++++หมดตัว อยากกลับบ้าน กระเป๋าแบน ที่ ICELAND แดน(หนาว) นรก ++++

หมดตัว อยากกลับบ้าน กระเป๋าแบน ที่ ICELAND แดน(หนาว) นรก

สวัสดีครับ อมยิ้ม17อมยิ้ม17

นานๆ ผมจะมีโอกาสได้เขียนกระทู้ท่องเที่ยวต่างประเทศสักที

ขออนุญาติใช้พื้นที่ของห้อง Blueplanet เขียน Diary ของตัวเอง ไว้อ่านให้อมยิ้ม นึกถึงยามแก่เฒ่าด้วยนะครับ =/\=

ดังนั้นผมจะเขียนลำดับเหตุการไปเรื่อยๆ รูปที่เลือกมา ไม่ได้เน้นสวย เน้นประกอบเหตุการณ์ตามลำดับที่เกิดกับทริป Iceland ของผม

และในการท่องเที่ยวครั้งนี้  ก็มีสมหวังบ้าง…ผิดหวังบ้าง ( อาจจะเน้นมากหน่อย เพราะไม่ค่อยมีใครเล่าในมุมนี้สักเท่าไร ผมจึงอยากเล่ามากหน่อย  ) …   ตามเหตุการณ์ที่ได้พบประสบมาครับ

เอาหล่ะ เริ่มออกเดินทางไปกับทริปในฝัน ( ที่รอคอยมาทั้งชีวิต ) ของผมกันเลย ยิ้มยิ้ม

สารบัญ

1. จุดเริ่มต้นแห่งการเดินทาง & แรงบันดาลใจ

2. ผู้ร่วมชะตากรรม

3. งบและแผนการเดินทาง

4. เครื่องแต่งกาย

5. แผนการเดินทาง

6. เรื่องราวการเดินทาง

7. เจาะลึก ธารน้ำแข็ง

8. มหัศจรรย์แสงเหนือ

ป.ล. ภาพในกระทู้นี้ไม่ได้แต่งภาพเลย ( ขี้เกียจและอยากเก็บแสงสีแบบ Original ไว้ )  ภาพก็อาจจะไม่สวยนัก ( จริงๆ ฝีมือถ่ายภาพห่วยด้วย ร้องไห้ร้องไห้ )

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
Credit VDO : เพื่อนร่วมทริป  หมอกิ่ง ครับ

 

1. จุดเริ่มต้นแห่งการเดินทาง & แรงบันดาลใจ

แน่นอน ผมขอเห็น  แสงเหนือ  ด้วยตาตัวเองซักครั้งหนึ่งในชีวิต ขอครั้งเดียว จะที่ไหน เมื่อไร เท่านั้นเอง

ช่วงนั้นพอได้ทราบข่าวมาว่า  แสงเหนือ อาจจะ peak สุดในช่วงปี 2012-2015 ต้นๆ ปี  ซึ่งผมก็มาทราบข่าวนี้ เอาปลายๆ ปี 2014 แล้วหล่ะ   ก็เลยคิด Project ขึ้นมาเลย

ภาพ : ตัวกระผมเอง กำลังยลแสงเหนือ ด้วยความหนาวเหน็บ หัวเราะหัวเราะ

2. ผู้ร่วมชะตากรรม

กระบวนการต่อมาคือ เฟ้นหา ผู้ร่วมชะตากรรม  5 คน ตามที่ตั้งใจไว้  เอาจริงๆ กว่าผู้ร่วมทริปจะลงตัว เรียกได้ว่า ยุ่ง ยากและไม่ง่าย  มีคนเข้ามาสมัคร และสุดท้ายก็ไม่ได้ไป หรือ คนที่สนใจหลายคนแต่ติดนั่นติดนี่ ร้องไห้ร้องไห้

กว่าจะได้ผู้ร่วมทริปตัวจริง  เรียกว่า วินาทีสุดท้ายกันเลยทีเดียว  ลุ้นเยี่ยวเหนียว ว่างั้น

คือ ถ้าคนน้อยกว่า 5 คน  ผมก็คงต้องพับทริป เพราะคงจะสู้กับ ค่าใช้จ่าย ไม่ไหว

มีการนัดประชุมกันหลายครั้งหลายคราเหมือนกัน เปลีองค่า ร้านอาหาร ไปไม่น้อยเลยทีเดียว  อย่างน้อยก็หลักพันหล่ะครับ  ( งบบานจุดที่ 1 )  T___T

และเมื่อเจอกระทู้นี้

http://pantip.com/topic/32164247

ไฟฝันก็บังเกิด และเป็น Role model ของกลุ่มเราที่จะเดินตามกันเลยทีเดียว

หากต้องการข้อมูลแน่นๆ  และรูปภาพที่สวยงามดั่งอยู่ในสวรรค์  ไม่ผิดหวังเลยครับ  กระทู้ของน้องๆ เขาสุดยอดจริงๆ

เราใช้ข้อมูลจากกระทู้นี้แหล่ะ ครับ   เพื่อเดินตามรอย

นี่คือ โฉมหน้าผู้ร่วมชะตากรรมที่กว่าจะรวม กันได้ครับ

3 งบและแผนการเดินทาง

ตามสุดยอดกระทู้เลยครับ  น้องเขาทำได้ 7 หมื่น ยังพอกัดฟันเป็นไปได้   เราต้องได้ 7 หมื่นบ้าง  ขอเดินตามรอยนี้แหล่ะ

หารู้ไม่ว่า อะไรๆ มันไม่ง่าย ขนาดนั้น สำหรับ คนไม่เชี่ยว ไม่ละเอียด และไม่ค่อยทำการบ้านแบบเราร้องไห้ร้องไห้

การเดินทางในครั้งนี้  งบเรา ทะลุไป เลขกลมๆ คือ   เกือบแสน

ป.ล. ผมขอนับค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทุกกระบวนการ เอาค่าใช้จ่ายที่คิด ไว้ล่วงหน้าก่อนแล้วที่ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายหลักที่คนเอามา Share กัน  ผมเรียกมันว่า

ค่าใช้จ่ายตัวประกอบ

– ค่าเสื้อผ้าที่ต้องซื้อ  ( ตัวของหมดไป 7 พันกว่าบาท )

– ค่าดำเนินการ ต่างๆ ประชุมกัน นัดกัน จ่ายนั่นจ่ายนี่  รวมถึงค่า Taxi ต่างๆ ด้วย ( ส่วนนี้กว่าจะจบ ก็หมดไปอย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 2-3 พันหล่ะ )

– ของฝาก  ถ้าไปไกลขนาดนั้น  เป็นคนไทย อย่างไร กลับมาก็ต้องซื้อของฝากมาบ้างหล่ะนะ  ส่วนนี้ก็หมดไปสัก 3-4 พันได้

– ค่าเที่ยวระหว่างทางที่ไม่ใช่ Iceland  ไม่มีประสบการณ์ แทบไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบิน  ส่วนลดอะไร ผมไม่มี   ได้ตั๋ว Finnair มาในวินาทีสุดท้าย  ก็แพงกว่าที่เค้าแชร์ๆ กัน

แต่ต่อเครื่องวุ่นวาย  หลาย Step   วันน้อย เวลาน้อย  ยอมๆ จ่ายไปเถอะ  เขียมน่ะอยากเขียม แต่เขียมมากไปมันก็เครียดเปล่าๆ

เครื่องเราลงที่   เฮลซิงกิ  เมืองหลวงของ ฟินแลนด์ ไป Transfer ที่นั่นมีเวลา 24 ชั่วโมง

คำถามคือ เอา งัย  จะประหยัดงบ  นอนสนามบิน อยู่แต่สนามบิน เพื่อดั๊มราคาสุดติ่งกระดิ่งแมวดี ไหมน่าจะประหยัดได้หลายพันเลยหล่ะ

คิดไปคิดมาคือ    อย่าเลย  อาจจะได้มาครั้งเดียวในชีวิต  เที่ยวไปเถอะ  มาสนามบินเค้าแล้ว ไม่ไปดูบ้านดูเมืองเขาหน่อย  โคตรเสียดาย เลยนะ  ใช้โอกาสให้คุ้มค่าเถอะเม่าตกอับเม่าตกอับ

จัดไป งบบานขึ้นอีก 1 เรื่อง  ร่วมๆ 5 พันกว่าบาทได้ ( ค่าโรงแรม + ค่า Shuttle Bus + ค่ากิน )

– ค่าใบขับขี่อินเตอร์ + ค่าถ่ายรูปใหม่  กลมๆ  700 บาท

*******ค่าใช้จ่าย ตัวประกอบ พวก นี้  มีมูลค่า กลมๆ  2 หมื่นบาทไทย ได้ครับ********

ค่าใช้จ่ายหลัก

ค่าเครื่องบิน  อย่างที่บอก กว่าจะได้สมาชิกก็วินาทีสุดท้าย  ตั๋วเครื่องก็วินาทีสุดท้ายเช่นกัน  ส่วนล้งส่วนลดอะไรไม่ต้องพูดถึง ไม่มี ร้องไห้ร้องไห้

ได้ Finnir มา กลมๆ ก็ 36,500 บาท ครับ   เม่าตกอับเม่าตกอับ

ค่ารถบ้าน   90,505.33 บาทไทย หารออกมาก็คนละ 18,101.066  บาท  จะเรียกได้ว่า นี่คือ ค่า ใช้จ่ายที่ผิดพลาดที่สุดอันนึงของทริปนี้   ซึ่งเดี๋ยวจะกล่าวต่อไปครับ เม่าบาดเจ็บเม่าบาดเจ็บ

ค่าน้ำมัน  หมดไปกันคนละ 2,478 บาท

ค่ากิน ไม่ได้จดไว้

แต่รวมทั้งหมด ที่ใช้ไปคือ ค่า รถ + ค่าน้ำมัน + ค่ากิน + ค่า Meseum + Blue Lagoon + Icecave   = 28,000 บาทไทย ครับ

รวมกับค่า เครื่องบิน ก็ = 64,500 บาทไทย ครับ  เม่าตกอับเม่าตกอับ

ค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด

อันนี้คือ ค่าใช้จ่ายแห่งความผิดพลาด ต่าง ๆ  คร่าวๆ ก็ 11,000 บาท  ซึ่งเดี๋ยวผมจะแจงให้ฟังต่อไปครับเต่าเอือมเต่าเอือม

******รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด  ก็ประมาณ  95,000 บาท ******

กลับมาแทบกระอักเลือด  ช๊อตอยู่ 2-3 เดือนได้

4. เครื่องแต่งกาย

เป็นความผิดพลาด อีก 1 ข้อที่เขียมในเรื่องนี้

การแต่งกายก็ ตามสูตรในกระทู้ หมอๆ ด้านบนแหล่ะครับ เพียงแต่ว่า  ผมไม่ได้ซื้อ Brandname  ซื้อมือสองบ้าง  เอาที่มีอยู่บ้าง

ผลคือ  มันก็เอาอยู่ครับ  แต่ต้องใส่หลายๆ ชั้น  ซึ่งมันเสียเวลามากๆ  ผมจะลงจากรถแต่ละที ต้องมานั่งใส่หลายชั้น ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ  ที่ใช้พวก ของดีๆ  ใส่ชั้น สองชั้น ลงจากรถเที่ยวได้เลย

คนอื่นถ่ายรูปไป 10 รูป แล้ว ผมยังนั่งแต่งตัวในรถอยู่เลย ( จริงๆ ทนหนาวไม่ได้เองด้วยแหล่ะ แฮ่ๆๆ ) !!!!!

แต่สิ่งที่แย่เลย คือ     ถุงมือ ( Wool )  กับ   ถุงเท้า ( Wool )  +  รองเท้า ครับ  ซื้อจาก Platinum

ขนาดใส่หลายชั้นแล้ว ( ถุงมือ กับ ถุงเท้า )   ยังเอาไม่อยู่  ( คนขายบอก ทนอุณหภูมิได้ติดลบสบายๆ  ฮึ่มมมมม )    ทนทรมานตลอดทั้งทริปครับ  กับข้อนี้ ร้องไห้ร้องไห้

รู้งี้ ทุ่มทุนกับเครื่องแต่งกาย ให้มันสักหมื่นนึงไปเลย   อย่าเขียมอีก คราวหน้า !!!!!! เม่าฝนตกเม่าฝนตก

5. แผนเดินทาง

หวยวันเดินทาง ออกที่    19 กุมภา 2558  –  7 มีนา 2558   ( 17 วัน )

โดยแพลนคร่าวๆ ดังนี้

20   กุมภา                              เที่ยว  เฮลซิงกิ  ฟินแลนด์

21   กุมภา – 6 มีนา                   ไอซ์แลนด์                        ( มีเวลาเที่ยวเต็มๆ 13 วัน )

ที่เลือกเวลาช่วงนี้ ทำไมอ่ะหรอ   ไม่มีอะไรมากครับ  กระทู้หมอๆ บอกว่า ช่วงนี้น่าจะดีที่สุด  กลางคืนมากกว่ากลางวันอย่างพอดีๆ เหมาะกับ การล่าแสงเหนืออย่างเป็นที่สุด  ประหลาดใจประหลาดใจ

ส่วนเรื่องรถ

เดินทางด้วยรถบ้าน ( เพื่อประหยัดงบ นอนบนรถ ) เครื่องยนต์ Diesel ( เลือกเพื่อประหยัดน้ำมัน )  รอบเกาะ Iceland  ระยะทาง 3 พันกว่ากิโลเมตร   นั่งทำแผนการเดินทาง ( ที่สุดท้ายไม่ได้ใช้ )เพื่อยื่น VISA

สุดท้าย อะไรๆ ก็ไม่เป็นใจตามแผนเดินทางไปหมด  ทำไม อย่างไร เดี๋ยวเล่าให้ฟังไปเรื่อยๆ นะครับ เม่าเหม่อเม่าเหม่อ

ผลลัพธ์ของ แผนนี้น่ะหรอครับ

หิมะยังเยอะเกินไป!!!!   บดบัง ทัศนียภาพอันสวยงามของ Iceland ไปพอสมควร   ร้องไห้ร้องไห้

อากาศยังหนาวเกินไปที่จะนอนในรถ บ้าน ( รถของเราไม่ดีด้วย Heater เอาไม่อยู่ อุณหภูมิในตัวรถต่ำกว่า 0 องศา) เป็นเหตุให้สุดท้ายไม่ได้นอนในรถ ประกอบกับผมเป็นมือขับเพียงคนเดียวด้วย  ด้วยคุณภาพการนอนที่ย่ำแย่ในรถ มีผลต่อความอันตรายมาก หากมีมือขับ 2 คน เรื่องนี้อาจจะไม่เป็นปัญหาเลย หากมือขับคนนึงนอนไม่หลับ อีกคนยังขับแทนได้ และนอนเอาบนรถขณะเดินทางได้

ผลก็คือ สุดท้ายเราต้องเช่าที่พักกันแทบทุกวันครับ  เปลืองเงินไปอีก 1 หมื่นกว่าบาท  แถมเช่ารถบ้าน ( ที่มีราคาแพงมาเสียประโยชน์ )   ซึ่งเราได้คำนวณแล้วว่า ถ้าเราเช่าที่พักและเช่ารถ 4WD คันเล็ก ราคาถูก  ราคาค่าใช้จ่ายก็จะถูกกว่านี้อีกครับ  พลาดไปสำหรับครั้งนี้ …. ร้องไห้ร้องไห้

ถนนหนทาง ในช่วงนั้น  แทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่รถขับเคลื่อนเพียง 2 ล้อ จะวิ่งรอบเกาะได้ใน 13 วัน  บางช่วงหิมะและน้ำแข็งปกคลุมถนน รถขับเคลื่อน 2 ล้อ

ไม่ควรวิ่งผ่าน ( ผ่านรายงานทาง Website )  แต่ถ้าไม่วิ่ง ก็กลับไม่ได้ ตกเครื่องบิน บางช่วงก็ต้องเอา ชีวิตเข้าเสี่ยง เหมือนกัน  แม้จะเป็นถนนสายหลักของ Iceland ก็เถอะ เจอคนไทยบางกรุ๊ป เช่า 4WD คันใหญ่

กินน้ำมันมหาศาลมาก  5-7 กม/ลิตรได้มั๊ง  เค้ายังบอกว่า รถเค้าหมุนตกถนนไป 4 รอบ  การขับรถต้องมีสติทุกขณะ เรียกได้ว่า  ถ้าขับเพลินๆ ไม่เบรคล่วงหน้า มีเนินไม่เร่งส่งล่วงหน้า มีรถหมุน

มีล้อฟรีได้ตลอดเวลา

ถึงเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ  ถ้าพลาด  ก็จะมีสภาพเช่นนี้

แม้แต่คนท้องถิ่นเองก็ยังพลาดได้  ผมมีโอกาสได้ช่วยเหลือเขาเข็นรถออกจากน้ำแข็งด้วย

อันนี้เป็น VDO การขับรถฝ่าพายุหิมะ ที่ผมโคตรระทึกเลยครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

6 เรื่องราวการเดินทาง

เริ่มเดินทางกันเลย

ออกจาก กทม  เปิดวาร์ป มา   เฮลซิงกิ  เมืองหลวงแห่ง ฟินแลนด์ กันเลยครับ

มาถึงก็ค่ำๆ แล้วหล่ะ  บรรยากาศสัมผัสแรกแดนยุโรปน่ะหรอ   หนาวๆ น่ะหนาวอยู่แล้ว   แต่มันดูเหงาๆ อย่างไร บอกไม่ถูก

บ้านเมืองออกครึ้มๆ  ทึมๆ   เดินเล่นไปเรื่อยๆ  แต่ละสถานที่ไม่รู้จัก และ ไม่ได้หาข้อมูล  มีเวลาแค่ 1 วันหวังว่า มีดูบ้านดูเมืองเขาเท่านั้นครับ ยิ้มยิ้ม

ความคิดเห็นที่ 15

เอาหล่ะ ทริปนี้ฟินแลนด์แค่ทางผ่าน  ( ถึงแม้จะเสียเงินกับประเทศนี้ไปหลายพันกับแค่วันเดียว แต่ก็ได้รู้จักบ้างแล้ว )

เดินทางกันต่อครับ

บ๊ายๆ สแกนดิเนเวีย

สวัสดี ไอซ์แลนด์

ทำไมมันขาวโพลนดูน่ากลัวได้ขนาดนี้นะ มองไปทางไหนก็มี แต่ทุ่งน้ำแข็ง

ถึงสนามบินเรียบร้อย อากาศหนาวเย็น -1 องศา

ทีนี้ก็รับรถ  กว่าจะหากันเจอ รอนานประมาณครึ่งชั่วโมงแน่ะ นึกว่า โดนเบี้ยวละ  ( โอนตังค์แล้วนะเนี่ย 5555 )

พอเจอตัวแล้วก็อธิบายกฏเกณฑ์วิธีการใช้รถ ใช้ถนน ใช้….. ทุกๆ อย่าง

นี่แหล่ะครับ สภาพที่นอนของเรา คืนนี้

นอนข้างล่าง 3 ข้างบนที่แสนจะแคบและยัดตัวเข้าไปยาก 2 คนครับ

เริ่มออกเดินทาง  ยอมรับว่า ตื่นเต้นสุดๆ กับการขับรถในยุโรปครั้งแรกแถมต้องเดินทางเข้าเมืองใหญ่อย่าง เรคยาวิก  เมืองหลวงของไอซ์แลนด์

ทุกสิ่งทุกอย่างกลับข้างกันหมด ไม่ว่าสวิทช์ไฟเลี้ยว ไฟสัญญาณต่างๆ  หรือแม้แต่ถนน ( ขับด้านขวา )  และ ยิ่งกว่านั้น รถคันนี้เกียร์ Manual ครับ

แถมเป็นเกียร์แบบ 6 Speed การเข้าเกียร์ถอยหลังก็ไม่เหมือนที่เคยขับมาครับ  ต้องดึงคันเกียร์ขึ้นก่อน ถึงจะเข้าเกียร์ถอยหลังได้

ถ้าใครมาแนะนำเกียร์ auto ดีกว่าครับ เพราะจะขับง่ายขึ้นอีก 80% เลย   ( ขนาดรถยนต์ที่ผมใช้งานอยู่เป็นเกียร์ manual มาขับที่นี่ยังรู้สึกว่ายากเลย )

อีกอย่างเช่ารถเกียร์ manual หามือขับได้ยากขึ้นไปอีก  การมีมือขับเพียง 1 คนก็เป็นปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่งครับ

คืนแรก  และ การถ่ายแสงเหนือ

เมื่อผมเข้า เรคยาวิค  ก็หาข้าวปลาทาน และ ขับรถวนไปวนมา เพื่อ “หาที่นอน”   สุด ท้ายเราก็รู้ว่า

ไอซ์แลนเนี่ย อยากจอดนอนตรงไหน ก็จอดไปเถอะ ถ้าไม่มีป้ายห้าม No parking หรือ No camping  จอดนอนได้หมดครับ

และ สิ่งที่ไม่คาด ไม่ฝันก็เกิดขึ้นครับ!!!!!

มันคือ แสงเหนือ ในคืนแรกที่มาถึง

ผมสังเกตุบนฟ้าว่า มีอะไรยาวๆ พาดอยู่ เทาๆ ทึมๆ  ผมคิดว่า นั่นใช่แน่ๆ ครับ

แล้วมันก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นได้ด้วยตาเปล่าๆ  เป็นสีเขียวๆ ครับ

เนื้อเต้น กระโจนด้วยความดีใจครับ

ยกกล้องขึ้นถ่ายแบบตื่นเต้น ลนลาน ( มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ สำหรับครั้งแรก )

อ่านมาจากกระทู้ ไอซ์แลน ซักกระทู้นี่แหล่ะ ว่า ต้องทำงั้น ทำงี้ อย่างนั้น อย่างนี้

ทำตามครับ  รูรับแสงกว้างๆ   เปิดชัดเตอร์ นานๆ   ผลที่ได้คือ ……………

ห่วยแตกมากครับเม่าเหม่อเม่าเหม่อ

คืนแรก ผ่านไปกับความล้มเหลว

แต่…. อย่าลืมครับ  เพื่อนๆผม มีโปรกล้อง ถึง 3 คน  เข้าขั้นมืออาชีพเลยหล่ะ

บางคนถ่ายรูปขายใน Shutter Stock เลยทีเดียว ( ผมก็เพิ่งรู้จักเพราะทริปนี้แหล่ะ )

ดูรูปของเพื่อนแล้ว  ผมต้องถอนหายใจครับ …. เขาถ่ายกันได้คมชัดและสวยมาก

ก็เลยปรึกษาเขา  เขาบอก ต้องคำนวณ ไฮเปอร์โฟคอล อะไรสักอย่างนี่แหล่ะ  ตอนนั้น ไม่มี อินเตอร์เน็ต และ ไม่มีโอกาสเล่นนะครับ ( เป็นมือขับรถ )

ก็ยิ่งงุนงง เข้าไปใหญ่   อืม  ครั้งหน้าค่อยๆ ลองอีกครั้งละกัน

แต่สิ่งที่ผม ทรมาน ยิ่งกว่า การถ่ายรูปไม่ได้ได้บังเกิดในคืนนั้นครับ

การ นอนในรถ บนชั้น 2 ที่คับแคบ อึดอัด  นอนตะแคงไม่ได้ ต้องนอนหงายอย่างเดียวเพราะจะติด เพดาน ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นเฉียดๆ  -20 องศาคืนนั้น  มันช่างทรมานเกินกว่าจะหลับลง ร้องไห้ร้องไห้

ฮีต เตอร์ ในรถไม่ช่วยอะไรครับ  มันคือ  ไดร์เป่าผมดีๆ นี่เอง ที่ปั่นลมร้อนอันน้อยนิดออกมา จากใต้เบาะคนขับด้านหน้า

อัน ที่จริง หลับไม่ลงไม่ใช่ปัญหาครับ  แต่ผมเป็นคนขับรถเพียงหนึ่งเดียวนี่สิ ถ้าผมหลับในจะเกิดอะไรขึ้น!!  นี่คือสิ่งที่ผมกังวลมากๆ เลย เพราะว่า ชีวิตคนอีก 4 คนอยู่ในกำมือผมแล้ว

ภาพ : พัดลมร้อนตัวจิ๋ว และ ที่นอนของผมครับ

อาทิตย์แรกแห่ง Iceland

หลังจากแทบไม่ได้นอนทั้งคืน   ยามเช้าก็มาเยือน

เราเลือกที่จะชม แสงแดดยามเช้า ณ ริมทะเลที่มี ปฏิมากรรม นามว่า โซลฟาร์( Sólfar )  หรือ ภาษาปะกิต มีชื่อว่า The Sun Voyager

แปลเป็นไทยว่าอย่างไร หนอ

เรือที่ท่องตามหาดวงอาทิตย์หรือเปล่า 55555

อารมณ์มันเข้ากับเราตอนนี้เลย อยากได้แสงแดดเหลือเกิน   พอแดดเริ่มทอ  อุณหภูมิ ก็ลดเหลือ -15 องศา  แต่ก็ยังทนได้ยากอยู่ดี เมื่อมีลมประกอบ

ผมออกจากรถได้แป๊บเดียว ก็ต้องกลับเข้ารถไปใหม่ เพราะเย็นมือจนเจ็บไปหมด ร้องไห้ร้องไห้

แผนการเดินทางและเส้นทางจริง

ที่ตั้งใจไว้ตอนแรก คือ วิ่งรอบเกาะตามเส้นทาง Ring Road  เอาเข้าจริงทำไม่ได้ครับร้องไห้ร้องไห้

ด้วยสภาพอากาศของปลายกุมภา ต้นมีนา  กับเวลา 14 คืน 13 วัน  และรถขับเคลื่อน 2 ล้อ   หมด สิทธิ์ที่จะวิ่งรอบเกาะครับ

เราวิ่งย้อนไป ย้อนมา  ( เพราะไม่สามารถไปต่อได้ ด้วยสภาพถนนบ้าง สภาพอากาศที่มี Storm )

ช่วงแรก เราวิ่งเส้นสีแดง เนื่องจากเป็นถนนสายทองเที่ยวยอดฮิต  ( แถวนี้เรียกว่า  Golden Circle )  แต่สุดท้ายก็ติดพายุ 1 วันจนต้องวิ่งกลับทางเดิม เข้าเมืองหลวง

ช่วงต่อมา เส้นสีเลือดหมู  ตั้งใจจะวนรอบเกาะโดยขึ้นเหนือก่อน  แต่สุดท้ายก็ไปไม่ได้   ต้องวนกลับมา เรคยาวิค  เมืองหลวงเหมือนเดิม

และก็ติดพายุอยู่อีก วันครึ่ง  ไปไหนไม่ได้  ต้องเดินห้างแทน

ครั้งสุดท้าย  เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน ต้องไปทางใต้ และวิ่งกลับทางเดิม ด้วยเส้นสีดำ

มา ไอซ์แลนด์ฤดูหนาว เขียนแผนการเดินทางไว้ขอ VISA ครับ  วิ่งจริงๆ  ตามสภาพอากาศ และ สภาพถนน

ถ้าอยาก วิ่งรอบเกาะให้ครบๆ  แนะนำปลายมีนา ต้นเมษาดี กว่าครับ

ออกเดินทางกันครับ

หลังจากพักที่ เรคยาวิค  1 คืน ( Capital Region ใน Map ด้านบน )

เราก็ออกเดินทางตามเส้นสีแดงครับ  ปลายทางคือ    ซิงเควลี่  ( þingvellir  น้ำพุร้อนเกเซอร์ ( Geysir )  และ น้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss)

เส้นทางที่เราใช้ สภาพก็เป็นอย่างที่เห็นในภาพครับ  เต็มไปด้วยหิมะ

อุปกรณ์หลักการถ่ายภาพและ VDO  ในครั้งนี้

สถานที่แรกนับจากวิ่งเข้ามาใน Golden Circle Route คือ

น้ำตก อ๊อกซาร่าฟอสส์ ( Öxarárfoss)  ครับ

น้ำตกนี้ต้องเดินเข้าไปซัก 500 เมตรได้ เป็นการเดินบนน้ำแข็งครั้งแรกๆ ของพวกเราเลย

ก้นจ้ำเบ้ากันหลายครั้ง

ป.ล. ทริปนี้เฟลกับรูปภาพมาก เนื่องจากลองตั้งค่าภาพเป็นขนาด Small, Standard ( ด้วยความคิดโง่ๆ ที่ว่า จะได้ใช้ได้เลย ไม่ต้องมานั่ง Resize เพราะผม Resize ไม่ค่อยเป็น ) ร้องไห้ร้องไห้

ผลปรากฏว่า ภาพที่ได้กากกว่าตั้งเป็นขนาด Large, fine มาก  รู้ตัวก็จบทริปแล้ว ไม่น่าเลย

น้ำพุร้อนเกเซอร์ ( Geysir )

ผมไม่มีภาพครับ  เนื่องจากตอนนี้  จิตตกมากๆ กับ ความกังวล กลัวว่าจะขับรถไม่ไหว เพราะว่าเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน

แถมยังเครียดกับการเพ่งสติในการขับรถทางลื่นๆ มากๆ

ไหนจะความหนาวเข้าเนื้อ ที่ผมแทบจะทนไม่ไหวอีกครับ  น้ำพ้งน้ำพุ ไม่ดูมันแล้วครับ

ก้มหน้าดูพื้นอย่างเดียว  เห็นน้ำพุร้อนๆ ที่พุ่งขึ้นไป พอตกลงมากองที่พื้น ก็แข็งเป็นน้ำแข็งแบบนี้ได้เหมือนกัน

ส่วน น้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss)  ซึ่งเป็นน้ำตกที่ยิ่งใหญ่มากของ Iceland  ผมไม่ได้ไปครับ

เพราะว่าใจผมไม่สู้   พอลงจากรถปุ๊บ  ผมบอกตรงๆ ว่า ผมเดินไปน้ำตกไม่ไหว มันหนาวเข้าเนื้อมาก เข้ากระดูกดำ ผมเลยขอบายครับ

ทั้งทริป Iceland ที่นี่ หนาวสุดแล้วครับ

กลับมาแล้วก็เสียดายจริงๆ แต่ตอนนั้น จิตมันตกจริงๆ ครับ เม่าตาสว่างเม่าตาสว่าง

+•+•++•+•++•+•++•+•++•+•++•+•+

สวรรค์

ถ้าถามว่า ไป Iceland แล้วเวลาที่มีความสุขที่สุดคือตอน ไหน  ตอบเลย

1. เวลาที่เห็นแสงเหนือ

2. เวลาที่ได้ที่พักอุ่นๆ  นอนมองพายุหิมะพัดอยู่ด้านนอก ใกล้ๆ Heater อุ่นๆ ใต้ผ้าหุ่มนุ่มๆ

==================

หลังจากกลับจากน้ำตกกุลล์ฟอสส์ ปรากฏว่า พายุเข้า ( ชาว Iceland เรียกว่า Storm )

เราลงความเห็นกันว่า  ขนาดจอดในเมืองเรคยาวิค ไม่มี Storm เรายังหนาวกันแทบตาย

ถ้าเราต้องนอนในรถท่ามกลาง Storm  ผมคิดว่า  “ผมตายแน่ๆ”

จากนั้น เราก็ลงความเห็นว่า คงต้องหาที่พักแล้วหล่ะ  ( จากครั้งแรกเราคิดว่าจะประหยัดให้ถึงที่สุด ถึงขนาดต้องหอบอาหารกระป๋องไปจากไทย เพื่อประหยัด )

แต่ ณ จุดนั้น จะเสียเงินเท่าไร มันหน้ามืดตามัวแล้ว

เพราะอารมณ์ตอนนั้น มัน ทรมานเหลือเกิน กับความหนาว

สุดท้าย เราขับรถวนหากัน 2 ชั่วโมง ก็ได้ที่พักที่ ถูกใจจนได้

ในราคา 5 พันกว่าบาท  ต่อ 24 ชั่วโมง  หารกัน 5 คนก็ตกคนละพันกว่าบาทครับ ^^

Storm

ว่ากันด้วยเรื่องสภาพอากาศของ Iceland  ที่นี่อากาศแปรปรวนมากถึง มากที่สุด

สิ่งที่ทำได้คือ ดูพยากรณ์ใน Web  ( http://en.vedur.is/weather/forecasts/areas/ )

หน้าตามันก็เป็นแบบนี้

หลักๆ คือ จะบอก    อุณหภูมิ , สภาพอากาศ  และที่สำคัญ

ทิศทางลมและแรงลม

ซึ่งอันนี้สำคัญ ที่สุดเลย

ถ้าลมแรงเกิน 20 เมตร/วินาที  นั่นจะถูกเรียกว่า Storm

แต่ถ้าเกิน 15 เมตร/วินาที ขึ้นไป ชาว Iceland แนะนำว่าไม่ควรขับรถแบบที่เราใช้แล้ว เพราะมีโอกาสที่จะโดนลมตีจนตกถนนเอา ได้

และอย่างที่กล่าวข้างต้น  เราหาบ้านพักเพราะ Storm เข้า

และทำให้เราไม่สามารถเดินทางต่อ ( ตั้งใจไว้ว่าวิ่งไปทางใต้ )  ได้

ถ้าเราเลือกที่จะอยู่ ซิงเควลี่ ต่อ  เราก็จะต้องติดพายุหมดไปอีก 2 วัน

เลยติดสินใจย้อนกลับเข้า เรคยาวิค  เมืองหลวง  เพราะคิดว่า ถึงพายุเข้าก็ยังไปเที่ยวสถานที่ที่เป็นพิพิธภัณฑ์หรือแนวๆ in door ได้

เลยติดสินใจขับฝ่าพายุออกมา

ตอนนั้นความแรงของลมประมาณ 14-16 m/s

ระทึกพอสมควร  ขับรถเครียดใช้ได้เลย

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
เอาจริงๆ ก่อนกลับมีเรื่องให้ระทึกใจอีก

ก่อนออกจาก ซิงเควลี่  เราได้ดูรีวิว ของหมอๆ   ซึ่งกล่าวไว้ว่า  มีน้ำตกซึ่งสวยมาก

นามว่า  Brúarfoss  ( บรัวฟอร์ส )

เราลงทุนเสี่ยงตายเดินฝ่าพายุหิมะ หาน้ำตก ( ซึ่งหาพิกัดแน่นอนไม่ได้ มีป้ายเล็กๆ บอกทางแบบขาดช่วง )

เป็นประสบการณ์การเดินเท้า 3 กิโลเมตรที่ยากจะลืมเลือนจริงๆ  ล้มลุกคลุกคลาน ล้มแล้ว ล้มอีก ( สังเกตุคนด้าน หลัง )

สุดท้าย ภารกิจนี้ก็ล้มเหลวครับ

เราหาน้ำตก ไม่เจอ   และ  ตัดสินใจกันว่า  ถอยดีกว่า  เพื่อความปลอดภัยของชีวิต !!!!

หลังจากเราต้องย้อนกลับมานอน เรคยาวิค 1 คืน

เราก็รู้ซึ้งแล้วว่า   แผนที่เราวางมาว่าจะขับรถรอบเกาะ  มันได้พังทลายไปแล้วร้องไห้ร้องไห้

เพราะสภาพอากาศ ที่ 3 วันดี 4 วันร้าย ทำให้เราไม่สามารถขับรถได้

กับรถที่เราเช่า  ขับเคลื่อนแค่ 2 ล้อ   ( ตอนนั้นเน้นประหยัด )

และระยะเวลาแค่ 14 วัน

มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะขับได้รอบเกาะ Iceland

เราเลยเลือกที่จะเก็บทางเหนือ ใกล้ๆ ก่อน ให้เวลาแค่ 2 วัน  ( เพราะมีที่ที่จำเป็นจะต้องไปจริงๆ )

และที่เหลือ  ล่องใต้

เมืองกรันดาฟจอรัว( Grundarfjörður )

เป็นเมืองเล็กๆ ปลายทางของเราในวันนี้  ห่างจากเมืองหลวง เรคยาวิค ประมาณ  180 กิโลเมตร

เราใช้เวลาเดินทางประมาณ   6 ชั่วโมง   ก็ถึงจนได้

เคิกจูเฟล ( Kirkjufell )

ตอนแรกที่มาถึง กรันดาฟจอรัว  ผมพยายามมองหา Kirkjufell เพราะดูตามแผนที่มันอยู่ติดเมืองเลย  แต่หายังงัยก็หาไม่เจอ ไอ้ภูเขาสามเหลี่ยมเนี่ย

เพราะว่าถ้าเรามองจาก กรันดาฟจอรัว  มันจะเห็น Kirkjufell เป็นรูปทรงภูเขาปกติ ( มองจากด้านข้าง )  แต่พอขับรถออกมาอีก 2 กิโลเมตรก็จะถึงบางอ้อ

ว่าถ้ามองจากด้านหน้า  ก็จะเห็นเป็น  สามเหลี่ยม ดังรูปนั่นเอง

ส่วนใหญ่รูปภาพที่เห็นในเน็ทของ Kirkjufell นั้นส่วนใหญ่จะเป็นภาพในช่วงฤดูร้อน  มันจึงดูมีชีวิตชีวา สีสัน สวยงาม  แต่….

ช่วงที่เรามา มันมีแต่สีขาวกับฟ้าทึมๆ  มันช่างเสียดายยิ่งนัก  ( ถึงแม้จะงามไปอีกแบบ )

และความหวังอีกอย่างนึง คือ การเห็นแสงเหนือเป็นฉากหลังของเจ้าภูเขาลูกนี้   แต่ความหวังก็พังทลายลง   เพราะว่าฟ้าปิดแบบไร้เยื่อไย

เอาหล่ะ สู้ต่อไป

มุมมอง Kirkjufell เมื่อมองจาก กรันดาฟจอรัว

หลังจากประเมินสถานการณ์กันแบบ  “วันต่อวัน”

กอปรกับฟังจากคำบอกเล่าจากชาวไทยที่ขับรถ 4X4 มาจากทางเหนือ เจอกันที่ Kirkjufell  เขาบอกว่า รถเค้าหมุนไป 2 รอบตกถนน  0___+

ทำให้เราทราบว่า ถนนทางเหนือมันโหดร้ายมาก  รถเราคงจะไปได้ยากแน่  หรือไปได้ แต่คงจะขับได้ช้ามากๆ

เราเลยตัดสินใจ ย้อนกลับไปตั้งหลักที่  เรคยาวิค  อีกครั้ง

คราวนี้ เราไม่กลับทางเดิม  ย้อนกลับไปให้สุดแหลมทางตะวันตก

สภาพเส้นทางเป็นถนนริมทะเล มีลักษณะคล้ายๆ ฟยอร์ด บ้างเหมือนกัน

ทิวทัศน์ถือว่า งาม แปลกตาชาวตะวันออกไกลแบบเราบ้างเหมือนกัน

น้ำตก ( แข็ง ) ริมทางมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ

นี่ถ้าเป็นฤดูร้อนที่น้ำไหล คงจะสวยงามเอามากๆ

ก่อนมา เรามโนกันว่า

เวลาจะกินข้าวเช้า – กลางวัน – เย็น

เราจะหาที่ที่วิวสวยๆ  จอดปิคนิค กินอาหารท่ามกลางวิวอันงดงาม

ในความเป็นจริงหรอ….

อย่าว่าแต่นั่งกินข้าวเลย  เวลาจอดรถเดินเที่ยว ยังแอบรู้สึกว่าบางครั้งไม่อยากลงจากรถเสียด้วยซ้ำ…

นี่คือสิ่งที่เป็นครับ ต้องกินข้าวกันในรถ

แต่ต้องยอมรับจริงๆ ว่า Landscape ที่นี่ มันสวยสำหรับคนไทยอย่างผมจริงๆ ….

ถัดมาจากเมือง กรันดาฟจอรัว  ไม่ไกลมาก ขับรถประมาณ ชั่วโมงกว่าได้มั๊ง

ทิวทัศน์ดังภาพ  สวยงาม ดูยิ่งใหญ่

แต่ต้องขออภัย เรียกว่าอะไร ผมจำไม่ได้ครับ

เพอลัน Perlan

เราเดินทางเข้า เรคยาวิค เข้ามาพักที่โรงแรมเดิม ( เพราะถูกที่สุดและคุ้นเคยแล้ว )

ดูจากพยากรณ์เมฆและแสงเหนือ  วันนี้เรามีสิทธิ์ที่จะโชคดี ได้เห็นแสงเหนือ แม้ว่า KP Index จะต่ำเตี้ยเลี่ยดิน

แต่ฟ้าเปิดนั้นหาได้ยากกว่า….

เราเดินยิ้มยิ้มทางขึ้นไปบนภูเขาซึ่งอยู่กลางเมือง เรคยาวิค ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารที่ชื่อว่า Perlan  ซึ่งนับได้ว่าเป็น Landmark หนึ่งของเมืองเลยทีเดียว

เรายืนรอแสงเหนือท่ามกลางความหนาว เหน็บ  สลับกับเข้าไปรับความอุ่นจากฮีตเตอร์ในรถ

ในที่สุด แสงเหนือ ( อันน้อยนิด )  ก็โผล่กายมาให้เราเห็น มันน้อยจริงๆ ครับ  แต่ผมก็ดีใจ ที่ผมถ่ายแสงเหนือได้ชัดเสียที ยิ้มยิ้ม

ไฟของ Perlan จะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ครับ

วันต่อมา  ติดพายุ ครับ ไม่สามารถเดินทางได้

ก็ขับรถเที่ยวในตัวเมือง เรคยาวิค นี่แหล่ะครับ

ที่เราไปเที่ยวกันคือ  National Museum of Iceland ครับ

ได้ความรู้เกี่ยวกับ Iceland จากที่นี่เยอะเลยหล่ะ

วันต่อมา  พายุหยุดแล้ว  เราออกเดินทางต่อ

แต่ว่าต้องออกสายๆ หน่อยเพราะว่า  น้ำแข็งที่เกาะอยู่บนถนนบางสายยังไม่ถูกเกลี่ยออกไป ( รู้ได้อย่างไร ก็ดูในเวปสภาพเส้นทางครับ )

ออกเดินทางมาเรื่อยๆ  เราก็มาถึง Landmark ( ที่คนอื่นถ่ายรูปโคตะระสวย  แต่ผมถ่ายไปเก่งแบบคนอื่น ถ่ายงัยก็ไม่สวย )

นั่นคือ

น้ำตก  Seljalandsfoss  ( เซลจาแลนด์ฟอส )

ผมชอบภาพนี้

ออกเดินทางต่ออีกนิด ก็ถึงปลายทางของเราในวันนี้

นั่นคือ

น้ำตก Skógafoss  ( สโกก้าฟอส )

เป็นน้ำตกที่ยิ่งใหญ่ อลังการงานสร้างเอามากๆ ครับ เยี่ยมเยี่ยม

มาถึงดินแดนทางใต้นี้ จิตใจเริ่มดีขึ้นบ้าง เพราะมันเริ่มมีสีสันมากขึ้นและอากาศก็อุ่นขึ้นเล็กน้อยยิ้มยิ้ม

เรียบชายฝั่ง

ออกเดินทางจาก สโกก้าฟอส    มุ่งหน้าเมืองวิค Vik

ระหว่างการเดินทาง เป็นถนนเรียบชายฝั่งใกล้ๆ ทะเล

มีมุมให้ชมเยอะพอสมควร ยิ้มยิ้ม

หินและทรายแถวๆ นี้จะออกสีดำๆ  น่าจะเป็นเถ้าถ่านภูเขาไฟเก่าครับ

Vik

เมื่อชื่อสั้นๆ ที่มีชื่อเสียงพอสมควรของ Iceland

จุดเด่นของเมืองนี้คือ  มีโบสถ์เล็กๆ ตั้งอยู่บนเขาด้านหลังเมือง และมีชายหาดสีดำและหิน 3 แท่งที่เด่นตระหง่าน

เวลาแห่งความสุข

เวลาที่อยู่ Iceland รู้ไหมครับ เวลาไหนที่มีความสุขที่สุด

ขอสารภาพแบบอายๆ  ว่า  เวลาที่ได้นั่งอยู่ในห้องอุ่นๆ

ทานอาหารร้อนๆ  ช้าๆ  มองออกไปเห็นวิวของ Icelandจุ๊บๆจุ๊บๆ

เวลานี้มีความสุขมากๆ เลย

รองลงมาจากความตื่นตาที่ได้เห็นแสงเหนือเลย

เวลานี้กลับไป ผมจะไม่บ่นถึงความร้อนบ้านเราแล้วหล่ะ

ร้อนบ้านเรา ร้อนแค่ไหน ก็ยังไม่ตาย ยังออกเดินเที่ยวได้อิสระเสรี

แต่หนาวบ้านเค้า  ทำเราตายได้เลย  ไปไหนก็ไม่ได้  มันช่างอึดอัด และ ทรมานเอาเรื่องเลยทีเดียว

ออกเดินทางกันต่อ เส้นทาง Ring Road นี่จะวิ่งผ่าน ภูเขาที่สูงที่สุดใน Iceland ด้วยนะครับ

แต่มองไม่ออกว่าลูกไหนจริงๆ   สูง 2 พันหน่อย ๆ

เป้าหมายที่ท่องเที่ยวของเราวันนี้  อยู่แถวๆ นี้แหล่ะครับ

เรียกว่าอะไรดี   เรียกว่า “ดินแดนธารน้ำแข็ง” ละกัน  ยิ้มยิ้ม

พูดถึงสิ่งที่ตื่นตาตื่นใจ เป็นอันดับสอง รองจาก “แสงเหนือ”

เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้  นอกจาก  “ธารน้ำแข็ง”

ธารน้ำแข็งที่ว่านี้มันคืออะไร

มันคือ ก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมา ( ตามความเข้าใจผม )

ที่ค่อยๆ ละลายๆ ทีละน้อย แล้วก็ไหลลงมาตามซอกเขา ที่รายล้อมมันอยู่…

อย่างธารน้ำแข็ง  Vatnajökull   ( วัทนาโยคูล )

เป็นธารน้ำแข็งหรือ Glacier ที่ใหญ่ที่สุดใน Iceland

ความหนาเฉลี่ย 400 เมตร  แต่ส่วนที่หนาที่สุด สูงจากพื้นดินถึง 1 กิโลเมตร

พอมันค่อยๆ ละลาย ไหลลงมาตามซอกเขา  หน้าตา ความสวยงามก็แตกต่างกันไป ยิ้มยิ้ม

สายธารน้ำแข็งแห่งหนึ่งในอุทยานแห่ง ชาติ Skaftafell  ( สค๊าฟตาเฟล )

ดูใกล้ๆ ลักษณะเป็นก้อนน้ำแข็งชัดเจน

สีออกฟ้าๆ  ไม่เหมือนภูเขาที่มีหิมะปกคลุม  จุ๊บๆจุ๊บๆ

โดยส่วนใหญ่จะเป็นพื้นลาดๆ เอียงลงมาตามซอกเขา

ถ้าไปยืนด้านหน้า จะรู้สึกเหมือนมีภาพคลื่นสึนามิขนาดยักษ์กำลังพุ่งตรงมาหาเรา ประหลาดใจประหลาดใจ

ที่ปลายสุดด้านล่างของธารน้ำแข็ง  มักจะเป็นที่ที่ดูโล่งๆ กว้างๆ เรียบๆ

เวิ๊งว๊าง อ้างว๊าง….

หรือบางที่  ธารน้ำแข็งที่มีขนาดยักษ์มากๆ ที่เห็นไกลๆ นู้น….

ไหลลงมากลายเป็นทะเลสาบ   นามว่า   Yokullsalon  ( โยคูลซาลอน )  ที่โด่งดังของ Iceland

เผอิญว่า  โยคูลซาลอน  นี้ตั้งอยู่ติดทะเลมาก

และ….

น้ำแข็งที่ไหลลงมาจาก ธารน้ำแข็ง ก็แสนจะทานทนต่อแสงแดด

ความแปลกตา จึงไม่ได้มีแค่  ทะเลสาบที่มีก้อนน้ำแข็ง ลอยตุ๊บป่อง ๆ เต็มไปหมด

เมื่อน้ำแข็งจาก โยคูลซาลอน ไหลลงทะเล

ก็โดนคลื่นในทะเล  ซัดย้อนกลับมาบนหาดทรายสีดำ  เกะกะ กระจัดกระจายเต็มหาดไปหมด

ที่นี่เป็น Destination ของช่างภาพทั้งหลายเลย ที่จะถ่ายภาพก้อนน้ำแข็ง ริมหาดสีดำ ยามอาทิตย์ตกดิน ….

แต่…..

สำหรับผมแล้ว  ผมทำไม่ได้  เพราะว่า ที่ไหน เป็นที่ที่หนาวที่สุดใน Iceland ทราบไหมครับ

ริมทะเลนี่แหล่ะ ….

ตัวเลขอุณหภูมิไม่โหด   บางทีไม่ติดลบ   แต่หนาวสุดขั้วหัวใจไปเลยเม่าผิงไฟเม่าผิงไฟ

ผมเอง แค่จะชักกล้องคอมแพ็คป๊อคแป๊กที่ถ่ายได้ด้วยมือเดียวออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วรีบถ่ายสัก 10 วินาที นี่ก็สุดทนแล้ว….

ภาพที่ได้ก็มีแค่ประมาณนี้แหล่ะครับ

ความมหัศจรรย์ และ สวยงามของธารน้ำแข็งไม่ได้มีแค่นี้

ในแต่ละปี การเคลื่อนตัวของธารน้ำแข็ง

ยังก่อให้เกิด “ถ้ำน้ำแข็ง” อีกตะหาก  ซึ่งเท่าที่ฟังมา รูปทรงมันเปลี่ยนทุกปี  ต้องสำรวจใหม่ทุกปี

การเที่ยวชมความงามของธารน้ำแข็ง โยคูลซาลอน นั้น  สถานที่หลักๆ ที่นักท่องเที่ยวมักจะไป  ก็มักจะอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Skaftafell ( สค๊าฟตาเฟล )

และที่นี่ยังมี เส้นทาง Treking เพื่อไปชมธารน้ำแข็งใกล้ๆ  หรือ น้ำตกอีกด้วย

ขึ้นเขาที่ว่าหนาวๆ  เล่นเอาเหงื่อแตกได้เหมือนกัน

อยากจะถอดพันธนาการทิ้ง

น้ำตกแท่งหิน  Svatifoss  ( สวาติฟอส )

ที่เขาถ่ายรูปมากันสวยงาม

แต่เราก็ผิดหวังอีกตามเคย  เพราะหิมะปกคลุมจนไม่สามารถลงไปที่น้ำตกได้  ร้องไห้ร้องไห้

หลังจากเที่ยว สค๊าฟตาเฟล และ  โยคูลซาลอน   ทั้งวันจนฟ้าก็มืดแล้ว

แถวนั้นไม่มีที่พัก

เดินทางมาได้สัก 10 กิโลเมตร มีที่พักริมภูเขาและทะเลอยู่ นามว่า Hali Village

เข้าที่พัก จัดของ ทานข้าว

ระหว่างทานเข้าอยู่นั่น  ( เวลาประมาณ 2 ทุ่ม )  เจ้าของโรงแรมเดินเข้ามาบอกว่า

“ตอนนี้มีแสงเหนือ” !!!!!!  เม่าตกใจ

วิ่งกระโจนออกมาจากจานข้าว ด้วยความตื่นเต้น

ข้าวปลาอาหารอะไรไม่สนแล้ว วินาทีนี้ ขอเห็นแสงเหนือชัดๆ ซักครั้งนึงในชีวิตเถอะ!!!!!

เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า  เริ่มเห็นแสงเขียวๆ พวยพุ่งออกมาจากขอบฟ้า

รีบตั้งกล้องแบบมือสั่น ใจเต้น ….เม่าตกใจ

แสงสีเขียวเริ่มเต้นระรัวมากขึ้น พวยพุ่งออกมาจากซอกหลีบภูเขา

แสงเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ  สีสันนอกจากสีเขียว ก็มีสีม่วงบ้าง แต่น้อย

อาจจะเพราะเราไม่โชคดีซักเท่าไร ( แต่แค่นี้ก็พอใจแล้ว ) ยิ้มยิ้ม

โผล่มาเต็มๆ แล้ว

บอกตรงๆ  แทบลืมหายใจ

มือใหม่สั่นไปหมด หัวเราะหัวเราะ

รูปแสงเหนือนี้รับประกันว่า “จบหลังกล้อง”   ไม่มีแต่งเสริมเติมต่อใดๆ ทั้งสิ้น  นอกจากย่อรูปด้วย Photoscape เท่านั้น

นับเป็นปรากฏการณ์ที่งดงามที่สุดเท่าที่โลกนี้จะแสดงให้มวลมนุษยชาติได้ดู แล้วกระมัง ในความคิดของผมจุ๊บๆจุ๊บๆ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

หลังจากสมหวังกับ แสงเหนือแล้ว

วันต่อมา ออกเดินทางกันบน Ring Road ต่อ

มุ่งหน้าสู่เมือง Hofn  ( ฮอฟน์ )

Hofn ( ฮอฟน์ )

เป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบและสงบ ( จริงๆ เมืองใน Iceland ก็สงบเงียบทุกเมือง แม้แต่เมืองหลวงอย่าง เรคยาวิค ก็เถอะ .. )

แต่ว่าเป็นเมืองเดียวในทริปครั้งนี้ของ เรา ที่ไม่ถูกปกคลุมด้วยนำแข็ง ยิ้มยิ้ม

มาเมืองนี้เห็นเค้าว่า ต้องกิน  Lobster  แต่เราเห็นราคาแล้ว  กินขนมปังต่อไปเถอะ  แค่นี้ก็จะแย่ละร้องไห้ร้องไห้

วันนี้เรานอนกันที่ Hofn นี่แหล่ะครับ

ป.ล. เมืองนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก  ธารน้ำแข็ง วัทนาโยคูล เลย สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

และก็ถึงเวลาความสุขอีกครา

รอหุงข้าวในห้องครัว  ไข่เจียวร้อนๆ ในห้องครัว( ที่ใช้ร่วมกันกับแขกกรุ๊ปอื่นๆ )

มา Iceland ต้องถ่ายม้า

ผมพยายามแล้ว ได้มาแค่นี้

ได้เวลาการเดินทางขากลับที่แสนยาวไกลแล้ว

เราเดินทางจาก  ฮอฟน์  เข้า  เรคยาวิค   เพื่อรอขึ้นเครื่องกลับครับ

ขากลับแวะเที่ยวชายหาด  Reynisfjara

ซึ่งมีหินแท่งๆ แปลกๆ นามว่า

Reynisfjara basalt columns

สำหรับที่นี่บอกเลยว่า หนาวสุดขั้วจริงๆ  น่าจะเป็นสถานที่ที่ผมรู้สึกว่า หนาวที่สุดใน Iceland แล้ว

อุณหภูมิประมาณ -1   แต่หนาวกว่า -13 ถึง -15 แถวๆ บนภูเขาเสียอีก

ใช้เวลาเตร็ดเตร่ในเรคยาวิคอีก 2 คืน  1 วัน

เราก็เช่าห้องรวมอยู่ครับ ประหยัดเงินดี

จากนั้น ก็จัดเต็มสักมื้อ เพื่อสัมผัสอาหาร Iceland ให้เต็มที่

ไม่ว่าจะเป็น  ปลา ( ที่เค้าว่า ประเทศนี้ปลาอร่อยที่สุดในโลก )  แต่ก็เห็นจะจริง เยี่ยมเยี่ยม

กุ้งล๊อปสเตอร์

เนื้อม้า

รสชาติก็จัดว่าอร่อยดีครับ

ใน วันสุดท้าย  เรามุ่งหน้าไปเที่ยว Blue Lagoon กันครับ

บรรยากาศทิวทัศน์แปลกตาอีกแล้ว

มอสเขียวๆ เต็มข้างทางไปหมด

เรียกว่า ทุ่งมอสได้เลย ยิ้มยิ้ม

เริ่มเข้าเขตบลูลากูน  มอสเขียวๆ ตัดกับ น้ำสีฟ้าๆ  สวยมากครับ

ป.ล. วันนี้ลมและหิมะค่อนข้างแรงมาก

Blue Lagoon (บลูลากูน)

สถานที่อาบน้ำยอดฮิตแห่งประเทศ Iceland

เราเสียค่าเข้ากันคนละ xxxx US ( เท่าไรหว่า จำไม่ได้ )

ที่แห่งนี้สวยงามมาก เพราะน้ำเป็นสีฟ้าสวย

แน่นอน อากาศหนาว…

วินาทีที่ถอดเสื้อผ้า แล้วเดินลง บลูลากูน นั้นเป็นความทรมาน

แต่เมื่อแช่น้ำอุ่นๆ ไปซักระยะเกิดเป็นความสบาย เพราะว่าอุณภูมิน้ำ ( บางตำแหน่ง )  นั้นกำลังอุ่นสบาย

ในขณะที่บางที  เรียกได้ว่า ร้อนเลยหล่ะ

ป.ล. ในระหว่างที่แช่น้ำ พายุหิมะก็ซัดมาเป็นระลอกๆ  แต่ทำอะไรเราไม่ได้ เพราะว่าเราอยู่ในน้ำอุ่น  แม้อากาศจะรุนแรงปานใด แต่ใต้น้ำกลับอุ่นสบาย หัวเราะหัวเราะ

ก็เป็นความแปลกประหลาดอย่างนึงเหมือนกัน

วันสุดท้าย

เรานอนกันที่สนามบิน รอเครื่องออกตอนเช้าบินกลับ Finland และ กทม ตามลำดับ

==========================

บทสรุปทริป

แม้จะเป็นทริปที่มีอุปสรรคต่างๆ นานา มากมาย

แต่พอผ่านมาได้

สุดท้ายก็เป็นประสบการณ์ชีวิตที่สวยงาม ตราตรึง อยู่ในความทรงจำ

ถามว่าเสียดายตังค์มั๊ย พอผ่านมา ไม่เสียดายเลย  เพราะ 95,000  สำหรับผม ถือว่าถูกแล้วหล่ะ สำหรับการได้ไปเห็นความยิ่งใหญ่อลังการ

ของธรรมชาติบนโลกนี้

ซึ่งก็เลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องจ่าย เพราะว่า ประเทศไทยไม่มีนี่นา

สุดท้ายนี้

ต้องขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ร่วมทริปด้วยกัน

ขอบคุณรถ Renault ที่พากลับมารอดตายครบ 32

และขอบคุณโลก ที่มีสิ่งที่สวยงาม ให้เราได้ค้นหา มีชีวิตที่ไม่น่าเบื่อครับหัวใจหัวใจ

สวัสดีครับ

บทความโดย เตี้ย ล่ำ ดำ แก่