[RIDE NOW]คิดถึงเขา…ก็ไปห้าเขา หกวัน ห้าพันลี้ ห้าขุนเขา by GPX RACING LEGEND 200
ที่มาที่ไปของการเดินทางครั้งนี้เกิดจากความคันของพี่น้องส่องกบโมโตไรด์ https://www.facebook.com/Zongkobmotoride เล่นโพสต์ทริปนี้ออกสื่อ
ไอ่เราก็ไปเผือกกับน้องประจำ…หนนี้ก็เลยเผือกอีก ไปเผือกคนสองคนไม่พอ เลยไปตามน้องอีกคนมาเผือกด้วย
https://www.facebook.com/Freemansrider
สิริรวมแล้ว…ห้ากระทิงกับหนึ่งชะนี ที่ต้องร่วมเดินทางกันเพื่อบรรลุปลายทางห้าขุนเขาภายในหกวัน ระยะทางร่วม 2700 กิโลเมตร ไม่มากไป ไม่น้อยเกิน พร้อมกับอีกหนึ่งบททดสอบการใช้งานจักรยานยนตร์แบรนด์ไทยสไตล์คาเฟ่เรซเซอร์ GPX RACING LEGEND200 ว่าจะผ่านทางโค้งนับพัน สภาพอากาศที่พร้อมจะแปรปรวน สภาพพื้นผิวถนนที่หลากหลาย ด้วยความตั้งใจว่า”ถ้ารถไม่ดี ก็ให้มันพังคามือไป…”
After released…
ก่อนไปก็มีการเตรียมความพร้อม ช่วงนี้รู้ตัวว่า”เริ่มแก่” เวลาไปกางเตนท์ ปูผ้าใบนั่งกับพื้นนานๆมันเมื่อยหลังมาก ว่าแล้วก็ชวนเจ่เจ้ (@พรสิบประการ) ไปหาตัวช่วยกัน
ตัวช่วยของคนพร้อมแล้ว มาถึงตัวรถกันบ้าง ไปตั้งห้าคืน ลำพังแบกเป้ไปคงหลังหัก แถมยังต้องนั่งขี่ในสไตล์แฮนด์หมอบหน่อยๆด้วย แบบนี้ก็จำเป็นต้องเพิ่มอุปกรณ์สายทัวร์ริ่งเข้าไป กระเป๋าติดถังมีอยู่แล้ว กระเป๋าข้างสองใบนี่ได้รับความอนุเคราะห์จากพระอาจารย์(@วิชิต บางซ่อน) ให้ยืมมาใช้ชั่วคราว
ผมไปถึงประมาณเวลานัดพอดี….หมีจิ๊บกับเป๊กกี้พร้อมชะนีที่ซ้อนท้ายรออยู่พร้อมกับ freeman rider แล้ว
ถามแล้ว ทุกคนกินข้าวเช้ามาแล้ว ไม่รอช้า รีบจัดการตัวเองทันที
เราวิ่งมาตามถนนเอเซีย ผ่านสิงห์บุรี ชัยนาท อุทัยธานี แล้วเลือกทางเลี่ยงเมืองนครสวรรค์เพื่อมาพักและเติมน้ำมันที่ ปตท.บางจาก ปากทางเลี่ยงเมืองนครสวรรค์อีกฝั่งหนึ่ง จะว่าไปความตั้งใจเดิมของทริปนี้ คือคอนเซปท์ลุยฝน ที่ไหนได้ แดดเปรี้ยงมาตลอดทางเสียอย่างนั้น… ตั้งแต่เช้ายังไม่เจอะฝนสักเม็ด ความอ่อนเพลียจากแดดที่ส่งผ่านความร้อนทะลุเข้ามาระอุในเสื้อการ์ด…ผลคือ กระเพาะครากสิครับ ต่อจากเติมพลังให้รถ เราก็เติมพลังลงกระเพาะคนขี่สำหรับมื้อเที่ยงไปด้วยกันเลยที่ปั้มนี้
จากด่านมาประมาณสิบกิโลเมตร จะเจอะที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ นักท่องเที่ยวที่จะผ่านเข้าไปช่องเย็นต้องแวะมาลงทะเบียนก่อนเข้านะจ๊ะ
และไม่ใช่ห้องน้ำไก่กาธรรมดาๆเสียที่ไหน…ข้างห้องน้ำมีบ่อน้ำแร่ธรรมชาติด้วยเว้ยเฮ้ย!! ลองวักน้ำมาดมๆ…กลิ่นกำมะถันเอาเรื่องเลยทีเดียว
ใกล้ๆกันก็มีร้านอาหารสวัสดิการด้วยนะ สั่งเสบียงจากที่นี่ได้เลย ถ้าสั่งอาหารใส่กล่อง กล่องที่นี่จะเป็นกล่องกระดาษที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาตินะจ๊ะ ส่วนรสชาติ โอเคเลยยยยยย อร่อยอยู่น้าาาาา
เตรียมตัวพร้อมแลัว…ตามมาค่ะ
วาร์ปมาที่จุดชมวิวกิ่งกระทิงเลยค่ะ!!
ถึงจุดนี้ ผมกับ@พรสิบประการ มาถึงก่อน สักแปบก็ได้ยินเสียงเครื่องสูบเดียวกำลังขึ้นตามมา ห่างออกไปประมาณนึง แล้วเสียงก็เงียบไป
ผมจำเสียงท่อได้ว่าเป็นรถใคร เลยตะโกนออกไป ขี่มาอีกหน่อย ตรงนี้มีจุดชมวิว….เงียบ…
ลองตะโกนประโยคเดิมไปอีกครั้ง…คราวนี้มีเสียงตอบกลับมาว่า…ช่วยยกรถหน่อย…กรรม ๕๕๕๕๕
แม้ระยะทางจะไม่ไกลมาก แต่ด้วยความเถลไถล เราจึงมาถึงเอาเสียเกือบหกโมงเย็น….รีบกางเตนท์สิฮะ
เพื่อความสะดวกและประหยัดพื้นที่ที่เป็นสาธารณะประโยชน์ (วันนั้นคนมากางเยอะเกือบเต็มลาน) เราจึงวางตำแหน่งเตนท์เรียงกันเลยจ้า
เช้าวันที่สองของการเดินทาง ผมตื่นมาประมาณเจ็ดโมง ปรากฎว่าทีมส่องกบได้แอบไปสำรวจเทรลใกล้ๆก่อนแล้ว(ไม่ชวนด้วยวุ้ย) ไม่มีไรทำก็เลยเดินถ่ายรูปแถวนั้นเล่นๆ ไม่ต้องถามหาพระอาทิตย์ขึ้นนะฮะ เพราะอยู่ในเมฆแทบทั้งวันทั้งคืน
ด้านหลังที่เราจอดรถเรียงกัน คือเส้นทางที่จะตัดไปสู่อำเภออุ้มผาง ที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันไปทุกยุคสมัยถึงเหตุผลและความจำเป็นในการสร้างตัดผืนป่าตะวันตกเข้าไป ควรไม่ควรก็เป็นเรื่องนานาจิตตัง แต่ความเห็นส่วนตัวของผม…พอแค่นี้เถอะ เราไม่ควรจะเสียป่าอนุรักษ์ไปมากกว่านี้อีกแล้ว
แวะที่ทำการอุทยานเพื่อลงทะเบียนออกจากช่องเย็น และจัดการมื้อเช้า(สาย)ก้นเสียหน่อยนึง ราคาไม่แพง รสชาดดี บริการเป็นมิตร อย่าลืมแวะมาอุดหนุนกันนะ
แน่นอนว่าต้องข้าวซอย อิอิ
หลังร้านตอนนี้กลายเป็นสวนสัตว์ย่อมๆไปแล้ว
เลี้ยวเข้าไปสถานีขุนตานสักหน่อย…เสียดาย มาไม่ทันรถไฟที่จะผ่านอุโมงค์ขึ้นมา
กว่าจะขึ้นไปถึงที่อุทยานแห่งชาติขุนตาน…ฟ้าก็มืดแล้ว แวะสอบถามเจ้าหน้าที่ พี่เค้าแนะนำให้ไปนอนลาน ย.๑ ….
พี่เขาบอกให้ขี่ตามขึ้นมาเลย เดี๋ยวขึ้นไปเปิดไฟให้…ห๊ะ!!!
แล้วข้างบนมีเจ้าหน้าที่อยู่ไหมครับ….ไม่มีครับ….ห๊ะ!!!
พอขี่ตามไปได้นิดเดียว…แบต Action Camera หมด…..
เอาเป็นว่า พอขี่ตามขึ้นไปถึงข้างบน จอด…ตัดสินใจกับแปบนึง
ขอบคุณครับพี่ พี่พาพวกผมลงเถอะครับ
ลงมาถึงลานเสาธง คืนนั้นกว่าเราจะได้กางเตนท์กันก็ปาไปสองทุ่มแล้ว อากาศที่ลานฯไม่ถึงกับเย็น แต่ก็ไม่ร้อนอะไรมาก แต่สำคัญที่สารพัดแมลงเยอะมาก ตรงไหนที่ไม่อยู่ในร่มผ้า…โดนกัดลายไปหมด แล้วมีแมลงอะไรสักอย่างที่กันแล้วคันยุบยิ๊บๆๆ เอาเป็นว่าพอเข้าใจได้ว่าทำไมที่นี่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากางเตนท์นอกฤดูท่องเที่ยวนัก แต่ถึงขนาดนั้นก็ยังนั่งเล่นกันนอกเตนท์อยู่พักใหญ่เหมือนกันแหละ เพราะพอดึกหน่อยอากาศก็ค่อยๆดีขึ้นจนพอนั่งเล่นได้ (แต่ต้องคอยตบแมลงที่มาตอมแค่นั้นเอง)
จากเชียงดาวมาไชยปราการนี่โค้งพลิกรถได้สนุกมากครับ พอมาถึงฝาง รู้สึกว่าหลายคันในทีมเริ่มหมดแรง เราก็ขี่กันมาเอื่อยๆมาถึงสามแยกกิ่วสะไต
คืนนั้นที่แม่สลอง เราตั้งใจกันตั้งแต่วางแผนเดินทางแล้วว่าจะขอพักเตนท์หนึ่งคืน เนื่องจากระยะทางในวันที่ 4 ของการเดินทาง คือ จากแม่สลองไปดอยเสมอดาว ค่อนข้างใช้เวลาเดินทางมาก หากมัวแต่เก็บของเก็บเตนท์ เห็นทีจะไม่ทันทำอะไร แล้วเพื่อเป็นการคั่นเวลาเปลี่ยนสไตล์กันนิดนึง คืนนั้นเลือกพักที่นึ่ https://www.facebook.com/myplace.maesalong?fref=ts ราคาที่พักในช่วงที่ไม่ใช่ hi season ราคานี้กับวิวที่ได้ สำหรับเราไม่แพงเลยล่ะ
ลงไปถึงเกือบเก้าโมง ไม่มีอะไรซับซ้อน สาวไผ่เพื่อนเราพร้อมกับแฟนหนุ่มก็พาเราไปกินมื้อเช้า(ของจริง)
ไปชิลกันต่อที่ร้านกาแฟเป็นชั่วโมงเลยฮะ (ไหนบอกรีบไง ๕๕) มาถึงจุดนี้หมีจิ๊บวีซ่าหมด เลยต้องแยกกลับไปก่อนลำเดียว วู้วววฮู้ว
กรอกคาเฟอีนกันแล้ง หนังตาตึงได้ระดับ ได้เวลาเดินทาง ขอบคุณ WOLF RIDER CLUB เชียงราย ทั้งสามท่านที่ขี่นำทางมาส่งเราถึงภูลังกาด้วยนะครับ ทุ่นเวลาไปได้เยอะเลย ไว้ไปขี่รถเล่นด้วยกันใหม่นะ
ระหว่างทางจากภูลังกาไปท่าวังผา เจอะหนุ่มใหญ่ท่านนี้จอด Van Van ชมวิวอยู่ข้างทาง แหม่ นี่แหละไรเดอร์ วนเวียนมาเจอกันบนถนนหนทางที่สวยๆแบบนี้แหละ
ถนนจากท่าวังผาเข้าตัวเมืองน่านยังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง บอกได้เลยว่าเละไปทั้งขา กว่าจะผ่านตัวเมืองน่านก็เกือบหกโมงเย็นแล้ว เราตัดสินใจไปต่อกันให้ถึงดอยเสมอดาวในวันนั้นเลย
แวะกินข้าวเย็นที่ร้านปากทางเข้าดอยเสมอดาว ไปถึงก็ไปปิดร้านให้เขาพอดี ในอำเภอเล็กๆเนี่ย หลังทุ่มนึงจะไปหาของกินนี่ไม่ง่ายนะจ๊ะ
กว่าจะถึงอำเภอนาน้อย…ฟ้าก็มืดเสียแล้ว แถมลานกางเตนท์ของดอยเสมอดาวก็ปิดเสียอีก เราจึงขี่เลยไปอีกหน่อยเพื่อไปกางเตนท์ที่ผาชู้…ช่วงทางเข้าผาชู้ โซ่เจ้ากรรมของ CR5 ก็หลุดออกจากสเตอหลังเสียนี่ ต้องมาส่องไฟใส่โซ่กันกลางป่ามืดๆ เท่านั้นยังไม่พอ Forza ก็มาแบตเสื่อม งานนี้ผมเลยจัดการทุบปลั้กพ่วงคู่บารมีรื้อเอาสายไฟมาจั้มพ์แบตให้forza เราจึงเดินทางต่อไปได้
ถึงปลายทางในวันต่อวันมืดแทบจะทุกวัน นี่แหละส่องกบโมโตไรด์ ๕๕๕
ไปถึงเราก็รีบกางเตนท์ หลังจากการเสร็จสักแปบ…ยอดเขารอบๆที่มองเห็นไกลๆค่อยๆหายไปทีละยอดสองยอด…
ท่าจะไม่ดีแล้วสหาย ว่าแล้วเราก็ไปขออนุญาตเจ้าหน้าที่เพื่อขอย้ายเตนท์ไปใต้หลังคาโรงอาหาร แล้วก็ชี้ให้ดูท้องฟ้าด้านที่กำลังเกิดเหตุและใกล้ตัวเข้ามา จากนั้น เจ้าหน้าที่ก็รีบเก็บเตนท์ของอุทยานที่กางไว้หลายเตนท์ทันที อิอิ เป็นไปตามความคาดหมาย ย้ายเตนท์เสร็จก็เทโครมลงมาทันที ถ้าย้ายไม่ทันนี่สนุกแน่นอน
จากนาน้อยมานาหมื่น ผมบอกทีมว่า เช้านี้อยากหาก๋วยเตี๋ยวแบบพื้นๆที่ชาวบ้านขายกิน แล้วก็ได้สมใจ เยี่ยมทั้งรสชาด มากด้วยปริมาณ ราคาไม่แพง ทั้งวิวและบรรยากาศให้ 10/10
จากนาหมื่น เราเลี้ยวซ้ายไปหมู่บ้านประมงปากนายไปตามทางหลวงหมายเลข 1339 สำหรับสายท่องเที่ยวแล้ว เป็นถนนอีกเส้นที่เราขอแนะนำว่า ถึงจะอ้อมกว่าปกติไม่น้อยเลย แต่วิวระหว่างทางจากนาหมื่นไปลงแพปากนายนั้น คุ้มค่ายิ่งนัก
มาถึงปากนาย ก็ต้องรอคิวกันนิดนึง กระซิบนิดว่าแพทุกลำอาจมีราคาต่างกันไป อย่างลำที่เราขึ้น ถ้าไม่ใช่รถแบบแม่บ้านบังลมหรือรถกระเทยแล้ว คนเก็บเงินเขาตีเป็นรถมอเตอร์ไซค์ใหญ่หมดนะเออ
บนแพไม่มีหลังคานะจ๊ะ ถ้าฝนตกก็ตัวใครตัวเผือกจ้า
ขึ้นจากแพมาแล้ว เงื่อนเวลาของเราวันนั้นคือ วันนี้เราไม่ควรจะส่องกบ ๕๕๕ คือ เราต้องไปถึงหน่วยหนองแม่นาก่อนพระอาทิตย์ตกให้ได้ เติมน้ำมันที่อำเภอน้ำปาดให้เต็มถัง จากนั้นเราก็หวดยาวมาถึงนครไทยประมาณบ่ายสามกว่าๆ
วันสุดท้ายของการเดินทาง เราตื่นเช้ามาอย่างชุ่มฉ่ำ สายฝนที่โปรยปรายพรมเตนท์ของพวกเราตลอดคืนทำให้การพักผ่อนเป็นไปอย่างเย็นสบายกำลังดี (แต่ถ้าเตนท์รั่วนี่งามไส้แน่นอน)
ลงมาเติมน้ำมันในตัวเมือง แวะตู้ขายกาแฟเล็กๆในปั้มข้างโลตัส ซึ่งเซนท์เราไม่ค่อยพลาด คุณป้ามือชงแกชงกาแฟได้เก๋าจริงๆ ราคาก็ไม่แพง มีมุมสบายใต้ต้นมะขามด้านหลังตู้ให้นั่งดูดกาแฟด้วนะ ผ่านมาทางนี้มาลองดูได้ว่าเราพูดจริงหรือเปล่า
แล้วก็เช่นเคย ส่งท้ายด้วยรีวิวการขับขี่เจ้า GPX RACING LEGEND 200 กันจ้า
มาชมมิติต่างๆของตัวรถกันก่อน
ความสูงจากพื้นถึงเบาะ 790 มิลลิเมตร
ขึ้นชื่อว่าสายคลาสสิกก็ต้องโคมไฟหน้าทรงกลมกับหลอดแบบ H4 ให้ความสว่าง25w/25wในระดับที่ผ่านและเพียงพอต่อการเดินทางในเวลากลางที่เท่าที่ความเร็วของรถจะสามารถทำได้
เรือนไมล์เดี่ยวทรงกลมที่ให้มาทั้งวัดรอบแบบเข็มและมาตราวัดความเร็วแบบดิจิตอล
แถมมีเกจน์วัดน้ำมัน(ที่ไม่ค่อยเพี้ยน)และไฟบอกเกียร์มาให้ด้วยนะ เป็นไงล่ะ มาครบๆเลยนะเนี่ย อ่อ จอLCDเปลี่ยนได้สองสีนะ(ส้ม/ฟ้า)และแน่นอนว่าให้มาขนาดนี้ก็ต้องtripไมล์ได้ด้วยจ้า
โคมไฟเลี้ยวสไตล์คลาสสิก เพียงพอต่อการใช้งาน
ก้านเบรคและก้านคลัทช์ ให้มาแบบหน้าตาธรรมด๊าาาาาธรรมดา(ถ่ายให้ดูข้างเดียวพอ เพราะอีกข้างมันก็หน้าตาแบบนี้แหละฮะ)
ประกับขวา ตรงที่ควรจะเป็นสวิทช์0ff-run ดันเป็น Hazard light ซะงั้น ดับเครื่องทีไร ไฟผ่าหมากมาทู๊กกกกที
ประกับซ้ายหน้าตาเรียบๆ
ตาแมวดูน้ำมันเบรคอยู่ด้านหน้าแหะ
ของดีที่ให้มาและแตกต่างก็คือดิสก์เบรคหน้าให้จานคู่เลยมาจ้า ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่ 280 มม.
คาลิปเปอร์แบบสองสูบรวมข้างหน้าสองข้างก็เป็นสี่ เกินพอสำหรับพิกัดเครื่อง200cc
หน้าตารูปเสียบกุญแจร่วมสมัย (ไม่ต้องไปล๊อคคอข้างล่างแบบCR5นะ)
แต่เจ้ากุญแจนี่หน้าตาเกินคลาสสิกไปหน่อยป่ะ
ชุดแผงคอบนเมื่อมองจากด้านบน
กระจกมองข้างแบบปลายแฮนด์ทรงกลม ถ้าวิ่งไม่เกิน110km ก็ยังพอดูได้
ไหลมาตรงกลางลำกันบ้าง
ถังน้ำมันเชื้อเพลิงทรงหยดน้ำ ความจุ 11.5 ลิตร บิดหมดปลอกยาวๆได้200km สบายๆ
ฝาปิด-เปิดถังน้ำมันยังมาแบบคลาสสิก มีแผ่นที่เลื่อนเปิดปิดรูกุญแจเปิดฝาถังได้
มาส่องใต้ถังน้ำมันกันหน่อย เอ้า ด้านซ้ายมีก๊อกมาให้ด้วยนะจ๊ะ ตัวนี้ผมชอบนะ
ส่องจากด้านขวาจะเห็นคาบูเรเตอร์ขนาด 28 มม. ได้ชัดกว่า ทำงานได้ดี ไม่มีอึกอัก แต่ขึ้นที่สูงก็มีตดนิดหน่อย อิอิ
มาดูหัวใจของมันบ้าง กับเครื่องยนต์สูบเดี่ยวความจุกระบอกสูบ 197cc. ระบายความร้อนด้วยอากาศ อัตราส่วนกำลังอัด 9 . 0 : 1 และแน่นอนว่ามีออยคูลเลอร์มาเป็นตัวช่วยเช่นเดียวกับCR5 เพราะมันก็คือเครื่องยนต์ตัวเดียวกันกับCR5นั่นแหละจ้า
พักเท้าผู้ขับขี่มียางหุ้มมาให้แน่นหนาดี แถมพับได้ด้วยนะเออ แต่ยางหุ้มนุ่มนิ่มไปนิดนะ จะให้ดีของแบบทนๆกว่านี้อีกหน่อย
ของคนซ้อนก็มียางหุ้มมาให้ด้วย
ด้านล่างของกระเป๋าข้างด้านขวาจะมีรูกุญแจสำหรับไขเปิดช่องเก็บเครื่องมือ มั่นใจว่าช่องไม่เปิดเองให้เครื่องมือบินไปง่ายๆ และจะลักเครื่องมือก็ไม่ง่ายเหมือนกันจ้า
ท่อไอเสียให้แบบหล่อๆมาเลยกับท่อทรงเมกาโฟน เสียงที่ให้ก็แผดนิดๆแต่ไม่หนวกหูเน้อ ผ่านด่านของอุทยานแห่งชาติสบายๆ
โช๊คอัพหลังของYSSมาแบบโช๊คคู่ ความยาว360 มม.
ด้านบนของโช๊คหลังด้านซ้าย จะมีกุญแจตัวนี้ด้วยนะ ปกติก็จะเอาไว้ล๊อคกับห่วงหมวกกันน๊อค (เอ้า รูปโฟกัสหลังซะงั้น)
อาร์มแบบท่อแสนคลาสสิค อ่อ สเตอหลังของ Legend200 ให้มา 42 ฟันนะจ๊ะ (CR5 40 ฟัน)
ดิสก์เบรคหลังจานเดี่ยวขนาด 280มม. คาลิปเปอร์เดี่ยว(แต่ลูกเบ้อเริ่ม) เบรคอยู่แบบเหลือๆ
มาถึงจุดที่เป็นตัวแปรสำคัญหลายๆด้าน จุดหนึ่งยางหน้า-หลัง
ยางหน้า Vee Rubber ขนาด 4.00” ลายดอกยางแบบฟันเลื่อย
ยางหลัง Vee Rubber ขนาด 4.50” ลายดอกยางแบบฟันเลื่อยเช่นกัน
คำเตือนที่ติดมาบนถังน้ำมัน
อีกจุดที่เป็นตัวแปรในเรื่องของ Max Speed ที่น้อยกว่า CR5 เห็นอย่างนี้มีผลนะเออ (ถึงจะนิดนึงก็เถอะ)
โดยสรุปแล้ว เจ้า GPX RACING LEGEND 200 คันนี้ แม้จะเป็นเครื่องยนต์เดียวกับ CR5 แต่ก็มีข้อแตกต่างบางประการที่ทำ MAX SPEED ได้น้อยกว่า ที่สำคัญหนักๆเลยก็มีเจ้ายางแบบฟันเลื่อยนี่แหละที่แบกน้ำหน้ามากกว่า หน้ายางกินถนนมากกว่า ต่อมาก็จะเป็นขนาดของสเตอหลังที่มากกว่าCR5มา 2 ฟัน สุดท้ายก็คือเรื่อง Arrow Dynamic ของตัวรถอย่างภาพที่เห็นด้านบน เพราะรถทรงคลาสสิกสปอร์ตแนคเกตแบบนี้ร่างกายผู้ขับขี่จะโต้ลมมากกว่าแน่นอน ความเร็วปลายที่ทำได้ตามหน้าเรือนไมล์จะอยู่ที่ประมาณ 127km/h (ลดไปตามน้ำหนักผู้ขับขี่และกระเป๋าสัมภาระ)
เครื่องยนต์ยังคงให้อัตราเร่งที่ดีเช่นเดียวกับCR5 แต่ที่เด็ดกว่าคือช่วงขึ้นเขาขึ้นเนินลาดชัน สเตอหลังที่มากกว่า 2 ฟัน ส่งผลให้ไต่เนินได้ง่ายขึ้นนิดๆ
ในการเดินทางระยะไกล เครื่องยนต์ตัวนี้วิ่งเที่ยวกับรถตลาดขนาด150cc. ได้สบาย อาจเสียเปรียบเรื่องความเร็วปลายนิดหน่อย แต่อัตราเร่งนี่กินกันไม่ลงหรอกนาย
ช่วงล่างทั้งหน้าและหลังดูดซับแรงสะเทือนได้ดี โดยเฉพาะโช๊คหน้า เป็นโช๊คหัวกลับที่ทำงานได้ประทับใจกว่าที่คาดไว้
เบรคหน้าหลังทำงานได้เยี่ยม โดยเฉพาะเบรคหน้าที่จุดถนนอยู่หมัด
จุดด้อยที่มากับจุดเด่นก็คือยางหน้าหลังนี่แหละ แน่นอนว่าสำหรับสายคลาสสิก ยางฟันเลื่อยที่ถือว่าเพิ่มความหล่อได้หลาย แต่สิ่งที่ต้องแลกมาก็คือน้ำหนักของยางที่เพิ่มขึ้น คำเตือนก็ตามที่ติดไว้ที่ถังน้ำมัน ถนนแห้งทำงานได้เยี่ยม ถนนเปียกฉ่ำๆพอขี่ได้ แต่ถ้าเมื่อไรที่วิ่งกลางฝนที่น้ำเจิ่งนองต้องระวังให้มากเพราะประเภทของดอกยางแบบนี้จะรีดน้ำออกจากหน้ายางได้ไม่ดีเท่าดอกยางแบบสมัยใหม่
จุดที่สำคัญอีกจุดคือหน้ายาง…หน้ายางแบบนี้ ผมขอเรียกว่ายางขอบตั้งก็แล้วกัน ต้องระวังให้มากเวลาเข้าโค้ง ช่วงแรกๆที่เอาคันนี้เข้าโค้งนี่บอกเลยว่าไปแทบไม่เป็น เพราะหน้ายางมันเอียงได้ไม่มาก เอียงลงไปเยอะหน่อยก็หมดขอบเสียแล้ว แต่เมื่อใช้ไปสักระยะ เริ่มปรับตัวให้คุ้นกับมันได้ ก็ถือว่าเอาเข้าโค้งได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้ต้องขอโม้ตรงๆว่าต้องพึ่งทักษะติดตัวกันบ้าง ทั้งการวางท่านั่งขับขี่ และการวางตำแหน่งของร่างกายจุดต่างๆเวลาเข้าโค้ง พูดให้กระชับก็คือปรับทักษะเพิ่มเข้าไปก็พอจะเข้าโค้งได้เพิ่มขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง (แต่เอียงเยอะๆเกินหน้ายางก็ยังไม่ได้อยู่ดี) ดังนั้นถ้าใครมีเพื่อนขี่ Legend 200 ไปขี่เที่ยวป่าเที่ยวเขาด้วยกันแล้วเห็นเพื่อนเข้าโค้งเต็มไลน์ที่อย่าแปลกใจ คือต้องใช้หน้ายางกับไลน์ให้คุ้มเลยล่ะ๕๕๕ แต่ข้อดีคือถ้าคุณสนุกกับมันได้มันก็ช่วยขัดเกลาทักษะให้คุณเพิ่มเติมได้ด้วยเหมือนกัน
ช่วงจุดอื่นๆที่น่าประทับใจก็จะเป็นเรือนไมล์นี่แหละที่ให้มาแบบครบๆ ทั้งแสดงความเร็วแบบดิจิตอลและวัดรอบแบบเข็ม (บางคนบอกว่าเฮ้ย ไมล์คล้ายXXXXของค่ายเขียวเลย) แสดงผลเกียร์ แสดงผลระดับน้ำมัน แถมยังTrip ไมล์ได้ แถมยังเปลี่ยนสีหน้าจอได้ด้วย ทั้งหมดครบถ้วนในลูกเดียวในการออกแบบที่กลมกลืนไปกับตัวรถ
ท่านั่งขับขี่แบบ cafe racer ของคันนี้ เอาจริงๆถ้าปรับท่าให้เหมาะสมก็ไม่ถึงกับเมื่อยอะไรมากมาย (ทั้งๆที่จริงๆเป็นคนที่เข็ดขนาดกับท่านั่งแบบนี้) ที่ชัดเจนก็คือยังพอขี่มาได้ติดต่อกันถึงหกวันโดยไม่ต้องบ่นเมื่อยสักเท่าไร อิอิ เพราะเมื่อได้ขี่จริงๆก็พบว่าแฮนด์มันไม่ได้หมอบขนาดที่กลัวไปเองเลย
ทั้งหมดที่กล่าวมาเมื่อลองเทียบกับราคาจัดจำหน่าย บางท่านก็อาจจะมองว่าโคตรคุ้ม บางท่านก็ยังมองว่าแพงไปหน่อย เรื่องนี้ก็นานาจิตตังนะจ๊ะ สนใจก็ไปหาลองขี่กันดูก่อน ถ้าชอบก็ว่ากันไปจ้า
ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมจนจบครับ