สวัสดีครับ
กระทู้นี้ไม่มีอะไรมากไม่อยากเรียกรีวิวเสียด้วยซ้ำ
เอาเป็นว่าขอมาเล่าประสบการณ์การเรียนรู้การขับขี่รถยี่ห้อหนึ่งจากแดนภาระตะ
พร้อมทั้งเหลาให้ฟังเล็กๆ น้อยกับความรู้สึกในการสัมผัส Cafe Racer 1 เดียวจากค่ายที่มีประวัติ ศาสตร์อันยาวนานนามว่า Royal Enfield
ซึ่งรุ่นนั้นมีนามว่า “Continental GT”
ผ่านการเรียนรู้พื้นฐานการขับขี่และ ทักษะความรู้การขับขี่รถยี่ห้อนี้ อย่างถูกต้องผ่านคอร์สที่ชื่อว่า
“Royal Enfield Academy” กันครับ
เพราะไม่ให้เสียเวลา ไปกันเลยครับ
ขอบคุณบทความจาก เตี้ย ล่ำ ดำ แก่
link ต้นฉบับ https://pantip.com/topic/36067715
อันตัวผมเองจริงๆ ไม่ได้มีประสบการณ์กับ Royal Enfield มากนัก
โดยส่วนใหญ่ที่ได้ขับขี่จะเป็นตัวคาร์บูเรเตอร์ในประเทศอินเดียเสียมากกว่า
แต่ก็ครบๆ เกือบทุกรุ่นจะขาดก็คงแต่เจ้า Continental GT เท่านั้น
แต่เรื่องราวการควบรุ่นต่างๆ ในอินเดีย เดี๋ยวจะมาเหลาให้ฟังกันอีกทีในกระทู้ ต่อๆไปครับ
มาพูดถึงเรื่อง Royal Enfield Academy กันก่อนดีกว่า
คอร์สนี้เราเรียนกันเวลา เย็นย่ำ และ ค่ำคืน ที่สนาม Motor Sport Park ร่มเกล้าครับ
ผมว่า ดีนะ สบายๆ และไม่ร้อนเลยครับ นับเป็นคอร์สการเรียนขับขี่รถที่ผมชอบที่สุดอีกหนึ่งคอร์สเลย
นอกจากบรรยากาศเย็นสบายแล้ว
สิ่งที่ชอบมากที่สุดคือ จำนวนต่อกลุ่มกำลังดี
ทำให้อาจารย์นั้นดูแลและให้คำแนะนำทั่วถึงดีมาก
ผมได้รับคำแนะนำการขับขี่จากอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านมากเลย
ความรู้ละเอียดๆในหลายๆ แง่ที่ไม่เคยรู้ก็รู้ตอนนี้แหล่ะครับ
พาชมรถสวยๆ แต่ละรุ่นของ Royal Enfield สักนิดก่อนเรียนละกันนะครับ
Bullet 500 ( คันหน้า )
ม้าศึกระดับตำนาน Original และดั้งเดิมที่สุดของ Royal Enfield ยางสไตล์ดั้งเดิมที่เน้นทนทาน
เบาะคนนั่งคนซ้อนมีมาให้ครบๆ พร้อมเดินทาง
Classic 500
สวยแบบคลาสสิคน่าจะถูกโฉลกคนไทยมากที่สุด โดยเฉพาะสีนี้ สวยให้ดิ้นตายเถอะ เจ้า Classic นี้จะมีรูปลักษณ์กับอุปกรณ์เน้นสมรรถนะขึ้นมาอีกนิดเมื่อเทียบกับเจ้า Bullet
และท้ายสุดที่อยากจะลองสัมผัสในวันนี้
Continental GT
สปอร์ตและสมรรถนะดีที่สุดแล้วของค่ายนี้ สำหรับรูปทรงก็สวยลงตัวดีอยู่นะ มากับเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่ารุ่นอื่น 535cc แน่ะ
เอาหล่ะ เริ่มเรียนกันดีกว่า
ในช่วงแรกที่เราจะได้เรียนรู้ทฤษฏีต่างๆ คล้ายกับคอร์สทั่วไปคือ การขึ้นรถ ลงรถ การตรวจสอบรถ การหาศูนย์ถ่วงรถ บลาๆ
ตรงนี้ไม่ขอเอ่ยละกันเนอะ น่าจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วกับคอร์สเรียนการขับขี่
=====================
สำหรับตัวของเจ้า Continental GT สัมผัสแรกเกี่ยวกับสรีระศาสตร์และตัวรถที่รู้สึกได้คือ
“เบา” ( 184 กิโลกรัม ) และท่านั่งการขับขี่ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ สบายๆ ไม่รู้สึกว่ามีส่วนไหนขัดกับความรู้สึก
สำหรับสัมผัสแรกของเครื่องยนต์ เนื่องจากผมค่อนข้างคุ้นชิน ลักษณะนิสัยเครื่องยนต์ของ Royal Enfield อยู่แล้ว
ซึ่งฟีลลิ่งที่เครื่องยนต์สูบเดียวลูกโต นั้นเป็นลูกๆ นิดนึง แต่ก็ไม่ได้กระด้างมากมายนักในรอบต่ำ
ยกเว้นรอบสูงที่มีสะท้านบ้างตามนิสัยสูบเดียว ลูกโต
เบาะและทรงถังจากที่สัมผัสสั้นๆ ก็ถือว่า OK สำหรับผม ( เกือบจะชอบกว่าทุกรุ่นที่เคยขี่มา ยกเว้น Himalayan )
เอาหล่ะ ไปเข้าฐานดีกว่า
ฐานแรก “สลาลม”
กับการขับรถอ้อมกรวยซ้ายขวาไปมากับกรวยที่ตั้งไว้ระยะหลากหลาย ช่วยให้เราฝึกก็ใช้สายตา คันเร่ง การถ่ายน้ำหนักของร่างกาย และที่ได้เรียนรู้เบื้องลึกคือการใช้ร่างกาย “ส่วนล่าง” ซึ่งก็คือ เอา ขา ในการสะบัด ยักย้าย เพือถ่ายเทน้ำหนักควบคุมรถให้เปลี่ยนทิศทางได้ดีขึ้นและเร็วขึ้น
สำหรับเจ้า Continental GT
ความรู้สึกในการวิ่งในกรวยแคบๆ อาจจะทำได้ลำบากกว่า Classic หรือ Bullet เล็กน้อยตามทัศนะของผม เนื่องจากรูปแบบของแฮนด์
แต่ถ้าหากเป็น “ออฟเซ็ท สลาลม” ซึ่งกรวยวางเยื้องกัน ยิ่งไกลเท่าไร Continental GT ยิ่งฉายแสงเท่านั้น
และตัว Continental GT เองยังมีมุมเทที่เยอะกว่า Classic หรือ Bullet อีกพอสมควร
พ่วงด้วยระบบเบรก Brembo และจาน Floating Disc ที่ดีกว่า “มาก” ทำให้การ เร่ง เบรก เร่ง เบรก ในออฟเซ็ทสลาลอมงั้นเหนือกว่าอีกสองรุ่นแบบชัดเจน
ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนะครับ รถเกิดมาเพื่อสมรรถนะที่มากขึ้นกว่ารุ่นอื่นอยู่แล้ว
สถานีทรงตัว ( และเลี้ยววงแคบ )
สถานีนี้จะมีกรวยตั้งแคบๆ จำลองประหนึ่งว่า ถ้ากรวยคือหน้าผา โดนกรวยคือ ตกหน้าผา 0___+ เมื่อผ่านหน้าผามาเสร็จเราจะต้องหัก เลี้ยวโค้งตัว U แบบหักศอกถ้าเกิดแหกก็ตกหน้าผาตายเช่นกัน
ทริกของการขับขี่แบบนี้คือ การใช้คันเร่ง คลัทช์ให้นุ่มนวลและควบคุมความเร็วช้าให้ได้ และใช้เบรกหลังในการควบคุมรถ
เจ้า Continental GT สถานีนี้ทำได้ดีมาก
เนื่องจากเบรกหลังเป็น ดิสก์เบรก ทำให้ควบคุมได้ละเอียดกว่า แต่ก็ไม่ได้ต่างกันมากมายหรอกนะครับ
ฐานเบรก
ด่านนี้จะเป็นการฝึกใช้เบรก โดยเริ่มใช้เบรกหลังเร็วกว่าเบรกหน้านิดหน่อย เนื่องด้วยว่าหากเบรกหน้าก่อนล้อหลังก็ จะยกตัวขึ้นไม่มากก็น้อย ทำให้เบรกหลังขาดประสิทธิภาพได้ฝึกอยู่หลายรอบทำให้เริ่มแม่นในระยะ และแรงเบรกมากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับฐานนี้เจ้า Continental GT ที่ผมขี่อยู่นั้นเฉิดฉายมากด้วยระบบเบรก Brembo ที่ให้ฟีลลิ่งการเบรกเหนือกว่ารุ่นอื่นที่ผมขี่มาพอสมควร ถือว่า ค่อนข้างประทับใจเลยทีเดียวว่า Royal Enfield เบรกได้ดีขนาดนี้เลยหรอ
และช่วงต่อไป คือช่วงที่สนุกที่สุด
คือช่วง Free Run ในสนาม Motor Sport Park ร่มเกล้าแห่งนี้
สนุกสนานกันไปครับ
สไตล์อินเดียขนานแท้ ต้อง Bullet เท่าน๊านนน อิอิ
ถ้าทางยาว ต้องยกให้ Bullet เขา
แต่ถ้าเข้าโค้งเจ้า Classic ไล่มาเลยทีเดียว
แต่ที่นี่คือ ถิ่นของเขา
เจ้าถิ่นนาม “Continental GT”
การขับขี่ การเข้าโค้ง เบรก ทำได้ดีกว่า RE รุ่นอื่นๆ มากพอสมควร
แต่ก็ยังห่างไกลรถสปอร์ตแท้ๆ นะ แต่ถือว่า น่าพอใจนะ ในทัศนะของผม
สำหรับ Mini Preview ครั้งนี้ ขอฟันธงคร่าวๆ สั้นๆ แบบไม่ลึกนักว่า รถ Royal Enfield Continental GT ถือว่า ทำออกมาได้ดี
ความสมดุลระหว่าง สมรรถนะ สไตล์ และราคารวมถึงอุปกรณ์ติดรถต่างๆ ถือว่า น่าสนใจพอสมควร ไม่ว่าเรือนไมล์ที่ดูดี ชุดช่วงล่าง ท่อไอเสีย ล้ออลูมิเนียม ยางติดรถ
ที่ให้มาค่อนข้างดีทีเดียว
จะมีติงนิดนึงก็เพียงเครื่องยนต์ที่สั่น ในรอบสูงไปหน่อย
ถ้าได้เครื่องยนต์ตัวใหม่ที่วางใน Himalayan มาลงใน Continental GT ผมว่า จะเป็นรุ่นที่น่าสนใจขึ้นไปอีก
สำหรับบททดสอบลึกๆ ถ้ามีโอกาสจะมาเล่าสู่กันฟังแบบยาวๆ ลึกๆ กันอีกทีนะครับ อันนี้เอาน้ำจิ้มไปก่อน แฮ่ๆ
ได้สัมผัสแค่นี้ ให้ไป 3.5 เต็ม 5 ดาวก่อนนะ
สุดท้ายนี้
ขอขอบคุณ Royal Enfield Thailandhttps://web.facebook.com/RoyalEnfieldThailand/?_rdr
ที่เชิญไปเรียนในครั้งนี้ด้วยครับ
สำหรับผม การดูแลระดับ Premium แบบน่าประทับใจในครั้งนี้ ถ้า Himalayan มาคงจะมาเป็นลูกค้าแน่นวลลลล
ขอบคุณที่รับชมครับ