พี่ๆ ขนน้อยหรือขนเยอะ
เมื่อเราเริ่มออกเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ไปได้สักระยะนึง
สิ่งหนึ่งที่เราเริ่มจะมองหา กลับไม่ใช่ความไวของท็อปสปีดสูงสุด
ไม่ใช่ปริมาตรของความจุกระบอกสูบ
แต่กลับเป็นที่เก็บของ หรือเรียกกันง่ายๆว่ากล่องหลังนั่นเอง
แน่นอนครับว่าปัจจุบัน กล่องหลังมีมากมายหลากหลายยี่ห้อให้เลือกใช้
แต่กล่องแบบไหน ที่จะให้ได้แบบที่คุณๆต้องการ อันนี้ก็คงต้องค้นหาแนวทางการใช้งานของตัวเอง
ส่วนในบทความนี้ ทางทีมจัส ได้มีโอกาสรับกล่องมาทดสอบ
ซึ่งเป็นกล่อจากทาง GIVI Thailand
เราจึงนำจุดที่น่าสนใจ และอาจจะช่วยในการตัดสินใจซื้อกล่องท้ายสักใบได้ด้วยเช่นกันครับ
ชื่อ GIVI หลายๆท่านน่าจะรู้จักและคุ้นเคยกันดีกับยี่ห้อนี้
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ ที่อยู่คู่ตลาดบ้านเรามาอย่างยาวนาน แม้จะมีกล่องท้ายจากหลากหลายที่เข้ามาแข่งขัน
แต่ด้วยความเป็น GIVI รวมถึงการรับประกันต่างๆ ทำให้มั่นใจได้ในระดับนึงว่า ถ้าซื้อมาแล้วมีปัญหา ก็ยังมีร้านค้าที่คอยซัพพอร์ตให้
ผู้ก่อตั้งบริษัทตั้งแต่แรกเริ่มคือ Mr. Giuseppe Visenzi อดีตนักแข่ง MOTO GP ปีลึก
ที่นึกถึงอุปกรณ์ต่างๆในการขับขี่ในชีวิตประจำวันจริงๆ จึงได้พัฒนาสินค้าผ่านแบรนด์GIVIมาอย่างต่อเนื่อง
และมีการตอบรับจากทั่วโลกอย่างกว้างขวาง
อย่างว่าแหล่ะครับสินค้าที่ถูกพัฒนามาจากคนขับรถจริงๆ มันย่อมมีบางสิ่งที่ดึงดูดสตังค์ได้เป็นอย่างดี
แถมล่าสุดก็ยังมีการเปิด GIVI BikePoint ตั้งอยู่บริเวณถนนพระรามสาม สามารถค้นหาจาก google map ได้เลย
เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกล่องท้ายกันต่อดีกว่า
กล่องที่ทางทีมจัสได้มาทดสอบในครั้งนี้มีทั้งหมดสองรุ่นครับ ได้แก่ Givi B32 Bold และ GIVI B42N
สองรุ่นนี้มีจุดน่าสนใจร่วมกันหนึ่งอย่างก็คือระบบ mono lock ง่ายๆคือสามารถใช้ถาดร่วมกันได้ ซึ่งนับเป็นข้อดีและเพิ่มความสะดวกสบาย
สำหรับผู้ขับขี่ที่อาจจะมีรถไว้ใช้งานหลายๆคัน สามารถถอดสับ สลับกล่องได้อย่างง่ายดาย
มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า วัสดุที่ใช้ของทั้งสองรุ่นเป็นพลาสติกแบบที่ให้ตัวได้ดี ภาษาทางการเรียกว่าอะไรผมไม่ทราบ 555
แต่เอาเป็นว่าถ้ารถเกิดล้ม สไลด์หรือแปะ กล่องก็ยังคงรูปไม่บิดเบี้ยวจนเสียทรงนั่นเองครับ
ขนาดความจุทั้ง 32L และ 45L จากที่ทดสอบมาถือว่าแอบมีการพัฒนาขึ้นนะ
หากใครที่เคยใช้กล่องของ GIVI ตัวราคาล่างๆหน่อย คู่กับระบบ MONO LOCK จะพบปัฐหาหนึ่งอย่างนั่นคือเรื่องกลไกระบบล็อค
ที่ค่อนข้างกินพื้นที่ภายในไปเยอะพอสมควร
แต่พอมาเป็นสองรุ่นนี้ พื้อที่ด้านในเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน และสามารถจัดเรียงสิ่งของได้ง่ายมากขึ้นโดยเฉพาะหมวกกันน็อคแบบเต็มใบ
อันนี้ส่วนของระบบล็อคที่บอกว่าเพิ่มพื้นที่การจัดการด้านในได้ดีขึ้นมากกกกก
หากจำได้ในรุ่นก่อนหน้าสันตัวล็อคด้านในจะค่อนข้างใหญ่และยาวกินพื้นที่ไปเยอะ
พอมาเป็นสองรุ่นนี้เล็กกระชับมากกว่าเดิมพอสมควรครับ แต่ระบบล็อคก็ยังคงแน่นหนาปลอดภัยดี
เรื่องของน้ำหนักบรรทุก ทั้งสองรุ่นทำออกมาใกล้เคียงกันคือ 3-5 Kg
ซึ่งก็เพียงพอกับการขนข้าวขนของทั่วไป รวมไปถึงการเดินทางไกลได้อย่างดีทีเดียว
แถมรูปทรงของกล่องที่ไม่ได้ดูใหญ่โตเทอะทะ ทำให้สามารถใช้ร่วมกับรถได้ทุกแบบ
ในคราที่ต้องถอดออกจากถาดก็มีหูหิ้วพกพาประหนึ่งกระเป๋าเดินทางกลายๆได้เลย
ระบบล็อค มีทั้งข้อดีและข้อสังเกตุ
เหตุที่ต้องบอกแบบนี้เพราะ ระบบล็อคของทั้งสองรุ่น
ต้องใช้กุญแจควบคู่ทุกครั้งในการเปิดครับ จะไม่เหมือนรุ่นเก่าๆที่สามารถกดปุ่มล็อคแล้วเปิดได้เลย
ข้อดีคือมันปลอดภัยแน่นอน ส่วนข้อสังเกตุคือ ค่อนข้างวุ่ยวายเล็กๆเวลาจะเปิดหรือหยิบจับสิ่งของด้านใน
เมื่อได้บางสิ่ง เราก็ต้องยอมเสียบางสิ่ง
ที่กล่าวเช่นนี้เพราะผมเชื่อว่าหลายท่านที่เสพติดกล่องท้าย น่าจะพอทราบความหมาย
สิ่งที่เราได้มานั่นคือการขนของที่มากขึ้น ส่วนสิ่งที่เราเสียไปคือความเร็วที่ถวิลหา
ต้องยอมรับกันตรงๆอย่างนึงครับว่าเมื่อติดกล่องท้ายแล้ว อาการต้านลมจนหน้าส่ายเมื่อความเร็วที่สูงขึ้น
เกิดขึ้นแน่นอน แต่หากมองให้เป็นข้อดีก็คือ เมื่อความเร็วเราถูกลดทอนลงจากกล่องท้าย
นั่นหมายความว่าเรามีโอกาสใช้ชีวิตบนท้องถนนได้อีกนานขึ้นเช่นกัน
สุดท้าย
ราคาของทั้งสองรุ่น ไปหาดูเอาเองเซ่ 555555
อ่ะๆ เอาดีๆ
หากท่านกำลังสนใจกล่องหลังสักใบมาใช้งาน
เราคงบอกไม่ได้หรอกว่ากล่องแบบไหนถึงจะดี ปิ๊บแบบไหนถึงจะใช่
แต่แค่อยากให้ตัดสินใจภายใต้เงื่อนไขไม่กี่อย่างครับ
หนึ่งเรื่องของตัวแทนจำหน่าย สองเรื่องของความคงทนของวัสดุ และสามการรับประกัน
จริงอยู่ของถูกก็มี แต่จะใช้ทั้งทีก็เลือกของที่มันดีๆหน่อย
ถ้ายังเลือกไม่ได้ ไปดูที่นี่ครับ https://www.bikemate.net/https://web.facebook.com/BIKEMATE.NET
หรือสามารถซื้อได้จากตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละเดือนจะมีโปรโมชั่นพิเศษ หมุนเวียนมาให้เสียเงินกันได้อย่างแน่นอน
สำหรับบทความนี้ก็ร่ำลากันไปก่อน แล้วพบกันใหม่ได้เรื่อยๆ ถ้าขยัน 555
just-ride-it https://web.facebook.com/justrideitteam สวัสดีครับ
