HONDA CBR 1000 RR-R Fireblade Review
หลังจากการเปิดตัวที่งาน MOTO GP ที่สนามช้างบ้านเรา ผ่านไปไม่นานนัก
ก็ถึงคราวทีมจัสได้มีโอกาสลงทดสอบขับขี่เจ้า CBR 1000 RR-R บนสนามแข่งเดียวกัน
นั่นก็คือสนามช้างอินเตอร์เนชั่นเนลเซอร์กิตนั่นเองครับ
โดยการทดสอบครั้งนี้มิกิมมิคพิเศษเพิ่มมาด้วย เช่นการขับขี่ทดสอบแบบ Mini Endurance
ที่ตะบี้ตะบันกัน 1 ชั่วโมงเต็มๆแบบไม่มีพัก วัดกันไปเลยว่ารถกับคนอะไรจะทนกว่ากัน
และผลจากการทดสอบขับขี่ครั้งนี้ ตัวรถจะเป็นเช่นไรบ้าง ติดตามอ่านกันได้ที่บรรทัดถัดๆไปได้เลยครับ
-รูปลักษณ์ภายนอก-
มองเผินๆอาจจะแยกไม่ออก แต่ถ้าได้บอกก็จะร้องอ๋ออออ เริ่มจากด้านหน้า แรมแอร์บริเวณตรงกลาง ชุดปีก Winglet ด้านหน้าที่ได้มีการปรับเปลี่ยนให้มีขนาดที่เล็กลงถอดแบบเทคโนโลยีมาจาก RC213V-S ช่วยลดแรงเฉื่อยของอากาศเพิ่มขึ้น 10% เพิ่มประสิทธิภาพเรื่องแรงกด ลดการยกตัวของล้อหน้าเมื่ออกตัวด้วยความเร็วสูง พร้อมด้วย Wind Protection แบบใหม่ ช่วยลดการปะทะแรงลม ลดการส่าย ควบคุมรถได้ดียิ่งขึ้น
เบาะมีการปรับเปลี่ยนท่านั่งเล็กน้อยแต่ช่วยเรื่องเสถียรภาพได้อย่างมาก ตำแหน่งของแฮนด์มีการปรับให้สูงขึ้นจากเดิมเล็กน้อย พักเท้ามีการขยับปรับลงเล็กน้อย มันดูเล็กน้อยมากจริงๆครับเมื่อมองด้วยสายตา แต่ว่าพอได้ลองขับขี่แล้ว บอกได้เลยว่าโคตรจะดี ด้วยองค์ประกอบสามอย่างนี้ช่วยให้เวลาที่เราขับขี่ลดการเมื่อยล้าลงไปได้อย่างมาก หากใครเคยขับตัวพันจะทราบดีว่า การขับขี่ในระยะเวลานานๆ มันแอบทรมานอยู่นะ แต่กับเจ้านี่ ขี่ไปเถอะครับ ยืนระยะได้มากกว่า นานกว่าแน่นอน
-เครื่องยนต์-
ไส้ในที่ถูกจัดระเบียบสังคมใหม่ ลิ้น ลูก ก้าน ข้อ และยัดมอเตอร์ไฟฟ้าควบคุมเรือนลอ้นเร่งเพิ่มเข้ามา
อุปกรณ์ภายในมีการไล่เบาและยัดมอเตอร์เข้ามาทำให้นำหนักมวลรวมของรถยังเท่าเดิม แต่เพิ่มเรื่องของประสิทธิภาพมาได้อย่างมากครับ
น้ำหนักรถรวม 201 กิโลกรัม มันเท่าเดิมแต่ไม่เหมือนเดิมเลยสักนิด
New Honda CBR1000RR-R Fireblade มาพร้อมเครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียง ขนาด 999 ซี.ซี. DOHC 4 วาล์ว พร้อมส่งมอบขุมพลัง 214 แรงม้าที่ 14,000 รอบ/นาที พร้อมแรงบิด 113 นิวตันเมตรที่ 12,000 รอบ/นาที นี่คือสเป็คแบบรอการปลดปล่อย
เพราะบ้านเรานั้นยังมีข้อจำกัดบางอย่างทำให้รถที่วางจำหน่ายจริงนั้นถูกลดทอนกำลังลงเหลือ 162 แรงม้า
แต่ถ้าอยากเร่งเต็มกำลัง วิธีทำไม่ยากรู้ๆกันอยู่แหล่ะ แต่ก่อนจะปลดปล่อยมัน คุมม้าทั้ง 162 ตัวให้อยู่มือก่อน
เพราะจากการทดสอบ เท่าที่มีนี่ก็ดื้อดึงดีจัดๆแล้ว
-ช่วงล่างและเบรค-
โช้คอัพจาก Ohlins ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นกับ Ohlins Smart EC รุ่นที่ 3 ด้วย Ohlins NPX Smart-EC3.0 ในด้านหน้าที่มาพร้อมขนาดแกน 43 มม. กับระยะยุบ 125 มม. และ Ohlins TTX36 Smart-EC3.0 ที่ด้านหลังมาพร้อมระยะยุบ 143 มม. ระบบแนะนำการปรับตั้งค่าสปริงพรีโหลดระบบกันสะเทือนหน้า-หลัง โดยที่ฟังก์ชันนี้จะเป็นการป้อนข้อมูลน้ำหนักของผู้ขับขี่ไปยังตัวรถ จากนั้นระบบจะทำการคำนวณการตั้งค่าพรีโหลดให้เหมาะสมตามน้ำหนักตัวของผู้ขับขี่ ซึ่งจะบอกเป็นตัวเลขที่เราต้องขันโช้คอัพเป็นจำนวนคลิ๊กให้อย่างง่ายดาย สามารถดูการปรับจากหน้าจอได้เลย อันนี้แอบบอกเลยว่ามันดีมากๆครับ ทีมงานจัสที่ลงทดสอบน้ำหนักตัว 54 กิโลกรัม และมีการผลัดกันขับขี่กับนักทดสอบอีก 3 คน น้ำหนักตัวไม่เท่ากันสักคน แต่ได้พี่ทีมช่างและเมคคานิก จากฮอนด้ามาช่วยปรับให้ในส่วนนี้ก่อนขับขี่ ความต่างมันวัดได้ง่ายๆจากเวลาขับขี่ที่ออกมาครับ นี่แหล่ะมั้งครับที่เค้าเรียกว่า เวลาคือคำตอบ
ระบบเบรกด้านหน้าคู่ขนาด 330 มม. คาลิเปอร์เบรกเรเดียนเมาท์ Brembo Stylema R ขนาด 4 ลูกสูบ ที่เพิ่มเรื่องรูระบายอากาศ ช่วยให้ระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ด้านหลังดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 220 มม. คาลิเปอร์เบรก Brembo 2 ลูกสูบ
-เทคโนโลยี-
ในส่วนตรงนี้ขอมัดรวมแบบรวบรัดในบรรทัดต่อจากนี้เลยแล้วกันครับ
ระบบไฟ LED รอบคัน , หน้าจอสี TFT ขนาด 5 นิ้ว , ระบบ Cornering ABS สามารถปรับได้ 3 ระดับ (Race, Track, Standard)
ระบบแทร็คชันคอนโทรล (HSTC) ปรับได้ 9 ระดับ , ระบบไฟกระพริบฉุกเฉินเมื่อเบรกกระทันหัน ESS , ระบบช่วยออกตัว Start Mode
IMU 6 แกน, วิงก์เลต , ระบบป้องกันล้อหน้าลอย , โหมดการขับขี่ 3 โหมด ,พอร์ต USB , โช้คปรับไฟฟ้า , ระบบคันเร่งไฟฟ้า (มอเตอร์ 2 ตัว)
กันสะบัดไฟฟ้า, สมาร์ทคีย์เลท , ควิกชิฟเตอร์ , ระบบยกเลิกไฟเลี้ยวอัตโนมัติ
จากสเป็กทั้งหมดทั้งมวล มันชวนให้เสียเงินจริงๆ
แล้วยิ่งได้ลองขับขี่จริงๆมันดีกว่าตัวเก่าแบบมากๆ หากให้เทียบเฉพาะตอนขับขี่ว่าดีกว่าเท่าไหร่อธิบายแบบง่ายๆแบบนี้เลยแล้วกันครับ
ในการขับขี่ที่โค้งเดิมๆ เราสามารถเติมคันเร่งออกได้ไวและแม่นยำมากขึ้น ถ้าเป็นอาหารตามสั่งก็สั่งทำมาได้อย่างถูกปาก
มอเตอร์ไฟฟ้าที่มีหน้าที่สั่งการตอนเข้าโค้ง จังหวะมอเตอร์ฝั่งขวาจะทำงานก่อนโดยให้ลูกสูบทำงานสองสูบ (3-4)
และเมื่อรถตั้งตรง ระบบก็จะกลับมาทำงานแบบเต็มสูบ โดยจับค่าจาก กล่อง IMU 6 แกน
ด้านความเร็วสูงสุดและเวลาที่ทำได้ถึงแม้ว่ามันจะถูกตอนเหลือ 162 ม้า แต่ว่ามันทำเวลาได้ดีเกือบๆกับตัวรุ่นเก่าที่ปล่อยของเต็มๆได้เลยนะ
ถ้าถึงคราที่เจ้า New Honda CBR1000RR-R Fireblade รุ่นนี้ปล่อยของออกมาเองบ้างล่ะ แค่นึกก็บันเทิงแล้ว
เจ้าตัวนี้ถ้าขี่แบบตึงๆเอามันส์แค่ปิดทุกโหมดรถก็พร้อมโดดได้ในทันที
-สรุป-
New Honda CBR1000RR-R Fireblade ราคาจำหน่าย 1,134,000 บาท
เหมาะกับใครบ้าง อันนี้ก็คงระบุได้แบบไม่ชัดเจนนัก
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่อยากได้รถที่เร็วแรงทรงพลังแต่ยังสามารถควบคุมได้ง่าย
ณ ตอนนี้มันน่าจะเป็นตัวเลือกและคำตอบที่ดีที่สุด
แต่อีกครั้งดีของเราอาจจะไม่เหมือนกัน สุดท้ายจริงๆแล้ว มันก็อยู่ที่ความชอบและหลงไหลของแต่ละบุคคล
ด้วยความที่เป็นตัวท็อปของทางค่าย เทคโนโลยีต่างๆ หากสามารถใช้มันได้อย่างครบถ้วน
มันจะเป็น SUPER BIKE ที่คุ้มค่ามากๆอย่างแน่นอนครับ
ใครที่สนใจสามารถไปชมตัวจริงได้แล้วที่ HONDA BIGWING ใกล้บ้าน
#CBR1000RRR#BorntoRace#CBRSeries#Madeintherace