
สวัสดีคร้าบ พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย
หลังจากเปิดตัว เปิดรับจอง และส่งมอบกันไปเรียบร้อย สำหรับ Royal Enfield Interceptor และ ContinentalGT
ลูกครึ่ง อังกฤษ อินเดีย หัวใจใหม่ ขนาดเครื่อง 650cc.
ก็ถึงฤกษ์ที่ Royal Enfield ได้เชิญคณะสื่อมวลชนชาวไทย ไปทดลองขับขี่กันที่เกาะภูเก็ต รายละเอียดของรถทั้งสองคันจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น มาร่วมกันเดินทางไปพร้อมกันเลยจ้าา
มาถึงที่หมายสนามบินภูเก็ตก็ช่วงบ่ายแล้ว ก็ให้พักผ่อนชิลๆหนึ่งคืน เช้ามาก็ไม่พูดเยอะ ออกเดินทางกันเลยจ้า
เช้าๆยังสดใสกันดีอยู่

ไปโลดดดด แอดท๊อปดวงดีแฮะ จับได้ Interceptor ตัวแต่ง ที่จะมีออฟชั่นเล็กๆน้อยๆเพิ่มเข้าไปบนตัวรถ เช่นบังไมล์ กับ แคลชบาร์ข้างเครื่อง

เส้นทางสำหรับ Interceptor ในช่วงเช้า จะเป็นทางเลียบทะเล สบายๆ มีโค้งให้เสพบ้างพอหอมปากหอมคอ เหมาะกับรถที่ใช้แฮนด์บาร์ บวกกับการเซ็ทท่านั่งจากพักเท้า ให้นั่งหลังตรงแบบชิลๆ ท่าทางในการขับขี่ควบคุมก็ถือว่าเหมาะสมดี

ยามเมื่อต้องพากันเฟี้ยว เลี้ยวโค้ง ก็ยังทำได้สะดวกดี


มาเจาะดูรายละเอียดตัวรถกันบ้าง
เครื่องยนต์ใหม่ สองสูบคู่ TWINS
ขนาด 648 cc.
4 วาล์วต่อสูบ
ระบบหัวฉีดจาก Bosch
อาการสั่นเป็นเจ้าเข้าที่เคยหลอกหลอนแอดท๊อปเมื่อคราวที่เคยร่วมเดินทางไปกับเจ้า Classic500 เป็นเวลายาวนานถึง7วัน มันหายไปแล้วจ้าาาาา
ให้กำลัง 47 แรงม้าที่ 7250 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 52 นิวตันเมตรที่ 5250 รอบต่อนาที
ย่านกำลังที่ขับขี่สนุกก็แถวๆ 3000 – 7000 รอบต่อนาที ไม่สูง ไม่เค้น เน้นชิล
เช่นเมื่อใช้ความเร็ว 120km/h ที่เกียร์ 6 ก็จะใช้ความเร็วรอบแถวๆ 5000 รอบต่อนาที
แต่เมื่อกระแทกคันเร่งเพิ่มเข้าไป เครื่องยนต์ลูกนี้ก็สามารถพาเราทะยาน พาทั้งรถทั้งคนไปสัมผัสความเร็วที่ระดับ 170km/h. ได้ไม่ยาก!!!
เกียร์ 6 สปีด ถือเป็นการพัฒนาระบบส่งกำลังให้ดีขึ้นของทางรอยัล เอนฟิลด์ ที่เห็นชัดจริงๆ การเพิ่มเกียร์ และลดเกียร์ทำได้นุ่มนวลน่าพอใจมาก
ช่วงเกียร์ 3 – 4 ปรับอัตราทดมากว้างดี
ระบายความร้อนด้วยอากาศ และลดอุณภูมิน้ำมันเครื่องด้วยระบบออยคูลเลอร์ขนาดกำลังดี





มาต่อกันที่ช่วงล่างหน้าหลังบ้าง
ด้านหน้าใช้แบบ เทเลสโคปิก ก็คือช็อกอัพหัวตั้งธรรมดานี่แหละ เหนือบังโคลนหน้าก็ติด Balance Shock ค้ำช็อคซ้ายขวาเข้าไว้ด้วยกัน
ด้านหลังเลือกใช้ ช็อคอัพคู่แบบสปริง และมีซัพแทงค์แก๊สมาให้ ปรับพรีโหลด(ระดับการรับน้ำหนัก)ได้ 5ระดับ
สำหรับช่วงล่างชุดนี้ ที่ความเร็วต่ำ กับความเร็วเดินทางปกติ เจอผิวถนนไม่เรียบ ขรุขระ ก็ยังเก็บอาการได้ดี ส่งความกระเทือนกลับมาหาผู้ขี่ในระดับที่ยังโอเค เราไปด้วยกันได้นะจ๊ะที่รัก
แต่เมื่อคุณคิดจะพาเธอบุกตะลุยความเร็วเกินช่วง 140km/h. ขึ้นไปแล้วเนี่ย
เธอจะส่งสัญญาณบอกคุณโดยการส่ายหน้าเบาๆเรื่อยๆ “พอเถอะค่ะที่รัก ฉันว่าเราพอกันแค่นี้เถอะนะ”
โอ้ววว ตอนที่ทดลองทำความเร็วกันช่วงแรกครั้งแรกนั้น บอกเลยครับ “เหวอ”
จะไม่ให้เหวอได้ไงละครับท่านผู้อ่านที่รัก ตอนวิ่งกันเรื่อยๆชิลๆ 80-100-120 คุณน้องเธอก็ไม่มีอาการอะไรแบบนี้
แต่พอหัวแถวพากันซัด เราก็ซัดตาม ช่วงที่มุ่งสมาธิให้กับเส้นทางข้างหน้า มือและแขนเราก็รู้สึกถึงอาการ “โบก” มาจากช่วงหน้า
ซึ่งถามไถ่จากพี่ๆสื่อมวลชนท่านอื่นแล้วก็ได้ความเห็นตรงกันว่ามัน “โบก”
ผ่านจากการเหวอครั้งแรกมาแล้ว ก็ทำใจและยอมรับมัน ก็ต้องแบ่งสมาธิมาให้เรื่องการบังคับควบคุมรถเพิ่มขึ้น
คิดว่าถ้าได้รับการปรับแต่งช่วงล่าง และหรือ ติดตั้งกันสะบัดเข้าไปสักตัว หน้ารถคงทำงานได้ดียิ่งขึ้น
ล้อและยาง
โดยให้วงล้อซี่ลวดขนาด 18 นิ้ว
ใส่ยาง Pirelli Phantom SportComp คอมปาวด์พิเศษ ซึ่งต้องการเวลาในการวอร์มยางซักครู่นึงก่อนถึงจะได้ที่
เพราะตอนเริ่มออกตัวช่วงแรก ไม่ไกลจากที่พัก ก็เจอโค้งไฮสปีดของเกาะภูเก็ตเข้า แอดท๊อปก็ลองเปิดคันเร่งโง่ๆดู 5555+
มีอาการสลิปมาให้รู้สึกจากล้อหลังนิดๆ ซึ่งเป็นผลมาจากทอร์คที่สูงของเครื่องยนต์ลูกนี้ด้วย แต่หลังจากวิ่งไปพักใหญ่ เจอโค้งลักษณะเดิม ก็ลองใหม่ คราวนี้อาการเดิมที่เจอตอนแรก หายไปแล้ว
ยางหน้า 100/90 18″
ยางหลัง 130/70 18″



มาว่ากันต่อที่ระบบเบรกหน้าหลัง เลือกใช้บริการจาก ByBre เจ้าของเดียวกับ โทนาฟ เอ้ย ไม่ใช่เว้ยย
แบรนด์ลูกของ Brembo ดิสก์เบรกเดี่ยวหน้าแบบลอยตัว(โฟลทติ้งดิส)ขนาด 320 มม. ด้านหลังขนาด 240 มม. ระบบ ABS จาก Bosch
เพียงพอต่อการหยุดยั้งความแรงของเครื่องยนต์ลูกนี้ เบรกหน่ะดีอยู่แล้ว ทั้งน้ำหนักที่ส่งผ่านมายังมือและเท้า การควบคุม ABS ที่แม่นยำเชื่อใจได้ แต่ด้วยขนาดหน้ายาง บวกกับน้ำหนักรวมของรถที่ทะลุ 210 กิโลกรัมไปอีกหน่อยๆ พึงสังวรณ์ระยะหยุดเผื่อไว้อีกหน่อย


พาชมรายละเอียดรอบคันกันบ้าง
เริ่มที่แฮนด์บาร์ ความสูงกำลังดี ทำให้ท่านั่งออกมาแนวสบายๆ

มาตรวัดแสดงผลแบบเข็มสองกระปุก แยกวัดรอบ กับความเร็ว ฟอนต์ตัวเลขมีขนาดเล็กไปนิดนึง

ฝาปิดถังน้ำมัน เกี่ยวฝาปิดรูกุญแจตรงกลางก่อน พอไขกุญแจปุ๊บ มันก็จะหลุดโบ๊ะออกมาทั้งยวง ให้เอามาถือเล่นระหว่างรอเติมน้ำมัน

ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว และมุมจากท้ายรถที่จะเห็นท่อไอเสียแบบคู่ สวยคลาสสิคลงตัวดี



เบาะนั่งของ Interceptor นั่งสองคนสบายๆ พื้นที่เหลือๆ


ดูรวมๆแล้วมีสเน่ห์






Continental GT อยากหมอบ อยากก้ม ไม่ผิดหวังแน่นอน

พื้นฐานทางเครื่องยนต์ และส่วนต่างๆ ใช้ร่วมกันได้หมด เว้นแต่ชุดพักเท้า และชุดแฮนด์ เพราะ Continental GT จะใช้ชุดแฮนด์จับช็อก กับเบาะนั่ง ที่จะมาในสไตล์ตูดมด รักจะซิ่ง ต้องไม่พึ่งพิงเมีย บินเดี่ยวไปเลย 5555+
โดยปกติแอดท๊อปเองก็จะใช้รถส่วนตัวซึ่งเป็นรถทรงสปอร์ตอยู่แล้ว พอได้มาเจอรถทรงหมอบ ก้ม แบบนี้ก็รู้สึกว่าเข้าทาง
การถ่ายเทน้ำหนัก ทั้งทางตรง และการเข้าโค้ง รู้สึกเป็นธรรมชาติมากขึ้น



ในการทดสอบมีการแยกกันปล่อยตัวทีละคันที่ตีนเขา ข้ามเขานางหงส์กันทีละคัน ระยะทางช่วงนี้ประมาณ 10 กว่ากิโลเมตรนิดๆ
เมื่อได้อยู่กันสองต่อสอง บนเส้นทางสายเปลี่ยว สิ่งที่เธอกระซิบผ่านมาอย่างแผ่วเบา ผ่านเครื่องยนต์ ผ่านช่วงล่าง ผ่านความรู้สึก
ดำดิ่งลงสู่สมาธิ เมื่อมีแค่กันและกัน พุ่งสายตาและพารถเข้าหาโค้ง ค่อยละเลียดคันเร่งลงไปอย่างบรรจง สิ่งที่เธอตอบสนองกลับมาไม่ทำให้ผิดหวังพละกำลังที่พาไต่ขึ้นเนินไม่มีลดละ จังหวะรินคันเร่งออกจากโค้งก็ช่างนุ่มนวล ช่วงล่างเก็บความรู้สึกจากผิวถนนมาบอกเราอย่างชัดเจน
นี่แหละ ความฟินของสองเรา
แต่เมื่อถึงช่วงทางโล่งๆ ความแผดกร้าว ก้าวร้าวของเธอก็สำแดงเดชออกมาให้ประจักษ์ จากความเร็วช่วง 80km/h.
เธอสามารถกระชากดิ่งเราขึ้นไปจนเข็มความเร็วแตะตัวเลข 180 km/h. ได้ไม่ยากเย็นนัก และในกำมืออันสั่นเทาของผม ยังมีความรู้สึกว่า มันยังไม่จบ เธอยังสามารถพาเราไปเร็วกว่านี้ได้อีก หากแต่ว่า ถนนตรงหน้า มันถึงเวลาที่ควรจะผ่อนคันเร่งลงให้เธอเสียก่อนเท่านั้นเอง
ส่วนอาการ “โบก” จากช่วงหน้าในย่านความเร็วสูงของเธอ ก็มีมาให้แผ้วพานไม่ต่างจาก Interceptor เลย




















สรุป
Continental GT ราคา 221,000 บาท
Interceptor ราคา 213,300 บาท
อย่างที่บอก ทั้งสองรุ่น มีอุปกรณ์ต่างกันเล็กน้อย คาแรกเตอร์เครื่องยนต์ ช่วงล่าง เบรก เหมือนกันเป้ะ
อยู่ที่เราเลือกแล้วล่ะว่าอยากหมอบ หรืออยากหลังตรงชิลๆ
TWINS 650 ใหม่ตัวนี้ออกแบบโดยทีมดีไซน์เนอร์ชื่อดัง
คุณ มาร์ก เวลล์ ใช้เวลาและวางบรรทัดฐานของรถใหม่นี้สูงขึ้นกว่ารถรุ่นเก่าของ Royal Enfield ในด้านของ Performance โดยรวม
แต่สิ่งหนึ่งที่ Royal Enfield ยังคง Concept เดิมไว้อย่างเหนียวแน่นนั่นคือ คติประจำใจอย่าง Made Like a Gun
ซึ่งทำให้สามารถยืนยงข้ามกาลเวลามาได้เป็นร้อยปี ตั้งแต่ยุคสงครามโลกทั้งสองครั้ง จนถึงปัจจุบันนี้ในปี 2019
หลายๆอย่างที่ถูกบรรจงวางลงไปในรถทั้งสองรุ่นนี้อย่างลงตัว
ทีมดีไซน์เนอร์เองก็เลือกที่จะใช้กลิ่นอายหลายๆอย่างที่ Royal Enfield เคยใช้กับรถของพวกเขาในอดีตที่ผ่านมา
ที่แน่ๆ กล้ารับประกันเครื่องยนต์ 3 ปี นี่ก็ต้องมั่นใจสูงมากเลยแหละ ว่าของข้าแน่จริง
ขอขอบคุณ
Royal Enfield Thailand และทีมงานทุกท่าน ที่ต้อนรับทีมสื่อมวลชนได้อย่างประทับใจเสมอทุกครั้ง
ทีมภาพ OverRide ภาพทั้งหมดในกระทู้นี้ ได้รับการจัดหนัก จัดให้จากพี่ๆ OverRide นี่แหละ ไว้มีโอกาส ขอไปนอนกลิ้งที่บ้าน 74 อีกนะครับ
คุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ ขอบคุณครับ

