Himalayan….แพะภูเขา เขาเหล็ก ไซส์ไม่เล็ก จาก Royal Enfield

กราบสวัสดี พี่ๆน้องๆลุง ป้า น้า อา ทุกท่านครับ
อมยิ้ม17อมยิ้ม17อมยิ้ม17
กลับมาเขียนแชร์ประสบการณ์อีกครั้งแล้วจ้า
รอบนี้มีโอกาสได้ไปลองของใหม่….เเพะภูเขาจากเทือกเขาหิมาลัย
เป็นอีกครั้งที่ Just Ride it ก็ถูกเลือกให้ไปเข้าร่วมในการทดลองขับขี่ เจ้า Royal Enfield Himalayan


ก็ขออนุญาตแบ่งปัน เรื่องราวถ่ายทอดไว้เป็นตัวอักษร
ให้พี่ๆน้องๆ นั่งอ่านนอนอ่านกันเล่นๆครับ อาจจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย…
ชอบก็กด + ให้กำลังใจกันเล็กน้อยนะครับผม

หลังจากที่เปิดตัวไว้ให้ฮือฮากันมาพักใหญ่ๆ
ข่าวคราวก็ดูจะซาลงไป…ตามด้วยข่าวว่าไม่ผ่านมาตรฐานไอเสีย
ของแดนสยามบ้านเกิดเมืองนอน…..ของเราๆท่านๆ


ไม่สนแล้วล่ะข่าวอะไรยังไง ณ บัดนาว…
เจ้าแพะภูเขาทั้งฝูงมาจอดรอให้ทดสอบแล้ว


Himalayan คงไม่ต้องบอกว่าชื่อนี้ได้มาจากไหน
เทือกเขาหิมาลัยนั่นเอง รถ Adventure Touring
ที่กิติศัพท์ล่ำลือกันมายาวนาน กับการขับขี่ในสภาพแวดล้อมสุดขั้วแถบเทือกเขาหิมาลัย


งานนี้ผมมีโอกาสได้สัมผัสขับควบเจ้าแพะภูเขา
จากบ้านอิต่อง ปิล๊อก มุ่งหน้าสู่ อ.สังขละบุรี


Himalayan เครื่องยนต์สูบเดียว ปริมาตรความจุกระบอกสูบอยู่ที่ 411cc.
ควบคุมการจ่ายน้ำมันเข้าห้องเผาไหม้ด้วย ระบบหัวฉีดแล้วนะจ๊ะ….เดาว่าอาการวูบจากคาบู
ตอนที่ขี่ขึ้นไปบนความสูงมากๆจนอากาศเจือจาง น่าจะหมดไปแต่ในเมืองไทยเราคงไม่ต้องกังวลกัน


ระบบเกียร์ 5สปีด กับ เครื่องยนต์รอบต่ำ!!!
ให้แรงม้ามาสูงสุดที่ 24.5 BHP ที่ 6,500 รอบ ลืม 6,500รอบต่อนาทีไปก่อนครับ
เจ้าหิมาลายัน คือรถรอบต่ำที่ให้ทอร์คมากถึง 32 NM ที่ 4,000 รอบ
ซึ่งในการทดสอบบนทางชันก็ทำได้ดี เกียร์2 เกียร์3 ก็ไต่ขึ้นไปได้แบบสบายๆ


เครื่องยนต์ระบายความร้อยด้วยอากาศ มีออลย์คูลเลอร์สีดำดุดันติดมาให้ด้วย


ถังน้ำมันความจุอยู่ที่ 15 ลิตร เพียงพอสำหรับการเดินทางระยะสองสามร้อยกิโลเมตรรวดเดียวได้สบายๆ
ด้วยอัตราบริโภคน้ำมันอยู่ที่ 28-30กิโลลิตร มากน้อยก็แล้วแต่ว่าใครมือหนักมือเบา


ระบบช่วงล่าง
โช๊คอัพหน้าเป็นแบบเทเลสโคปิกขนาด 41mm สีดำเรียบดุ มียางหุ้มโช๊คใส่มาให้เสร็จสรรพ


ขนาดของวงล้อหน้าและยางหน้า  90/90 – 21นิ้ว


ด้านหลังเป็นแบบโมโนโช๊คติดตั้งมาบนกระเดื่องทดแรง


ส่วนล้อ และยางหลังขนาด 120/90 – 17นิ้ว


รัดมาด้วยางEnduro Street พีรารี่mt60 นะจ๊ะ


ย้อนกลับขันมาด้านบนกันบ้างกับแดชบอร์ดของเจ้า หิมาลายัน เท่สวยลงตัว
ฟังชั่นการแสดงผลมีมาให้แบบครบครัน ทั้งไฟแจ่งเตือนสัญญาณต่างๆ
ที่เด็ดสุดคือเจ้า เข็มทิศ ที่Royal Enfield ติดตั้งมาให้ด้วย


งานดีเรียบร้อยสวยงาม เรียบๆง่ายๆสบายตาไม่หวือหวา


ไฟหน้ากลมโตคลาสสิคหลอดฮาโลเจน H4 มาพร้อมวินชิลด์หน้าใสๆสวยๆ ที่ช่วยตัดลมปะทะตัวในตอนขับขี่ได้ดีเลยล่ะ
คือชิลด์หน้าถ้าใหญ่กว่านี้ก็ไม่สวย….อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ


โครงยึดไฟหน้าสวยงามทำหน้าที่เป็นแคชบาร์กลายๆ
เอาไว้ติดตั้งไฟสปอร์ตไลท์หรือจะ ติดกระเป๋าหนังเท่ๆก็ไม่ผิดแต่อย่างใด


ส่วนท้ายรถดุดัน เบาะสองชิ้นที่ให้ความนุ่มสบายก้นทั้งคนนั่งและคนซ้อน
ความสูงของเบาะผู้ขับขี่อยู่ที่ 800mm ไม่สูงเกินไปผู้เขียนสูง 175 นั่งแล้วเท้าลงพื้นเกือบเต็มเท้าทั้งสองข้าง


ติดตั้งแลคหลังแข็งแรงดี มาจากโรงงานกันไปเลย
เอาว่าหาเพลทติดเพิ่มแล้วยกปี๊บ45-50ลิตรวางได้สบายๆ
พร้อมไฟท้าย LED ขนาดกำลังดีสวยลงตัวกับบังโคลนท้าย


ในเจ้าตัว Touring Edition ที่ติดตั้งปี๊บคู่มาด้วยนั้น มันช่างใช่เสียนี่กระไรสวยลงตัวแบบว่า…
เอาว่าสายแอดเวนเจอร์ ขนเยอะ เห็นแล้วต้องชอบแน่นอน


แลคข้างสำหรับติดตั้งปี๊บแข็งแรงเลยล่ะ ลองขี่แล้วไม่มีอาการปิ๊บเขย่าแต่อย่างใด
ปล. ปิ๊บติดตั้งมาจากโรงงานนะจ๊ะ……..


มี skid plate มาให้แล้วเสร็จสรรพไม่ต้องไปหามาติดเพิ่ม
ระยะห่างระหว่างพื้นถึงใต้ท้องรถ [ground clearance] 220mm


ท่อไอเสียแสตนเลส ปลายยาวทรงสวยให้เสียงทุ้มๆนุ่มๆ ไม่โหวกเหวกจนน่ารำคาญ


ระบบเบรคแบบดิสก์เบรกทั้งหน้าและหลัง
ด้านหน้าจานเบรกเดี่ยวขนาด 300mm ส่วนด้านหลัง 240mm


ร่ายมาซะยาวมาเข้าโหมดขับขี่กันบ้างดีกว่าเดี๋ยวจะพาลง่วงกันซะก่อน
สัมผัสแรกที่ได้เอาเข่าหนีบถัง ก้นนั่งลงไปเบาะ เออ….เบาะนุ่มดี


ผู้เขียนความสูง 175 น้ำหนักช่วงนี้มากหน่อย……76 Kg เกินเกณท์ของตัวเองไปพอสมควร
ก็วางเท้าได้เกือบเต็มเท้าทั้งสองข้าง เนื่องจากขนาดตัวรถไม่ใหญ่น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 182 Kg
ก็ถือว่าไม่ได้หนักมากมายอะไร แต่ก็ไม่เบานะเอาว่ากลางๆล่ะกัน สบายๆ


เส้นทางที่ขี่กันก็สบายๆไม่ยากมากมายอะไรออกสตาร์ทจากบ้านอิต่อง ปิล๊อก มุ่งหน้า อำเภอสังขละบุรี
มีเส้นทางให้ลองเข้าไปวิ่งลุยบ้างพอเป็นกระสัย……ส่วนใหญ่ก็จะเป็นทางดำเกือบทั้งหมดแล้ว


บนทางดำราดยางหลุมบ่อ หินลอย โค้งคดเคี้ยวของเส้นจาก ปิล๊อคมาอำเภอทองผาภูมิ
บนทางดำเจ้าแพะภูเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีเกินคาด….ทั้งความนุ่มนวล และ การเกาะถนน
ขอติหน่อย ช่วงล่างที่ค่อนข้างนิ่มเวลาสาดโค้งแรงๆก็มีอาการท้ายห้อยเล็กน้อย
ซึ่งถ้ามีการปรับตั้งเซ็ทอัพกันนิดหน่อยน่าจะโอเค


ในส่วนของทางฝุ่น ทางลุยนั้น คือดีงามช่วงล่างถูกเซ็ทอัพมาได้เหมาะเจาะ
สำหรับการกระแทกกระทั้น วิ่งรูดไปบนถนนพังๆหลุมบ่อ กรวดลอย ลูกรังได้ดี
รวมถึงความสูงของตัวรถที่ไม่สูงมาก เวลารถเสียอาการหรือท้ายปัด ก็ยังสามารถยันกลับมาได้ไม่ยากเย็นอะไร


โดยรวมผมมองว่าครบเครื่องทั้ง เรียบและลุย แต่จะให้ไปลุยถึงกันถึงขนาดเข้าป่าเข้าพงขนาดนั้น
ด้วยน้ำหนักตัวของเจ้า หิมาลายัน คิดว่าผู้ขับขี่คงจะเหนื่อยเอาการล่ะ
เอาเป็นว่า เจ้าหิมาลายัน ถูกสร้างมาให้ใช้ชีวตบนเขา หิมาลัย ที่เส้นทางจะเป็นทางฝุ่นลูกรัง
ผสมทางชัน ซึ่งการทำงานของเครื่องยนต์รอบต่ำบนทางชันนั้น ใส่เกียร์2เดินคันเร่งไต่ขึ้นเนินได้แบบสบายๆ


ซึ่งผู้เขียนเองมองว่า Royal Enfield Himalayan เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของผู้ที่รักการเดินทางท่องเที่ยว
แบบสมบุกสมบันบนเส้นทางในแบบ Touring Adventure ได้แน่นอน….เครื่องยนต์หัวฉีดที่กินน้ำมันอยู่ประมาณ 28-29โลลิตร
ทำความเร็วบนทางเรียบได้ 130Km/h บนทางลุยทางเถื่อนก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร…

ตอนนี้มีเข้ามาวางจำหน่ายสองสี
– สีเทาแกรนิต
– สีขาวสโนว์
ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 169,800

และที่อยากทิ้งท้ายไว้ที่สุดคือ

Himalayan ไม่สั่นสะท้าน สะเทือนลำไส้ ไม่ว่าจะที่ย่านความเร็วไหนก็ตาม

ถึงจะยังไม่มีโอกาสได้ไปขี่ทดสอบถึงบ้านเกิดของเจ้า แพะภูเขาแดนหิมาลัย
แต่งานนี้ก็ได้โขยก ขย่มจนหนำใจในเสต็ปหนึ่งล่ะจึงขอเก็บเอามาบอกเล่าจากความรู้สึกของผู้เขียนเองล้วนๆ
หากผิดพลาดประการใด ก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับผม


สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณ Royal Enfield Thailand ที่มอบโอกาสให้ไปร่วมทดสอบรถครั้งนี้
ขอบคุณพี่ๆน้องๆลุง ป้า น้า อา ที่ติดตามอ่านจนจบ……
หากมีโอกาสได้จับรถอะไรอีกจะกลับมาเล่าให้อ่าน ถ้ายังไม่เบื่อกันซะก่อน…..ขอบคุณครับ


ส่วนวันนี้คงต้องขอตัวลาไปก่อนครับผม….

ขอบคุณพี่น้องทุกท่านที่ติดตามเรา Just Ride it ด้วยดีเสมอมา
ขอบคุณครับ