ) ทางทีม just-ride-it ได้มีโอกาสนำเจ้า HONDA CB300R มาขับขี่ทดสอบ
ซึ่งมันดีมันด้อยยังไงจะจับมาร้อยกรองให้ได้อ่านกัน
หลังจากที่ honda ได้ปล่อยรุ่นพี่ที่ CC น้อยกว่าออกมาโลดแล่นในตลาดอยู่พักนึง ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
นั่นก็คือเจ้า cb150r ซึ่งก็ถือได้ว่าสร้างความฮือฮาอยู่ไม่น้อย ทั้งด้านออฟชั่นที่จัดมาเต็ม และราคาถี่ถูกถกเกียงกันอย่างเป็นวงกว้าง
แต่กระนั้นผมเองก็เป็นคนนึงที่ป้ายยาตัวเองสำเร็จ เย้ๆๆ =_=
และเคยทำบทความไว้ให้ได้อ่านกันสนุกๆตามลิ้งค์นี้ https://www.just-ride-it.com/cb150r-full-reviwe/
ซึ่งก็รู้อยู่แก่ใจว่ายังไง 300 ก็ต้องมาาา เพราะว่าได้มีการเปิดตัวที่งาน EICMA ให้ได้ยลโฉมก้นแล้ว
เมื่อโอกาสอำนวย ก็เลยต้องเอามาทดสอบขับขี่กัน
Neo Sports Café คำจำกัดความที่ทางฮอนด้าผสมผสานการออกแบบรถคาเฟ่ และรถสปอร์ตเข้าด้วยกัน
บวกกับความเป็น Japan crafted ที่เข้มข้น มันไม่ใช่แค่การนำเครื่องบล็อคเดิมมาวาง แต่มันมีการใส่ศิลปะอันงดงามและความสามารถเพิ่มเข้าไปด้วย
เรามาดูมวลรวมเบื้องต้นกันก่อน
แบ่งเป็นหัวข้อไปนะครับ
รูปลักษณ์ภายนอก
เฟรมแบบใหม่ลักษณะเป็นโครงถักที่เรียกว่า Inner Pivot Type Daimond Frame ทำให้โครงตัวถังมีความแข็งแรงขึ้นแต่เบากว่าเดิม
คือมันจะเป็นแบบเหลี่ยมตัดเพื่อซับแรงในโครง
จุดที่ต่างจาก CB150R ที่สังเกตุได้ง่ายก็มี ท่อไอเสียทรงใหม่ ซุ่มเสียงเร้าใจ
และแฟริ่งด้านข้างที่ออกแบบต่างกัน โดยมีตัวอักษร CB300R มาแทน
ถังน้ำมันความจุ 10 ลิตร มากกว่า CB150R 1.5ลิตร ครอบด้วยแฟริ่งที่เพิ่มเหลี่ยมมุมมากขึ้น
ฝาถังน้ำมันแบบ Airplane tank Cap คือ มีแกนล็อคฝาน้ำมันไว้ ทำให้ไม่ต้องยกทั้งฝาออกเวลาเติมน้ำมัน
ระบบกันสะเทือน
โช้คอัพหน้ายังคงเลือกใช้ยี่ห้อ SHOWA แบบหัวกลับ USD ขนาด 41 มิล
แต่ที่เปลี่ยนจากเดิมคือโช็คหลังสามารถปรับความแข็งของสปริงได้เจ็ดระดับ
ถ้าถามว่าแตกต่างจากตัว150มากมั้ย บอกได้เลยว่ามากจนเห็นความต่างพอสมควร
ของรุ่นพี่ที่CCน้อยว่าพอดีแล้วของ300พอดีกว่า
เครื่องยนต์
เป็นแบบ 1 ลูกสูบ 286 ซีซี ดับเบิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ 4 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ยังคงเป็นระบบหัวฉีด PGM-Fi อันเลื่องชื่อของฮอนด้า ให้แรงม้าที่ 31 แรงม้า และ แรงบิดสูงสุดที่ 27 นิวตันเมตรที่ 8,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ 6 สปีด การใช้เครื่องยนต์สูบเดี่ยวนั้นก็มีข้อดีหลายอย่าง เช่น ชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อยลง ประหยัดน้ำมันกว่า ประกอบกับแหวนลูกสูบแบบเสียดทานต่ำกับหัวเทียบแบบอิรีเดี่ยมก็ช่วยให้ลดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา
บรรยายซะเยอะจากข้อมูลเหมือนว่ามันจะเป็นเครื่องเดิมเลย แต่จริงๆอย่างที่บอกไปครับ
มันได้รับการพัฒนาแก้ไขและปรับปรุงข้อบกพร่องที่เคยมี และประกบกับแมพปิ้งแบบใหม่ ใครที่เคยใช้งานเครื่องยนต์บล็อคนี้มาบ้าง หากมาลองขับจะรับทราบถึงอารมณ์ที่แตกต่างไปอย่างชัดเจน ความเร็วสูงสุดที่ผมทำได้อยู่ที่ 165กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ต้องใช้ระยะเวลาพักนึงครับ ความเร็วที่กำลังสบายๆอยู่ในย่าน 100-130 แบบนี้บิดเป็นมาใช้เวลาไม่นาน
ที่สำคัญมีตาแมววววววววว ชอบตรงนี้
ระบบเบรก
ABS และ G-Sensor Honda CB300R นั้นก็ทำได้ดี รถมีการถ่ายเทน้ำหนักโดยไม่เสียอาการแต่อย่างใด หลักการทำงานคงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมาก เอาว่าปั๊มเบรคชุดนี้ที่ CB300R ให้มามันเหลือใช้แล้ว
หน้าจอเรือนไมล์
แบบ Full LCD Multifunction Meter บอกรายละเอียดครบถ้วน มาพร้อมชิฟไลท์ ให้ผู้ขับขี่สามารถปรับเซ็ทค่าเตือนเปลี่ยนเกียร์ เริ่มต้นกันที่ 7,500 รอบ ส่วนรอบเครื่องเรดไลน์เริ่มต้นที่ 10,500 รอบ สิ่งที่น่าเสียดายคือไม่มีไฟบอกเกียร์ ตำแหน่งนั้นกลายเป็นบอกอุณภูมิน้ำแทน
ตรงนี้ผมว่าคนส่วนใหญ่น่าจะอยากได้ไฟบอกเกียร์มากกว่า
เบาะ
แม้ในตารางเปรียบเทียบจะสูงกว่าเจ้า CB150R อยู่เล็กน้อยคือ 799มิล
แต่เมื่อได้ขึ้นควบขย่ม มุมเว้าของเบาะเล็กกว่าทำให้เวลานั่งไม่รู้สึกว่ากว้างนัก
ผมสูง 158 เซ็นกลายเป็นว่านั่งอยู่บนเจ้า CB300Rได้มั่นใจกว่าแฮะ =_=
การควบคุม
อันนี้ออกตัวก่อนเลยว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตั๊วส่วนตัว
น้ำหนักรถ 143 กิโลกรัมมันทำให้เป็นรถขนาดพิกัดไม่เกิน300ccอีกรุ่นนึงที่ควบคุมได้ง่าย
การเลี้ยวแม่นยำ แต่เรื่องบาลานซ์ของรถหรือจุดศูนย์ถ่วง ผมกลับรู้สึกว่าตัว 150 ดีกว่านิดๆ
อาจเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของท่อที่ไม่ได้ถูกวางไว้ใต้เครื่องยนต์กระมัง
มาๆ มาดูมุมหลายๆมุมของตัวรถกันก่อนจะสรุปแบบย่อๆ
สรุปแบบรวบรัด
หลังจากได้ลองขับเทียบกันในหลายๆแบบ
บอกได้แค่ใครชอบรุ่นไหนก็จัดไปเถอะครับ ไม่ว่าจะตัว 300 หรือ 150
300 แรงกว่าชัดเจน แต่ก็แลกกับความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น ท่อเสียงดุดันแผดซ่านกว่า
150 ประหยัดน้ำมันกว่าในความเร็วเท่าๆกัน จุดศูนย์ถ่วงดีกว่านิดหน่อย แต่ก็ไม่ต่างกันมากนัก จนต้องคิดหนักมาก
อะไหล่และของตกแต่งหลายๆอย่างใช้ร่วมกันได้ บวกกับราคาที่ถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้มา
อยู่ที่คุณผู้อ่านแล้วล่ะครับ(โบ้ยให้คิดกันเองเลย555)
ว่ารุ่นไหนที่ตอบสนองการใช้งานของคุณได้มากกว่า
สรุปง่ายๆแบบนี้แหล่ะ ขอบคุณที่ติดตามทีม just-ride-it ด้วยดีมาโดยตลอดครับ ^^