ล่องใต้พาชิม 2,100km กับสายหมอบแดนมังกร Lifan KPR 150
ถ้าถามว่ารถมอเตอร์ประเภทไหนสวยที่สุด
สำหรับผม มันต้องรถ Sport
ครั้งนึงเคยเป็นเจ้าของรถ Sport กะเค้าเหมือนกัน
เรียกว่า นั่งมอง มากกว่า ขี่ซะอีก 5555
#คราวนี้ก็เช่นกัน
คราวนี้มีโอกาสได้รับรถ สปอร์ต สายหมอบ คันงาม ( ความคิดผมนะ ) จาก Lifan
และก็ตามสไตล์ของผมครับ
เราไม่ใช่ Power User สายเก่ง เทโค้ง เช็ดพื้น ยกล้อได้ ( บ่องตง ทำไม่เป็น )
ก็ขอทดสอบในแนวเรา คือ ใช้งานทั่วไป ในเมือง ชีวิตประจำวัน ท่องเที่ยว และแน่นอนที่ขาดไม่ได้คือเรื่องกิน
เสร็จแล้วก็มาเล่าสู่กันฟังกันครับ
ใครพร้อมแล้ว ตามมาเลยครับ
ได้รับรถมา พรุ่งนี้เช้าก็วันเดินทางแล้ว
ข้าวของก็ไม่ได้เตรียม รถก็ยังแทบไม่ได้สำรวจ นี่ก็กลางคืนแล้ว เตรียมอะไรก็ไม่ทันแล้ว
ไปไหนก็ยังไม่ได้คิด รู้แต่ว่า “ล่องใต้” ไปเรื่อยๆ แบบแพลนไม่มี…..
เอ้า สำรวจรถกันสักนิด ตอนกลางคืนนี่แหล่ะ
ณ First Impression สำหรับเจ้า Lifan KPR 150
เรือนไมล์มันดูดีไม่เลวเลยทีเดียว …
ซึ่งประกอบด้วย
-วัดรอบเป็น Analog
– มีไฟเตือน Redline ( ผมใช้เป็น Shift light ด้วย )
– ในส่วนของหน้าปัด Digital ประกอบด้วย
– วัดความเร็ว ( ปรับได้เป็น KM หรือ Mile )
– นาฬิกา
– ODO Meter
– Trip Meter
– เกจน้ำมันเชื้อเพลิง
– ไฟบอกเกียร์
– หน้าปัดดิจิตอลเปลี่ยนสีได้ ( ส้ม / น้ำเงิน )
สำรวจไฟหน้ากันหน่อย บางทีเดินทางกัน ตอนกลางคืนต้องพึ่งมันเป็นอย่างมาก
อื้ม สว่างมาก
แต่แสงไฟสีขาว มันแยงตาไปหน่อย
กับเจ้าโคมโปรเจคเตอร์ด้านหน้า และหลอด LED ด้านข้างรูปตัว Z
เช้าวันเดินทาง ……
ปกติขี่รถแม่บ้านเที่ยว
คราวนี้เจอรถ Sport กับทริป 5 วัน 5 คืน ต้องบรรทุกของสำหรับ 2 คน รวมทั้ง Notebook + กล้องด้วย เป็นอะไรที่ลำบากมาก
กระเป๋าข้างสำหรับมอเตอร์ไซด์ ก็ใหญ่เกินติด ไฟเลี้ยวหลังและพักเท้าหลัง
สุดท้ายใช้กระเป๋าจักรยาน ก็ยัดจนปริ และพอไปได้แบบทุลักทุเล อย่างที่เห็น….
เอ้า ออกเดินทาง….
ได้เวลาหมดปลอก ซัก 2,000 กิโล กันแล้ว
สถานีแรก
“ไก่ ย่าง-ข้าหมูหัน พลังงานแสงอาทิตย์”
แห่งจังหวัด เพชรบุรี
บอกสั้นๆ ว่า เด็ดพอตัว พลังงานแสงอาทิตย์ สามารถย่างไก่ให้สุกแบบสมบูรณ์ ทั่วถึงทุกสัดส่วน
ไม่มีส่วนที่ไหม้ และ หอมแบบแตกต่างกับไก่ย่างนิดๆ
สมกับที่ได้ลงรายการตี 10
วันแรก เป้าหมายถึง แถวๆ หาดวนกรครับ
เอ้า เผยโฉม รถคันเต็มๆ ให้เห็นกันดีกว่า อิอิ
กับเจ้า Lifan KPR150 สีขาวมุก ( ด้าน ) คันนี้
ขี่ไปซักระยะแล้ว
เรามารู้จัก เครื่องยนต์ ของเจ้ารถสปอร์ตจีน Lifan KPR150 กันดีกว่า
จากเดิม ตอนที่ได้ทดสอบ Lifan KP150 ตัว Naked ในกระทู้
http://pantip.com/topic/32348821
ผมได้ทำ Spec คร่าวๆ เทียบกับรถ 150cc ค่ายต่างๆ ไว้ ดังนี้ ( รวมกับเจ้า KP 150 ด้วย )
เนื่องจากเจ้า KPR150 ใช้เครื่องเดียวพื้นฐานกับ KP 150 เพียงแต่!!!!!!!!
ขยาย ขนาดคาร์บูเรเตอร์จาก 24mm เป็น 27mm
เปลี่ยน ชุดเกียร์ จาก 5 สปีด เป็น 6 สปีด
เพิ่ม กำลังอัดเป็น 11.4 : 1
ผลที่ได้คือ
แรงม้าเพิ่มขึ้น จาก 12.1 ที่ 7,000 เป็น 14 แรงม้า ที่ 8,500
แรงบิดเพิ่มขึ้น จาก 13.5 ที่ 5,500 เป็น 14 N.m ที่ 6,500
ดูดีขึ้นใช่ไหม
แต่นั่นก็แค่สเป็คครับ ของจริง ก็ลองกันต่อไป
หลังจากนอนแถวหาดวนกร หนึ่งคืน
และมื้อเช้าได้รับความอนุเคราะห์จากน้องๆ ที่น่ารัก
ย้ายบ้านใส่ท้ายมอเตอร์ไซด์มาตั้งแคมป์อยู่หาดวนกรเสีย 4 วัน
เอ้า…..
ก็ออกเดินทางต่อ
วิ่งเข้าเส้นระนอง กะว่า ปลายทางวันนี้ แถวๆ พังงา แหล่ะ แต่ไม่รู้ตรงไหน
วิ่งผ่าน ทับหลี แน่นอน
ต้องจัดขนมจีบ ซาลาเปา ซะหน่อย อิอิ รสชาติก็อย่างที่เคยๆ กินกันแหล่ะครับ
กลางๆ
วิ่งผ่านคอคอดกระ ส่วนที่แคบที่สุดของแหลมมลายู ก็แวะเที่ยวซะหน่อย
=================
สำหรับเจ้า KPR150 นี่เป็นรถคันแรกของจีนที่ผมขี่แล้วสมารถวิ่งทัน Spark 135 ได้ในทางตรงๆ ยาวๆ
ซึ่งปกติแล้ว ผมยังไม่เคยขี่รถจีนคันไหนที่ cc ต่ำกว่า 250 แล้วตาม Spark 135 ทัน
ไม่ใช่ว่าเครื่องไม่มีแรงนะครับ แต่เพดานรอบรถจีนค่อนข้างต่ำ
เช่น รถญี่ปุ่นบ้านๆ ทั่วไป Redline อาจจะอยู่ที่ 9 พัน แต่รถจีนบางคันรอบแค่ 7 พันก็ลากไม่ขึ้นแล้ว ทำให้ Top speed จะสู้รถญี่ปุ่นไม่ได้เลย
หากจะเทียบกัน ให้เอาราคาเทียบแทน cc ดีกว่า เช่นรถ 200cc ของจีน ราคา 6 หมื่น สมรรถนะประมาณไหน ???
ก็ประมาณ รถ 125cc ของญี่ปุ่นราคาประมาณ 5-6 หมื่นแหล่ะ
คร่าวๆ ประมาณนั้นครับ
แต่กับเจ้า KPR 150 กลับไม่เป็นเช่นนั้น !!!!
เที่ยวกันต่อ
สรุปว่า ได้นอนที่ อ. ตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ครับ
อ้อ พูดถึงเรื่องถังน้ำมันขนาด 14 ลิตร หน่อย
ว่า น้ำมัน ถังนึงวิ่งได้ประมาณ 400 กว่าโล ถ้าเอาจริงๆ ไม่กลัวน้ำมันหมด ก็น่าจะ 420-450 กิโลเมตร แต่เกจน้ำมันมันบอกให้เติมแล้ว ใจไม่ค่อยดี
เมืองตะกั่วป่า มากี่ทีก็ชอบนะครับ โดยเฉพาะย่านเมืองเก่า
ขออนุญาติแวะดู ปาเกียว ต่อย กับ ฟลอย ที่ร้านกาแฟนี้หน่อยนะครับ หน่อยนะครับ
มาดูเรื่อง สรีระศาสตร์ ของเจ้า Lifan KPR 150 กันหน่อย
สั้นๆ ก็คือ แฮนด์ค่อนข้างต่ำ รู้สึกว่า ต่ำกว่า CBR150 อยู่นิดนึง และน่าจะต่ำกว่า R15 ด้วยถ้าจำไม่ผิด ทำให้ท่าขับขี่ค่อนข้าง Sport
รถ คันค่อนข้างเล็ก ( ใหญ่กว่า CBR150 รุ่นเก่านิดนึง ) เหมาะกับคนที่น่าจะสูงไม่เกิน 170 ซม
ส่วนตัวผม ทั้งอ้วน ทั้งใหญ่ ขี่แล้วจะเหมือนรถของเล่นนิดนึง
ถ้าใครสูง 180 ขึ้นไป หัวเข่าจะติด เหลี่ยมแฟริ่ง
สำหรับการขับขี่ทางไกล เบาะนั่งกำลัง สบาย ท่านั่ง ตำแหน่งแฮนด์ ผมขี่แล้วรู้สึกสบายๆ
200 – 250 โล แบบ None stop ได้ชิลๆ แต่ก็แอบปวด หลังนิดๆ เหมือนกัน ไม่ได้ขี่สไตล์สปอร์ตเสียนาน
พูดถึงเรื่อง Aerodynamic ( เขียนถูกมั๊ยเนี่ย )
สำหรับ ชิลด์หน้า อันจิ๋ว บอกได้เลยว่า
ออกแบบมาใช้ได้จริง สำหรับคนสูง 178 อย่างผม เหลี่ยมมุมของชิลด์ ยังตัดลมที่เข้าหน้าอกกับ หัวไหล่ออกไปเกือบหมด
ถ้าคนขี่สูงไม่เกิน 170-175 รับรองว่า ถ้าขี่ด้วยท่าทางที่ถูกต้อง ชิลด์หน้าจะตัดลมได้ดีพอควรเลยหล่ะครับ
มาดูในส่วนที่ต้องโดน มือเราอยู่ตลอด
งานเนียนใช้ได้นะครับ ในเรื่องการประกอบ รถจีนเองก็ไล่จี้ญี่ปุ่นเข้ามาเรื่อยๆ แล้ว
จะเหลือที่ยังห่างๆ กันก็เพียงเรื่อง สมรรถนะของเครื่องยนต์ในขนาด cc ที่เท่าๆกัน เท่านั้น ( ในรถราคาถูกๆนะครับ )
รวมๆ
นับเป็นรถราคาถูกที่มี Cockpit สวยที่สุดเท่า ที่ผมเคยขี่มา
ผมเอง เวลาขี่แล้ว ผมชอบมโนว่า ผมขี่ MV Agusta F3 สีขาวอยู่ เพิ่มความภูมิใจขึ้นอีก 50%
สาระเยอะไปละ เริ่มหิว 5555
สำหรับ “ตะกั่วป่า” ผมพราวด์ทูพรีเซ้นท์ ร้านปั้นทองติ่มซำ
เป็นติ่มซำที่ผมถูกปากเอามากๆๆๆๆๆๆๆๆ ( ก ไก่ ล้านตัว )
อยู่ไม่ไกลจากถนนเพชรเกษมนัก เข้าซอยมาประมาณ 200 เมตร ก็ได้กินแล้ว
อันตัวติ่มซำก็จัดว่าอร่อยใช้ได้
แต่ก็ไม่ได้เหนือล้ำกว่าติ่มซำทั่วไปมากนัก
แต่ตัวน้ำซุปนี่สิ เด็ดจริง เข้มข้นมากๆ ผมนี้ซดซะเกลี้ยงเลย
ออกเดินทางต่อ
“ภูเก็ต” แว้วววว
บอกตรงๆ ครับ ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี มันตื้อๆ ตันๆ คิดไม่ออก
No idea มากๆ ครับสำภูเก็ตครั้งนี้ เหมือนมาขี่รถเล่นมากกว่า
เลยเอาเป็นว่า ผ่านที่ไหน อยากจอดก็จอดครับ
“มัสยิดบางเทา”
พูดถึง เบาะ มั่ง
เป็นรถสาย สปอร์ต ที่นั่งได้สบาย พอสมควร
ในเรื่องรูปทรงเบาะ ถือว่า เป็นรอง CBR 150 เล็กน้อย
แต่ในเรื่องความนุ่ม จะเหนือกว่าเล็กน้อยเช่น กัน สรุป กินกันไม่ลงจริงๆ
ลองถามจากผู้หญิง 2 คน ที่ได้นั่ง CBR300 และ Lifan KPR 150 แบบสั้นๆ ( 5 กม )
ทั้งสองคนให้ความเห็นว่า KPR150 สบายกว่า แต่ยาวๆ ไม่รู้เหมือนกัน
ขี่ไปขี่มา ไม่รู้จะไปไหน
อาทิตย์ก็ลับตาไป
คิดว่า ที่นอนในภูเก็ตคงแพงเช่นเคย
เดี๋ยวหาไรกิน แล้วออกไปนอนพังงาดีกว่า ….
มาพูดถึง ระบบเบรค กัน บ้าง
เบรคหน้าลูกสูบคู่ทำงานได้ค่อนข้างดี ครับ หนึบใช้ได้ แต่อาจจะตื้อๆ นิดๆ ทื่อหน่อยๆ
ส่วนเบรคหลังก็ OK ดีครับ
ใช้พร้อมๆ กัน หนึบพอตัวเลย หยุดรถได้ดีเลย
เอาไปเลย 3.5 เต็ม 5 คะแนน
ก่อนออกจากภูเก็ต
ขอจัด “โอวต้าว” ซักจานนะครับ
ใครไม่ทราบว่า โอวต๊าว คือ อะไร ยกมาจาก wiki ให้นะครับ
โอ ต้าว มีลักษณะคล้ายหอยทอดของภาคกลาง แต่เนื้อแป้งเหนียวนุ่มกว่า(แป้งสาลีผสมแป้งมันสำปะหลัง)
เพราะผ่านการปรุงพิเศษ รสชาติจัดจ้าน มีส่วนผสมของหอยนางรมตัวเล็กๆ (ชาวภูเก็ตเรียก หอยติบ)
ผสมกับเผือกนึ่ง ไข่ไก่ ไม่ใส่ถั่วงอกแต่จะนิยมทานเป็นเครื่องเคียง ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว พริกไทย น้ำตาล ผัดให้เข้ากัน
แต่งหน้าด้วยการโรยกากหมู กุ้งแห้งหอมแดงเจียว นิยมเสิร์ฟพร้อมถั่วงอกและซอสพริกเพื่อแก้เลี่ยนและเติมรสชาติความเข้มข้น
ของโอต้าว หากจะทานให้อร่อยยิ่งขึ้น ต้องห่อด้วยใบตองแบบโบราณจะทำให้โอต้าวหอมอร่อยและไม่เยิ้มไปด้วยน้ำมัน
บ่องตง ว่า โอวต้าว ไม่ถึงใจอย่างไรไม่รู้
ต้องหาไรกินต่อ ( อ้วนนะเนี่ย กินดึก )
ข้าวต้มแห้งโกเบนซ์
รอนานมากๆๆๆๆ
แต่ก็อร่อยมากเช่นกัน ….
กินข้าวต้มเสร็จก็รีบจรลี ออกจากภูเก็ตทันที
มาหาที่นอนเอาดาบหน้าแถวพังงา…
เช้ามาก็เดินทางต่อ
=================
ทีนี้ ย้อนกลับมาเรื่อง เครื่องยนต์ ที่ค้างไว้กันหน่อย ขี่ไปพันกว่าโล คงบอกอะไรได้บ้างแล้วหล่ะ
จากที่ลองมา เมื่อเทียบกับ KP150 แล้ว ดีขึ้นผิดหูผิดตาจริงๆ ครับ
จากที่ KP150 ลากรอบได้ไม่ถึง Redline ลากได้แค่ 7,000 รอบ/นาที ที่เกียร์ 5
แต่ KPR150 สามารถลากรอบไปได้ถึง 9,500 รอบ/นาที ที่เกียร์ 6 เรียกว่า สามารถใช้รอบได้หมดตามหน้าปัดรถ
ชุดคลัทช์ที่เคยออกตัวยาก ตอนนี้เปลี่ยนใหม่ ออกตัวได้ดีทีเดียว
ชุดเกียร์ 6 สปีดที่อัตราทดค่อนข้างชิด ทำให้อัตราเร่งดีกว่า Spark135 หน่อยนึง และอัตรา ทดแต่ละเกียร์ รับกันดี ไม่มีห้อย
แต่ในเรื่องของแรงบิดที่รอบกลาง ผมคิดว่า ยังเป็นรอง Spark 135 เล็กน้อย
สุ้มเสียงการทำงานของเครื่องยนต์ ยังคงนิ่งเงียบกว่ารถจีนหม้อลมทั่วไป
ที่รอบต้นและกลาง เสียงการทำงานของเครื่องยนต์ค่อนข้างเงียบ
เสียงครวญครางในรอบสูงมีบ้าง แต่น้อยกว่ารถหม้อลมจีนเยอะ
ความเร็วเดินทางที่ทำได้ก็ป้วนเปี้ยนๆ แถวๆ 100-115 กม/ชม ( 95-110GPS ) ที่รอบเครื่องยนต์ 8,000-9,000 RPM ( Redline ที่ 9,000 RPM ) ที่เกียร์ 6
ถามถึง Top Speed ผมทำได้ที่ 120-129 ตามไมล์ รวมถึงสภาพแวดล้อมด้วย
ถามถึง อัตราการกินน้ำมัน ทำได้อยู่ที่ 30-34 กม/ลิตร ที่การเดินทางที่ความเร็ว 100-115 กม/ชม
ความเร็วที่ประหยัดและเร็วพอ น่าจะอยู่ที่ 90 กม/ชม ซึ่งน่าจะทำได้ประมาณ 40 กม/ลิตร ( อันนี้ผมไม่ได้ทดสอบเนื่องจากหมดปลอกตลอด )
สรุปแล้ว
โดยรวมเครื่องยนต์ลูกนี้ เป็นเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดของมอเตอร์ไซด์จีนขนาด 150-200cc แน่นอน ถึงแม้จะยังสู้เครื่องญี่ปุ่นไม่ได้ แต่ก็ลดระยะห่างเข้ามาได้มากแล้ว
เอาไป เลย 4 เต็ม 5 คะแนน
เช้าๆ หามั่วๆ ไปเรื่อย
ไปเจอร้านข้าวบนเขา
รสพริกแกงใต้มันเผ็ดร้อนดีจริงๆ
กินได้สักแปร๊บ มีเสียงปลายสายโทรมาแจ้งว่า หาเรือไปเกาะปันหยีได้ แล้ว
ราคาคนละ 50 บาท
เดี๋ยวเราออกเดินทางกันเลยครับ
ปันหยี
หมู่บ้านมุสลิม กลางอ่าวพังงา
เป็นสถานที่ที่เคยอยากมานานแล้วครับ แต่ครั้งก่อนๆ ไม่ได้มาเพราะหาเรือถูกๆ ไม่ได้บ้าง
มาไม่ทันเรือบ้าง
เตะบอลแพร๊บบบบ….
น้ำพริกกุ้งเสียบ
ของดีแห่งเกาะปันหยี
อร่อยแท้ จัดมา 6 กระปุก
กลับจากเกาะปันหยี
ได้เวลาอาหารกลางวันพอดี
แวะถามชาวบ้านว่า พังงา อะไรอร่อย
ชาวบ้านบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า คุณทิพย์หมูสะเต๊ะ
พอเข้าร้านไปจริงๆ มีสะเต๊ะหลายอย่างเลย ไม่ว่า ไส้สะเต๊ะ กุ้งสะเต๊ะ
อูยย พูดแล้วน้ำลายไหล…. แฮ่
ออกเดินทางต่อ
ถนนเพชรเกษมสายเก่า ….
ถนนที่ถูกลืม…
ณ กิโลเมตรที่ 890-910 ( ประมาณนั้น ) เป็นเส้นทางช่วงเขานางหงส์
เป็นถนนที่คดเคี้ยวและเรียบเนียนที่สุดของ แดนใต้เท่าที่เคยขี่มา
แต่ถนนช่วงนี้กลับถูกลืม เนื่องจากมีเส้นทางสายลัดกว่าที่ทำให้เลี่ยงความคดเคี้ยวของเขานางหงส์ไปได้
จีงทำให้เส้นทางสายนี้เป็นถนนเลขตัวเดียว ที่เงียบสงัดที่สุด….
หากเส้นทางสาย ละอุ่น – เขาทะลุ คือ 1148 แดนใต้ ( ในความคิดผม )
ถนนเพชรเกษมช่วงนี้ คือ 1095 แดนใต้โดยแท้
เพียงแต่ว่า ถนนสายนี้เรียบกริบกว่าเยอะ…..
การควบคุมรถ
เบา แม่น พริ้ว พลิกง่าย
นับตั้งแต่ KP150 แล้ว ที่ Lifan ทำได้ดีในเรื่องการ Design รถให้มี handling ที่ควบคุมได้ง่าย การวางน้ำหนักทำได้ดี
จนมาถึง KPR 150 ที่ นอกเหนือจากการ ควบคุมรถได้ดีแล้ว ยังเพิ่มความแม่นยำในการพุ่งเข้าสู่ยอดโค้ง ด้วยแฮนด์ต่ำแบบรถ Sport
โช๊คหน้า ที่ให้มา ค่อนข้างหนึบใช้ได้ ส่วนโช๊คหลัง แข็ง แทบเรียกว่า ไร้ความนุ่มนวล กระแทกทีมีจุก แต่พอซ้อน 2 ก็พอจะให้อภัยได้
แต่พออยู่ในโค้งเท่านั้นแหล่ะ มัน หนึบมาก ไม่มีย้วย ไม่มีโยน แม้จะโค้ง นั้นจะไม่ราบเรียบ
ในเรื่องของยาง หน้าตาไม่คุ้น หน้าขนาด 90/90 – 17 หลัง 120/80 – 17 ถ้า เปลี่ยนได้ เปลี่ยนเถอะ
ถ้าพูดโดยสรุป
นับว่าเป็นรถที่ handling ดีพอตัวเลย หากเปลี่ยนยางให้หนึบกว่านี้ และ เน้นการขับขี่แบบ sport ไม่เน้นความนุ่มนวล
กลับมาเดินทางต่อ
เนื่องจากแอบเห็นรูปในอินเตอร์เน็ท ของเจ้า สะพานศรีสุราษฎร์ เห็นมันสูงชันมาก เลยอยากไปดูให้เห็นกับตา
แต่ในความเป็นจริง
ขี่วนไปหลายรอบ พยายามจะถ่ายภาพแบบเขาบ้างด้วยกล้องกากๆ
สุดท้ายก็ถึงบางอ้อ ว่ามันต้องถ่ายไกลๆ ใช้เลนส์ซูม เพื่อหลอกตา ปั๊ดติโธ๊ะ
แต่ก็ได้มาแค่นี้แหล่ะ ฝีมือไม่ค่อยจะมีครับ
เอาหล่ะ หมดปลอกกลับ กทม กันดีกว่า
สุดท้ายก็ไม่ถึงครับ
เที่ยงคืนขี่ถึงแค่ บางสะพาน นอนดีกว่า ง่วงไม่ขี่
วันต่อมา เดินทางต่อ แวะกิน ข้าวแช่แม่นิด ริมลำน้ำเพชรบุรี ที่คิดถึงมานาน
สุดท้าย ถึง กรุงเทพอย่างปลอดภัย
และสุดท้ายสำหรับเจ้า Lifan KPR 150
หากใครชอบ รถ Sport ไซส์เล็กแต่เอ๊กไซท์พอตัว ชอบความแปลกไม่ซ้ำซากจำเจ ไปไหนใครก็ถาม
ฟิลลิ่งการขับขี่ที่ดี น้องๆ รถญี่ปุ่นหรือ CBR150 ทีเดียว แม้เครื่องยนต์ยังอาจจะไม่แรงนัก ( ประมาณ Spark135 )
แต่ในเรื่องความทนทาน ต้องบอกว่า “สอบผ่าน” วิ่งไป 2,100 กม ไม่มีอะไรหลุด หรือ ส่งสัญญาณว่าจะหลวม
เสียงเครื่องยนต์หลังผ่านการหมดปลอกมาตลอดเส้นทางยาวๆ ก็ดูเป็นปกติดี
ใครเป็นห่วงเรื่องความทนทานหรือการบริการในระยะยาว ขอให้อ่านกระทู้ด้านล่างนี้ จากผู้ใช้งานจริงตัว KP150
http://pantip.com/topic/33689278
กับสนนราคาค่าตัว 65,000 บาท ก็ลองพิจารณากันดูครับ
กับความเชื่อเก่าๆ ผมบอกได้ว่า มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นแล้ว เหลือเพียงแค่เปิดใจครับ
วันนี้ขอตัวไปทำงานก่อนแล้ว พบกันใหม่กระทู้หน้าครับ ขอบคุณที่รับชมครับ ^^
ป.ล. ใครมีคำถามหรือข้อสงสัยอะไร post ทิ้งไว้ได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะกลับมาตอบทุกคำถามครับ
บทความโดย เตี้ย ล่ำ ดำ แก่