T r i u m p h . . T i g e r 8 0 0 X R x . . ขึ้ น ห ลั ง เ สื อ . . ร อ วั น ล ง . . ป ล ง ใ จ ที่ แ ม่ ส ะ เ รี ย ง

ในจังหวะชีวิตแห่งความเร่งรีบในปัจจุบัน . .
บางครั้งเราก็โหยหาความเนิบช้าเพื่อเรียนรู้อะไรบางอย่าง . .

กับชีวิตในปัจจุบัน กับวัยทำงานที่มีภาระล้นมือ
เวลาในแต่ละช่วงเป็นเงินเป็นทอง ( ถึงแม้จะน้อย )  เร่งรีบ รุมเร้า ร่างกายที่เริ่มอ่อนล้าให้ทำงานดั่งเครื่องจักร . .
บางครั้งเราก็หิวความชิล . . โหยความช้า . .
อยากได้วันเวลาที่ได้นั่งมองทอดสาย ตาไกลๆ ไปกับสายน้ำ  ขุนเขา . .
กายได้สัมผัสสายลมอย่างดื่มด่ำ . .
มีเวลานั่งตรึกตรองและตกผลึกความคิด และประสบการณ์ที่ผ่านพ้นมา..

น่าเสียดาย นั่นเป็นเพียงมโนความคิดแห่งความโหยหา
ในครานี้ผมมีภาระกิจที่เชียงใหม่แบบเร่งรัดอีกตามเคย . .
แต่คราวนี้ผมขอมีเวลาแวะไปซึมซาบบรรยากาศความเนิบช้า ณ สถานที่หนึ่ง
ที่หมายมั่นปั้นมือมาซักระยะหนึ่งแล้ว
ว่าอยากไปเดินชิล สัมผัสสายลมหนาวแบบเนิบๆ  ชมวิถีชีวิตชุมชนแบบช้าๆ  ณ ดินแดนแห่งนี้

“แม่สะเรียง”

ม้าศึกในคราวนี้ เป็นรถที่ผมคิดว่าเลือกมันภายใต้บรรทัดฐานแห่งความเป็น “สายกลาง”
กลางในที่นี้ไม่ได้หมายรวมถึงการวัดเทียบจากมอเตอร์ไซค์ทั้งโลก
หากแต่ตรึกตรองจากประสบการณ์การใช้งานของตัวเองและท้องถนนแห่งดินแดนนามว่าสยาม
หวยที่ออกจึงมาลงตัวกับรถคันนี้ครับ

Triumph Tiger 800 XRx

ซึ่งต่อไปผมขอเรียกเค้าว่า “พี่เสือ” ละกัน

พี่เสือไม่ใช่รถใหญ่เปิดตัวซิงๆ  ออกมานานแล้วพอสมควร
แต่อยากจะบอกว่า มันเป็นรถใหม่ที่สุดแล้วในคลาสนี้ที่มีขายในไทยแล้ว
อย่างไรน่ะหรือ  อ่านกันต่อไปครับ

เอาหล่ะออกเดินทางกันก่อนเลยครับ . .

หากจะกล่าวถึงตลาดในประเทศไทยที่ความ นิยมรถ Sport Touring ช่วงล่างระยะยุบเยอะ หรือ Touring Adventure เพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ
คุณลักษณะของรถเหล่านี้ส่วนใหญ่ประกอบ ด้วย ช่วงยุบที่เยอะกว่ารถทั่วๆไปสักเล็กน้อย แฮนที่ยกสูงขึ้นมา หน้าตาที่ดูลุยๆนิดนึง
หากมองให้ละเอียดลงไปอีกรถเหล่านี้ถูกแบ่งซอยย่อยไปอีกมากมายตามลักษณะการออกแบบ บางรุ่นเน้นสมรรถนะทางดำที่มากหน่อย
บางรุ่นให้ความสำคัญกับสมรรถนะทางดินด้วย

แล้วจะดูอย่างไรหล่ะ ว่ารถแต่ละรุ่นที่ออกมา สัดส่วนระหว่างทางดำกับทางดินแบบไหนที่คือเรา
ง่ายๆคือ ถามใจเราก่อน  ว่าเราใช้รถแบบไหน ( ถ้าคุณเป็นคนซื้อรถแบบเอาโจทย์ตั้งด้วยอ่ะนะ )
บางคนขี่แต่ทางดำในชีวิตไม่เคยลุยฝุ่น แต่อยากขี่ KLX อ่ะใครจะทำไม อันนี้ก็ไม่ว่ากัน

นอกจากอ่านรีวิวรถจนทราบว่ารถแต่ละรุ่น ตอบสนองทางดำและทางดินของแต่ละรุ่นเป็นอย่างไร
เกณฑ์การพิจารณาง่ายๆ ( และคร่าวๆ ) อีกแบบหนึ่งก็คือ

ขนาดล้อหน้าและขนาดล้อหลัง

รถที่ล้อหน้าหลัง ขนาด 17 นิ้วมักจะให้ความสำคัญกับสมรรถนะทางดำเป็นหลัก
รถที่มีล้อหน้าใหญ่ถึง 21 นิ้ว จำพวกนี้ให้ความสำคัญกับทางดินขึ้นมาอย่างมีนัยยะ

แล้วถ้าพูดถึงพวกสายกลางหล่ะ
ประเภทที่เน้นสมรรถนะในทางดำมากหน่อย แต่ยังไม่ทิ้งทางดินเสียทีเดียว
จำพวกล้อหน้า 19 นิ้วงัยครับ

ในคลาสใหญ่ รถ Touring Adventure อันเป็นสายสุดของวงการนี้อย่าง R1200GS ก็อยู่ในคลาสนี้
แล้วในคลาส Middle Weight น้ำหนักกลางๆ หล่ะ

ตลาดนี้เป็นตลาดที่ค่อนข้างถูกลืมมานาน( แต่ปีนี้กำลังจะกลับมาใหม่ )
รถที่มีวนเวียนอยู่ในตลาดนี้ก็มีอายุพอสมควร เท่าที่นึกออกคือ

Suzuki V-Strom 650
BMW F700 GS
และเจ้า Triumph Tiger 800 ที่มี Model รุ่นมากมายให้เลือกสรรค์ตามการใช้งานนี่แหล่ะ

XRx , XRt , XCx , XCA

หากแต่พิจารณาความเหมาะสมในการใช้งานแล้ว
ผมต้องการอะไรที่เหมาะกับถนนดำมากกว่าถนนดิน
แต่ก็ไม่ได้อยากจะให้ทิ้งสมรรถนะการลุยไปนะ ขอให้มีไว้บ้างติดตัวให้ใจชื้น

และนี่เป็นเหตุผลที่ทุกสิ่งทุกอย่าง
จึงมาลงตัวที่เจ้า XRx
เจ้าเสือรุ่นที่ถูกที่สุด แต่ตรงและเพียงพอแล้วกับการใช้งานของผม . .

อย่างที่บอกข้างต้น เจ้า Tiger XRx นั้นไม่ใช่รถใหม่  แต่ก็ใหม่ที่สุดใน Class นี้ ราคานี้กันแล้ว ( หากไม่นับการมาของ New V-Strom 650 ซึ่งราคาค่าตัวก็อยู่ในอีกระดับหนึ่ง )

________________________________________________________________________________

ผมออกเดินทางจาก กทม ในยามค่ำคืนของวันหยุดยาวที่ใครก็พากันแห่ออกจาก กทม
สัมผัสแรกกับเจ้า XRx คือ ขนาดที่ลงตัว
มันไม่ใหญ่โตเหมือน Touring ตัว 1000
มันไม่หนักเหมือน Touring ตัว 1000
เบาะทั้งคนนั่ง คนซ้อนกำลังพอดี ให้ความสบายสูงมาก ( แน่นอนมันเป็น Comfly Seat ที่มีในในรุ่น XR เหมือนในรุ่น XC จะไม่มีนะ  )
ถ้าเป็น Touring ตัว 1000 บางครั้งมันใหญ่ไปจนคนซ้อนไซส์มินิของผมต้องเลื่อนมานั่งระหว่างรอยต่อของ เบาะ
กลายเป็นนั่งไม่สบายไป
ผมให้จึงนิยามพี่เสือว่า

“พอดีคำ”

มันเป็นอะไรที่พอดีๆ ไม่มากไม่น้อย
ในเรื่องกายภาพ น้ำหนัก ขนาด ผมเองเป็นแฟนรถ Middleweight จำพวกนี้อยู่แล้ว
สำหรับพี่เสือนี้ผมให้คะแนนไปเลย 9.5 เต็ม 10

คราวนี้มีโอกาสได้กล้องตัวหนึ่งมาลองด้วย
ต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่ของสปอนเซอร์หรืออะไรใดๆ
หากแต่เป็นของชายวัยเกษียณท่านหนึ่งผู้ซึ่งถึงวัยเกษียรและอยากออกท่องเที่ยวไปพร้อมกล้องสักตัวหนึ่ง
ที่มีกลิ่นไอความเก่าแบบย้อนยุคให้นึกถึงวัยหนุ่ม
การคอนโทรลทุกสิ่งเกือบจะทำได้ผ่านแป้น หมุน ( เขาเรียกว่าแบบนี้หรือเปล่า ) ภายนอกทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นการชดเชยแสง ชัตเตอร์สปีด รูรับแสง หรือแม้แต่ ISO

มันคือกล้อง Fujifilm X-T1

ซึ่งจริงๆต้องบอกว่า มันเป็นกล้องที่ตกรุ่นไปแล้ว แต่ด้วยค่าตัวมือ 2 ที่น่าคบหา ( หรือเปล่าไม่แน่ใจ เพราะผมเองก็ไม่ใช่สายกล้องสักเท่าไร ) ประมาณ 2 หมื่นหน่อยๆ
ทำให้มันถูกเลือกมาเป็นกล้องคู่ใจกับชายวัยเกษียณท่านนั้น

และคราวนี้ด้วยความที่เจ้าของเดิมขายพร้อมเลนส์ XF56mm f1.2R
ทำให้ผมมีโอกาสได้ลองเลนส์ฟิกซ์เป็นครั้งแรกๆ ในชีวิต

ดีแย่แค่ไหนไม่ได้มารีวิวกล้องหรือเลนส์หรอกนะครับ แค่อยากมาแชร์ประสบภาพถ่ายที่ใช้งานกล้อง Mirorless + เลนส์ Fix ครั้งแรกในชีวิตออกท่องเที่ยวกันอมยิ้ม15อมยิ้ม15

ป.ล. ภาพเกือบทั้งหมดของกระทู้นี้ถ่ายด้วยกล้องตัวนี้และย่อรูปด้วยโปรแกรม Photoscape เท่านั้นไม่ได้ตกแต่งใดๆเพิ่มเติมเลยครับ
ป.ล.2 มีเพียงบางภาพเท่านั้นที่ถูกถ่ายด้วย  Nikon บ้าง iPhone บ้างคิดว่าเพื่อนๆ น่าจะดูออก แฮ่ๆ ถ้าโทนสีอุ่นๆหน่อยก็ Nikon, iPhoneแหล่ะครับ
ป.ล.3 ภาพทั้งหมดถ่ายที่ F ประมาณ 1.2-1.8 เกือบหมดเลย เหมาะสมหรือเปล่าไม่รู้แต่มือใหม่เลนส์ฟิกโหยหารูปรับแสงโตๆ แบบนี้มานานแล้ว

 

บนถนนที่รถแสนจะติดช่วงวันศุกร์ก่อนวันหยุดยาว
กว่าจะหลุดออกจากเมืองกรุงที่แสนวุ่นวายได้ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ
ด้วยการส่งกำลังของเครื่องยนต์ 3 สูบและชุดเกียร์ที่ต้องบอกว่าโคตรจะ “เนียน”
จนผมต้องร้อง “ว้าว”   อมยิ้ม10อมยิ้ม10อมยิ้ม10

ไม่รู้อย่างไร ผมมั่นใจและลัดเลาะรถติดได้อย่างรวดเร็วอย่างไม่คิดว่าตัวเองจะขี่ได้
เพราะผมเป็นคนขี่รถลัดเลาะรถติดได้ห่วยแตกพอสมควร แต่คราวนี้ต้องแปลกใจตัวเองเลยหล่ะ
ร้องว้าวอีกครั้งหนึ่ง  ประหลาดใจประหลาดใจ

แวะทานข้าวมื้อดึกแถวนครสวรรค์ก่อน..

เป็นเวลาตี 2 กว่า
สุดท้ายก็ไปต่อไม่ไหว
เราพักกันที่ “เรือนรฬิฬ”  ที่พักขวัญใจคนยาก หัวเราะหัวเราะ

แอร์ น้ำอุ่น พร้อม นอนได้ห้องละ 4 คน ราคา 400 ตกคนละ 100 บาทเอง


นอนตี 2 ตื่น 7 โมงเช้า
แทบไม่อยากจะลุกออกจากเตียง
แต่ด้วยภาระกิจที่มีจำใจต้องไป

บนเรือนไมล์แบบลูกผสมที่ Triumph ใช้ตลอดมาแต่ไม่ตลอดไปแน่นอน
วัดรอบแบบเข็มวงใหญ่วางชิดหน้าจอ LCD ขาวดำแบบ Digital ข้อมูลครบครัน
ไม่ว่าจะเป็น

– โหมดการขับขี่  4 โหมด ( Road , Sport , Wet ,  Off-Road )
– โหมดการทำงาน ABS เปิดปิดเลือกระดับได้
– โหมดการทำงาน Traction Control เปิดปิดเลือกระดับได้
– อัตราการกินน้ำมันทั้ง Realtime และ Average
– ระยะทริป
– ระยะที่น้ำมันวิ่งได้
– Cruise Control ( ว๊าวว สบายหล่ะ )
– และอื่นๆ อีกมากมาย จาระไนไม่หมด

แต่เท่าที่รู้คือ ตัวหนังสืออ่านยากและเมนูงงๆ เล็กน้อย
แต่จนแล้วจนรอดสุดท้ายก็ใช้เป็น

ผมเปิดโหมดการขับขี่ที่ Road ก่อน ซึ่งระบบก็เลือการทำงานของ ABS ให้สูงสุดและ Traction Control ก็ทำงานในระดับสูงด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นก็มาลองโหมด Sport ก็รู้สึกว่ามันตอบสนองดุดันขึ้นเล็กๆ พอรู้สึกได้เหมือนกัน


เจ้าปุ่มกลมๆ เล็กๆ ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษ
หากแต่เป็นปุ่มอัศจรรย์สำหรับคนที่ไม่มีใช้ ไม่เคยใช้
เพราะมันช่วยได้ในหลายๆเรื่อง
อย่างที่ทุกคนทราบกัน  มันทำให้เราขี่สบายขึ้นมาก  ไม่ต้องบิดคันเร่งบนทางยาวๆ ตรงๆ
แต่ที่น้อยคนอาจจะทราบ มันยังช่วยให้รถมีอัตราการกินน้ำมันที่ประหยัดขึ้นด้วย
เพราะการใช้คันเร่งนั้นนิ่งมาก

เจ้าปุ่มนี้มันคือ  Cruise Control นั่นเอง

เครื่องยนต์ 3 สูบที่ส่งกำลังมาแบบสุภ๊าพพพ สุภาพ
เรื่อยๆ มาเรียงๆ
ทุกอย่างนุ่มนิ่มไปหมด
เป็นหลายๆคนคงเบื่อ  แต่มันเข้ากั๊น เข้ากัน กับการขับขี่ของผม ยิ้มยิ้ม

อย่างที่บอก ชีวิตผมรีบเร่งพอแล้ว
ผมแสวงหาความละมุนและนุ่มนวลมาเสริมเติมชีวิตที่เร่งรีบและหยาบกร้าน


เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ
แวะทานข้าวร้าน Cafe De Lyn  บริเวณ อ. ลี้กันก่อน

บางทีก็ขี้เกียจปรับแสงให้เจ้า X-T1 นะ เพราะมันปรับยากนิดนึง ก็ถ่ายมันทั้งที่จ้าๆ แบบนี้แหล่ะ
ภาพอาจจะดู Over สว่างๆ ไปบ้างในหลายๆภาพ ต้องขออภัย
เราอยากจะ Slow Life ก็ต้องทำใจนิดนึง อมยิ้ม15อมยิ้ม15

ผมมีเวลาว่าง 1 วันก่อนต้องเดินทางไปเชียงใหม่
เชียงใหม่เป็นเมืองแห่งความเร่งรีบ วุ่นวาย
ผู้คนเยอะ รถราแยะ…
แต่ผม.. ผู้ซึ่งโหยหาความสงบ
ผมจึงเลือก “แม่สะเรียง” เป็นเป้าหมายสำหรับเวลาเพียง 1 วันในครั้งนี้

บนถนนเส้น 108 ที่เคียงข้างสายน้ำที่ทอดยาวไปด้วยกัน
ผมเปิดคันเร่งไฟฟ้าที่เนียนนุ่มเพื่อเร่งออกจากโค้งจากโค้งหนึ่งไปยังอีกโค้งหนึ่ง
ผมใช้เบรกที่นุ่มนวล ไม่จิก ไม่ปึ๊ก ดิกส์เบรกคู่และคาลิเปอร์หน้าตาธรรมดาๆ ทำงานได้ไม่ขาดตกบกพร่อง
แม้จะไม่จิก ไม่หนักหน่วงเหมือนคาลิเปอร์เทพๆ ที่อยู่ในรถสปอร์ต
ช๊อคอัพหน้าหลังทำงานได้ดีงาม นุ่มนวล แต่หนึบจนต้องร้อง “ว๊าว”  อีกครั้ง

Smooth is fast
ใครบางคนได้กล่าวไว้

ด้วยความละมุน ไม่เข้ากับหน้าตารถสไตล์นี้เลย
ทำให้ผมขี่ได้เร็วในโค้งพอสมควร
เครื่องยนต์ 800cc 3 สูบ 12 วาล์วที่เรียบเนียน 95 แรงม้า ที่ 9,250RPM  และแรงบิด 79NM @ 7,850RPM มันดูไม่เหมาะที่จะมาประจำการในรถ หน้าตา Touring Adventure
หากแต่ผมคิดว่า พี่เสือคันนี้มันเป็น Sport Touring มากกว่า
และเครื่อง Block นี้จึงทำงานได้ “ประทับใจ” ผมเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะความเนียนนุ่นของเครื่องยนต์และชุดเกียร์ ( ที่เขาว่าใช้ชิ้นส่วนหลายๆอย่าง ยกมาจาก Daytona 675R )  ทำให้การขับขี่แบบ Sport นั้นสนุกสนานมาก
Torque ที่ส่งออกมาแบบเรื่อยๆ ( จนเรียกว่า เนือยๆ เลยหล่ะ )  เหมาะแก่การเข้าโค้งบนถนนดำเป็นอย่างมาก ( แต่อย่าพูดถึงทางเถื่อนๆ ปีนป่าย นะ )
Packaging เครื่องยนต์ ความสบาย สมรรถนะช่วงล่างทั้งหมดที่รวมกันเป็น Tiger XRx นี้ทำให้ผมต้องบอกว่า
“ชอบ”   เกือบจะมากกว่ารถสไตล์นี้ทุกคันที่เคยขับ

ความรู้สึกที่ให้จากเฟรมของพี่เสือเอง นั้นให้ความรู้สึกมั่นคงอย่างไม่น่าเชื่อ  แต่ผมก็ไม่แปลกใจเพราะ Triumph นั้นมีชื่อเสียงในการสร้างเฟรมรถ Super Sport และ Middleweight ที่ดีที่สุดในโลกอย่าง Daytona และ Street Tripple มาแล้ว ทำไม่จะทำให้กับพี่เสือไม่ได้ เจ้าเฟรมตัวนี้เมื่อทำงานร่วมกับองค์ประกอบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงล่าง เบรก เครื่องยนต์
ที่กล่าวมาเบื้องต้นทั้งหมดทั้งมวลที่ มันดูจะเป็น อุปกรณ์ “กลางๆ”  แต่เมื่อมันมาประกอบการทำงานร่วมกันแล้ว
มันทำให้พี่เสือ Sport Touring หน้าตาสไตล์ Adventure
เป็นรถที่ผมขี่ได้เร็วที่สุดคันหนึ่งเลยทีเดียว
เพราะสมรรถนะความนิ่ง เนียนของรถมันทำให้ผมมั่นใจและมีความกล้าที่จะใช้คันเร่งได้มากกว่ารถหลายๆ คันที่เคยผ่านมือมา

มันเป็นการพิสูจน์ให้เราได้ประจักษ์ว่า สิ่งที่กลางๆ เมื่อมาทำงานร่วมกันอย่างสอดคล้องและเติมเต็มแล้ว
มันสามารถสร้างผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ได้

คนเองก็เช่นกัน
เหล่าผู้คนธรรมดาอันมีดาดดื่นทั่วไปใน สังคม สามารถรวมตัวกันสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน..

10 แต้มก็ให้ 9.5 หล่ะครับ จุ๊บๆจุ๊บๆ

________________________________________________________________

เอาหล่ะ หยุดพัก ณ “สวนสนบ่อแก้ว”  กันก่อน

ที่นี่สนเรียงรายทอดตัวยาวให้ทอดสายตา พักทั้งกายและใจ
ในบางครั้งผมก็อยากจะขี่รถคัน น้อยๆ  เนิบๆ ชิลๆ
จอดพักหลายๆชั่วโมง เม๊ามอยกับเพื่อนฝูงเฮฮา . .

แต่เราผ่านช่วงชีวิตอันแสนหวานนั้นมา แล้ว..
ต่อจากนี้..ก็ได้แต่เดินต่อไปกับ ปัจจุบันเท่านั้นเอง


ผมออกเดินทางท่องเที่ยวมาได้หลายปีดีดัก
เพียงเพราะรักอารมณ์การเดินทางและการเก็บเกี่ยวประสบการณ์
เพราะชีวิตเราก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะอยู่ได้นานอีกแค่ไหนกัน
มันจึงเป็นประสบการณ์การเรียนรู้อันล้ำค่า

แต่อย่าลืมว่า ความพอดีๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน..
เที่ยวมากไปไม่นึกถึงอนาคตเลยก็ไม่ดี..
ไม่เที่ยวเลย ชีวิตก็ขาดสีสันและประสบการณ์..

หาจุดตรงกลางๆ ให้เจอและเหมาะสมกับชีวิตเรา..
เพราะชีวิตแต่ละคนนั้นย่อมแตกต่างกัน…

“ขี่รถเพียงเพื่อให้อยากมีชีวิตอยู่”

คำพูดนี้เป็นคำพูดที่สวยหรูหากออกจากปาก ของคนวัยหนุ่มสาว..
มันโก้ ดูดี มีความฝัน..

แต่ในสถานการณ์ต่อไปนี้มันไม่ใช่…
เมื่อออกจากปากของคนทีผ่านโลกมาจนถึงวันที่เป็นขาลง …

หากแต่ว่า( ผมคิดว่า ) ผมอายุมากพอที่จะเข้าใจในคำพูดของชายชราอดีตนักแข่งเก่าผู้มากความสามารถด้านการขี่รถ
และยังเป็นเพื่อนร่วมทางของผมในครั้งนี้..

“ลุงอี๊ด”  ( Login ขอลุงก่อน ลุงแก่แล้ว )

เป็นธรรมดาที่เด็กหนุ่มสาวร่างกายแข็ง แรง มีโลกที่สดใส มีอนาคตอีกยาวไกลจะตีความคำพูดในนัยยะสวยหรู
หากแต่คนรุ่นราวคราวเดียวกับลุงอี๊ด ร่างกายที่โรยรา โรคภัยที่รุมเร้า
คนชราที่ผ่านโลกมามากมายนั้นพบเจอทุกข์ หนักหนาเกินกว่าที่คนรุ่นๆจะเข้าใจ
จนบางครั้งก็คิดว่า การจบปัญหาด้วยการจากไปจากโลกนี้มันน่าจะดีเสียกว่า..

ใครจะรู้ ใครจะเข้าใจ ว่าการได้ทำในสิ่งที่รัก.. ในสิ่งที่ชอบ.. มันจะเป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตให้ยืนหยัดต่อไปได้ขนาดนี้

จากการได้สนทนากันระหว่างผมกับลุงอี๊ด
มันมีคุณค่ามากมายถึงขนาดทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองของชีวิตไปอีกหลายองศาเลยทีเดียว…

ผมผ่านช่วงชีวิตที่เต็มเปี่ยมด้วย พลังงานและความฝันมาแล้ว
ขับเคลื่อนทุกสิ่งอย่างเต็มที่ด้วยการเดินคันเร่งแบบหมดปลอกเกือบทั้งหมดที่มี…
ผ่านมาจนช่วงชีวิตหนึ่งถึงได้รับรู้ว่า “การหยุด”  นั้นเป็นสิ่งสำคัญ
ในจังหวะของชีวิต เราต้องเร็วบ้าง ช้าบ้าง ให้พอดีๆ เพื่อให้ชีวิตมีการชาร์จพลังงานและเป็นการรักษาสภาพให้สามารถมีพลังขับเคลื่อนชีวิตไปได้อีกเวลานานๆ

การขี่รถก็เช่นกัน
ในเหตุฉุกเฉิน ..  หากเราไม่เบรก เราคงไม่ได้มีชีวิตมาถึงจุดนี้
ในทางโค้ง ..  หากเราไม่เบรก เราอาจไปไม่ได้เร็วแบบนี้ ( พูดแล้วก็อาจจะงงๆ เอาเป็นว่า  บนเขา ขี่รถแบบใช้เบรกกับไม่ใช้ แบบใช้เบรกไปได้เร็วกว่าละกัน )

สำหรับเบรกของพี่เสือ
หน้าตาของมันอาจจะดูธรรมดาๆ
คาลิเปอร์อาจจะไม่ใช่ Brembo  แบบ Radial Mount
หากแต่มันทำงานได้นุ่มนวล และส่งถ่ายฟีลลิ่งการเบรกได้ไม่ขาดตกบกพร่อง
นอนว่าไม่ได้หนักหน่วงและจิกแบบเบรคชั้นยอด
แต่ต้องบอกว่ามัน พอดี๊ พอดี กับรถแบบนี้
ไม่หนัก ไม่เบา เอาอยู่

เอาไป 8 ดาวเต็ม 10 เลยละกัน

และในที่สุดเราก็ถึงจุดหมายปลายทาง
ซึ่งเป็น Guest house ริมน้ำแม่สะเรียง

มาคราวนี้ได้พอเจอเพื่อนเก่าที่เราขี่รถด้วยกันมานาน…
จากคราวที่พบพานกันครั้งแรกด้วย CC ที่มีเพียง 100 กว่าซีซีและขี่กันเรื่อยมา
วันนี้เป็นครั้งแรก ที่เจอกันด้วยซีซีพิกัดเฉียดกับเกิน 1 ลิตร

ห่างเหินจากการพานพบมาเนิ่นนาน
เรื่องราวเม๊ามอยใต้บรรยากาศมิตรภาพจำ ต้องหาร้านอาหารรสชาติดีเป็นที่พึ่งใน การเสริมบรรยากาศ

อินทิรา

เป็นนามของร้านเก่าแก่แห่งแม่สะเรียง ที่ซึ่งมื้อค่ำภายใต้บรรยากาศเย็นๆนั้นเกิดขึ้น
แล้วเราก็ไม่ผิดหวัง


บางครั้ง
บรรยากาศร้านสมัยเก่าเคล้าการพบปะพูดคุยสร้างสุนทรีและความผ่อนคลายให้กับชีวิตที่แสนเร่งรีบอย่างมีนัยยะ

ผมมีโอกาสได้เบรกตัวเองออกจากความเร่งรีบ
และใช้ชีวิตที่มีการหยุดบ้าง..
แม้จะเพียงชั่วครู่ชั่วคราว..

ก็นับเป็นความคุ้มค่าของการเดินทางในครั้งนี้แล้ว

ต้มยำปลาสาละวินเนื้อหวานในน้ำต้มยำรสแซบ วางอยู่ข้างกับปลาแม่น้ำสาละวินทอดกระเทียมกรอบๆ
ในเรื่องรสชาติขอบอกตรงๆว่าถูกปากและอร่อยมาก จุ๊บๆจุ๊บๆ

อยากกินจนไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปแล้ว รูปก็กากๆอย่างที่เห็น ร้องไห้ร้องไห้


และนี่เด็ดสุด อร่อยสุด
เห็ดหอมสดย่างซีอิ้ว
เค็มปะแล่มๆ อร่อยถูกปากผมมากๆ
นึกแล้วก็น้ำลายไหล

คราวหน้าถ้าได้ไปแม่สะเรียงอีกผมไม่พลาด ร้านนี้แน่นอนฮะ

นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้เข้าวัดไปทำกิจกรรมในคืนวันสำคัญของพระพุทธศาสนา

วันนี้เป็นวัน “วิสาขบูชา” และน่าจะเป็นครั้งแรกหลายๆ ปี
ที่ผมได้มาเวียนเทียนเพื่อเป็นการขัดเกลาจิตใจอันหยาบกระด้าง…

อานิสงค์ของการเวียนเทียนหาใช่บุญใดๆไม่
หากแต่เป็นจิตใจที่จดจ่อกับ “ปัจจุบัน” แห่งการย่างเหยียบไปรอบๆ เจดีย์ ( วัดที่แม่สะเรียงเขาเวียนรอบเจดีย์ )
สติที่แน่วแน่ก่อให้เกิดความสงบ ณ ชั่วขณะหนึ่งแห่งห้วงเวลา

กระแสแห่งสติที่จดจ่อกับสิ่งหนึ่ง ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ไม่ปรุงแต่งถึงอดีตและอนาคต
ก่อให้เกิดกระแสปัญญาพร้อมรับปัญหาที่จะ พรั่งพรูกันเข้ามา ( ได้ระดับหนึ่ง )

รับด้วยสติ ..
และเห็นด้วยปัญญา..

นั่นแหล่ะ อานิสงค์บุญที่แท้จริงในความคิดของผม

พอรู้บ้างแต่ทำไม่ได้หรอกนะครับ ร้องไห้ร้องไห้


แสงเทียนเหมือนกันจิต

ยามใดที่เปลวไฟนิ่ง.. มันให้ความรู้สึกสงบเย็นได้เหมือนกัน
แต่ยามใดที่เปลวไฟลุกโชนสั่นไหวลาม .. ยามนั้นความร้อนลุ่มไร้ความสงบ
ก็จักบังเกิดกับชีวิต


หาทางลง

ผมตระหนักในชีวิตอย่างหนึ่งว่า
การที่เรามีชีวิตมาจนถึงช่วงกึ่งกลางของ ชีวิต เคยชินมาช้านานกับการสั่งสมกิเลส
เสพสมสิ่งที่คิดว่าเป็นความสุข แท้จริงเพียงมายา ผ่านอายตนะ 6  ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
มันเปรียบได้กับการขึ้นหลังเสือ

ที่ขึ้นแล้วลงยาก

บางคนหูตามืดบอดคิดว่านั่งอยู่บนหลังพญาเสือผู้ยิ่งใหญ่ เราก็จะยิ่งใหญ่ไปด้วย
บางคนหลงระเริงกับการท่องไปรู้เห็นสิ่ง ต่างๆ บนหลังเสือ
หากแต่คนเหล่านี้ลืมตระหนักในอันตรายของมัน

เฉกเช่นตัวผมเองในตอนนี้..
ที่อยู่บนหลังพี่เสือ Tiger 800 XRx แล้ว เกิดความอยากได้ อยากมี อยากเป็น…
ผมคงต้องหาทางลงกับความรู้สึกนี้สักที

ยามค่ำคืนประมวลผลชีวิต
ยามเช้าเรามาประมวลผลรถของเรากันต่อ..

ผ่านการใช้งานมา 2 วันกับ 2 คืนเต็มๆ ผมพอจะรู้จักพี่เสือในระดับหนึ่งแล้ว..
หากพินิจพิเคราะห์ดีๆ สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้คือ คุณภาพการประกอบ ของค่ายยกทรงเอ้ย Triumph นั้นเนียนกริบ
เกือบทุกสิ่งอย่างดูเรียบเนียนและดูดีมีราคาไปหมด
ตรงจุดนี้ผมอยากจะให้คะแนน 10 เต็ม แต่เหลือที่ไว้นิดหนึ่งละกันเพราะไม่ได้วัดความคงทนในระยะยาว
เอาไป 9 คะแนน

วินด์ชิลที่สามารถปรับได้เล็กน้อยแต่ต้องออกแรงกันหน่อยยึดติดอยู่ใกล้ไฟ หน้าที่ออกแบบมาดูดีและมีราคาตามสไตล์รถ Triumph
ขนาดกำลังดีไม่บดบังวิสัยทัศน์ การปกป้องสายลมที่พานพัดเข้าปะทะตัวยามขี่ทางไกลในระดับกำลังดีกับขนาดความ สูง 177 เซนติเมตรจากระดับน้ำทะเลของผม
หากแต่นับว่ายอดเยี่ยมหมดจดหรือไม่ ต้องตอบตามตรงว่า ยังมีสายลมที่เล็ดลอดมาตามช่องปะทะหมุนวนบริเวณอกบ้างในช่วงความเร็วสูงเกิน 150 กม/ชม และมากขึ้นเรื่อยๆไปจนถึงความเร็วประมาณ 195 กม/ชม ( ซึ่งนั่นเป็นความเร็วสูงสุดที่ผมได้ทดลอง )

แต่ถ้าขับขี่ด้วยความเร็วตามกฏหมายแห่ง สยามประเทศนั้นกำหนด วินด์ชิลตัวนี้ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีตามที่มันควรจะเป็น
เอาไป 7 เต็ม 10 ครับ


อย่างที่บอกข้างต้น พี่เสือให้ของที่ดูดีหลายๆ อย่าง สวิงอาร์มหน้าคาไม่เป็นท่อนเหล็กทื่อๆ ( แม้จะใกล้เคียง )

ยาง Metzler Tourance Next  100/90 ขอบ 19 หลัง 150/70 ของ 17 ซึ่งเป็นยาง On/Off Road ที่หนักไปทาง On เสียมากกว่าให้ฟีลที่ค่อนข้างมั่นใจในการขับขี่ดีทีเดียว

และเด็ดและไม่ค่อยจะได้เจอคือ “ขาตั้งคู่” ซึ่งผมไม่ค่อยจะได้เจอะเจอในรถคันไหนๆ มันช่วยให้การ service รถ การมัดของง่ายขึ้นอย่างมีนัยยะเลยทีเดียว


แร็คท้ายพร้อมที่จับอันแสนใหญ่โต ถนัดมือมากตอนเข็นรถถอยหลัง
แต่แร็คท้ายเล็กไปนิดและขาดจุดยึดมัดเวลาที่เราใช้สายรัดรัดกระเป๋า อมยิ้ม08อมยิ้ม08
ท่อใบเขื่องปลายยกสูงมาจ่อแถวๆท้ายรถ อันที่จริงสำหรับ Setting รถแบบ XRx ที่ไม่ได้เน้นลุยมากนัก
อยากให้ปลายท่ออยู่ต่ำๆ มากกว่า เพื่อที่จะได้มีพื้นที่สำหรับกระเป๋าข้างเยอะขึ้น
และน้ำหนักที่น่าจะลดลงด้วย  ( เจ้า V-Strom 650 ตัวใหม่เองก็เริ่มย้ายท่อลงต่ำมาแล้วเจ้าหนึ่ง )

ว่าแต่ว่า ให้ของมาเยอะแยะขนาดนี้ แต่น้ำหนักรถยังแค่ 216 กิโลกรัม
Triumph เขาบริหารความอ้วนได้ยอดเยี่ยมกระเทียมเจียวจริงๆ

แม่สะเรียง  เมืองแห่งขุนเขา สายน้ำ และอารยธรรมชนเผ่า

อำเภอทางผ่านเล็กๆ ในการเดินทางไปแม่ฮ่องสอนในอดีต ในบางครั้งถูกอาศัยเป็นที่พักกลางทาง
ตั้งอยู่บนความสูง 800-1200 เมตรจากระดับน้ำทะเล อากาศจึงค่อนข้างจะเย็นสบาย
ชื่อเก่าชื่อ เมืองยวม  น่าจะเพราะตั้งอยู่ริมแม่น้ำยวม

ในทางที่ตั้งและภูมิทัศน์ ส่วนตัวสำหรับผมแล้ว แม่สะเรียงนั้นไม่แพ้ปาย  มีทั้งแม่น้ำและขุนเขา
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวอำเภอถึงยังเงียบๆ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวทั้งๆที่การเดินทางในสมัยนี้ก็สะดวกสบายแล้ว ไม่หนาแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวเหมือนปาย

แต่นั่นแหล่ะครับ เป็นสามารถที่ผมเลือก แม่สะเรียง…


ถนนริมแม่น้ำยวมในตัวอำเภอ ซึ่งน่าจะเป็นสายที่มีที่พักและร้านกาแฟเยอะที่สุดในตัวอำเภอแล้ว
ยังคงเงียบเชียบ แม้วันหยุดยาว


ผมว่า เจ้าบอนนี่เข้ากับตัวอำเภอนี้ มากกว่าพี่เสือนะ 555

สายน้ำยวม

สายน้ำอันแห้งเหือดยามปลายฤดูหนาว
มันไม่ค่อยสวยสักเท่าไร ถ้าว่ากันตรงๆ ไม่รู้จะถ่ายรูปจากมุมไหนดี
มันผิดจากภาพที่ผมมโนว่า ผมนอนจิบกาแฟอยู่ริมน้ำสวยๆ ไปหน่อย
ตรงนี้หรือเปล่า ที่ทำให้มันสู้เมืองปายไม่ได้


เมื่อมองภาพใหญ่แล้วมันไม่สวย
ก็มองให้เล็กลงมา เพ่งความงามเฉพาะจุด

ก็เหมือนกับชีวิต
หากในห้วงใหญ่กำลังเป็นช่วงเวลาแห่งความทุกข์
ให้เอาสติมาอยู่กับปัจจุบันขณะ
ถ้าเพ่งสติกับปัจจุบันขณะเป็นอาจิณแล้ว ความสวยงามแห่งความเงียบสงบแห่งอารมณ์ สมาธิ
สร้างความปีติและเบิกบานได้


บรรยากาศที่พักหลัก 7 ร้อย
วิวก็น่าจะหลักร้อยเช่นกัน 555
หากแต่บรรยากาศความเนิบชิลนั้นได้หลายหมื่นอยู่ หัวเราะหัวเราะ

และตามคำแนะนำของน้า ตี๋ ตูดเหล็ก

ผมมาตามหาขนม เบ็งโม้ง อาละหว่า และส่วยทะมิน ที่ตลาด
แต่อนิจจาผมมาช้าไป ขนมหมดตั้งแต่ตี 4
น่าเสียดายจริงๆ

รูปภาพสองรูปนี้ขอ ยืมจากกระทู้ของน้า ตี๋ ตูดเหล็กฮะ หัวเราะหัวเราะ

https://pantip.com/topic/36051038


เรียงจากซ้ายมา ขวา  เบ็งโม๊ง  อาละหว่า ส่วยทะมิน
หน้าตาดูน่าลองน่าชิมดีแท้

เมื่อพลาดไปหนึ่ง

เราไปต่อกันที่ ร้านไส้อั่ว เนื้อทุบ แม่หลวงเพ็ญ


เผอิญผมไม่ทานเนื้อ มันเลยกลายเป็นหมู ทุบ ไส้อั่ว น้ำพริก หนุ่มแทน
รสชาติดีฮะ

ครั้งสุดท้ายที่ผมมานอนในตัวเมืองแม่สะเรียง ตอนนั้นปี 2550 ซึ่งก็ 10 ปีพอดี
และนั่นเป็นทริปการขี่มอเตอร์ไซค์ทางไกลครั้งแรกในชีวิตของผมเลยทีเดียว
และภาพนี้ ถูกถ่ายโดยผมเองด้วยกล้องถ่ายภาพตัวแรกในชีวิตอีกเช่นกัน ( Nikon Coolpix L6 )

เสียดายพิพิธภัณฑ์แม่สะเรียงแห่งนี้ กลายเป็นเพียงอดีตไป เสียแล้ว

ทานมื้อเช้าเสร็จ
ก็ละเลียดกาแฟริม น้ำ ( ที่ไม่มีน้ำให้ดู ) กันต่อ


น่าเสียดายที่ชีวิตมีเวลาน้อยนัก
เราคงต้องบอกลา เมืองเล็กๆ ที่แสนสงบ
อย่างน้อยๆ การได้เดินทางมายังเมืองแห่งนี้ก็ทำให้เราได้พบเวลาที่สงบ เนิบช้า
แม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ

อีกทั้งการได้เดินทางและสนทนากับผู้ร่วมทางสูงวัย
มันช่วยให้เราได้เรียนรู้อะไรอีกมากมายในประสบการณ์ที่เรายังเดินไปไม่ถึงตรงจุดและเวลานั้น

ผมแยกย้ายกับลุง อี๊ดที่นี่
แกเดินทางไปแม่ฮ่องสอนต่อ ส่วนผมต้องเข้าเชียงใหม่เพื่อทำภาระกิจต่อไป

หลังจากเสร็ธุระที่เชียงใหม่ ก็ถึงการเดินทางกลับอันยาวไกล

บนถังน้ำมันความจุมากมายถึง 19 ลิตร แต่อัตราการกินน้ำมันเฉลี่ยเท่า ที่จับได้ก็ 16-17 โลลิตร ดังนั้นน้ำมัน 1 ถังก็วิ่งได้ 2 ร้อยปลายๆ ถึง 3 ร้อยต้นๆ ต่อหนึ่งถัง
เอาตามความรู้สึก จริงๆ พี่เสือนี่กินน้ำมันเอาเรื่องพอสมควร น่าจะเป็นเพราะ เครื่องยนต์ 3 สูบที่ทอร์คส่งออกมาเรื่อยๆ มาเรียงๆ เลยต้องเล่นรอบกันหน่อย
อัตราการกินน้ำมัน ก็เลยออกมาใกล้เคียงกับพวกตัวพันเหมือนกัน ร้องไห้ร้องไห้

บรรยากาศของประเทศไทยถือว่าเข้าสู่ฤดูร้อนเกือบจะเต็มตัวแล้ว
ดอกไม้แห่งฤดูร้อน เริ่มออกดอกผลิบานสะพรั่ง
โดยเฉพาะริมทางสาย พิษณุโลก – นครสวรรค์หน้ามหาวิทยาลัยนเรศวร


ปีนี้เราพลาดพญาเสือโคร่ง แต่ก็ยังได้ชมความงามของต้นตะแบกแทน
ครั้งนี้แม้จะล้มเหลว ครั้งหน้าก็ยังคงมีโอกาสลุกได้ต่อ..

บนถนนสายชีวิต

เราทุกคนที่ยังคงเดินบนเส้นทางสายกิเลส ก็ไม่ต่างอะไรกับอยู่บนหลังเสือ ซึ่งเมื่อขึ้นไปแล้วอาจจะลุ่มหลง มัวเมา ไม่อยากลง
ก็ได้แต่หวังว่า ความรู้ ความเจ็บปวด และประสบการณ์ที่สั่งสมในทางโลก จะตกผลึกอะไรบางอย่างให้เราตาสว่าง
หันไปศึกษาทางธรรมอย่างแท้จริงและลงจากหลังเสือได้ในที่สุด

แต่ตอนนี้ด้วยระดับปัญญา ณ ตอนนี้ ก็คงทำได้แต่พยายามศึกษาและรอเวลาต่อไป
แล้วสักวัน เราจะลงจากหลังเสือครับ

บนถนนของจริง

หลังพี่เสือนั้น พริ้วไหว เนียนนุ่ม เบาสบาย ให้ความรู้สึกเป็นกลาง เร็วก็ได้ ช้าก็ดี ขี่สบาย นั่งสบาย แม้เครื่องยนต์จะส่งผ่านทอร์ค แบบเนิบๆ จนต้องรีดรอบ บ้างและกินจุไปนิด
แต่นั่นก็เป็นเพียง ข้อเสียที่ผมสามารถมองข้ามได้จนผมไม่อยากจะลงจากเสือตัวนี้เลย เพราะมันเป็นรถที่เข้ามือผมจริงๆ

กิเลสเกิดอีก แล้ว… ท่าทางจะลงยาก หลังเสือตัวนี้ ร้องไห้ร้องไห้

ในท้ายที่สุดกับบท สรุปของพี่เสือ Triumph Tiger XRx

ขอสรุปเป็นข้อดี ข้อเสีย แบบกระชับๆ เลยนะครับ

ข้อดี

+ เบา
+ เครื่องยนต์เนียนนุ่มทุกรอบการทำงาน
+ ชุดเกียร์ลื่นมว๊ากกกก ( หลงรักตรงนี้มากเลย )
+ Comfly Seat นั่งสบายในทางยาวๆ
+ ความมั่นคงและเสถียรภาพของตัวรถ
+ ขนาดรถกำลังดี น่าใช้งาน
+ โหมดการขับขี่ + Traction Control
+ ยางติดรถใช้งานได้ดี
+ Cruise Control
+ สมรรถนะโดยรวมบนถนนดำ
+ เร็วและเนี๊ยบ
+ ช่วงล่างแน่นและหนึบหนับบนทางดำ

ข้อเสีย

+ ค่อนข้างซดน้ำมัน
+ ทอร์คมาเนิบๆ
+ ขาดความตื่นเต้น เร้าใจ
+ เมนูเรือนไมล์ใช้ยาก ตัวหนังสืออ่านยาก
+ เครื่องยนต์ไม่(น่าจะ)เหมาะกับทางดินซักเท่าไร

ชอบหรือไม่ก็ ลองถามใจกันดูนะ ครับ ว่ารถแนวนี้ สัดส่วนนี้  องค์ประกอบนี้ โดนใจเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ กันหรือไม่
ไม่มีใครตอบ ได้ นอกจากเราเองครับ

รถดีที่สุด นั้นไม่มีหรอก มีแต่รถที่โดนที่สุดเท่านั้นเอง…

อ้อ งบเองก็เป็นเรื่องสำคัญ  ค่าตัวของพี่เสือก็ ไม่ถูกไม่แพง ห้าแสนกลางๆ ก็ถอยกัน ได้เลยครับ

วันนี้ขอไป ก่อน สวัสดีครับ อมยิ้ม17อมยิ้ม17

อ้อ สุดท้ายอีกนิด ลืมโฆษณา 555 อย่าว่ากันเลยนะครับ

 

ขอขอบคุณ Triumph Ultimate Ride บางนา สำหรับการสนับ สนุนพี่เสือเพื่อ เดินทางมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ อมยิ้ม17อมยิ้ม17

https://web.facebook.com/TriumphBangna/

Credit ภาพ : อากู๋

 

บทความโดย เตี้ย ล่ำ ดำ แก่

Link ต้นฉบับ http://pantip.com/topic/36237700